สถานที่ท่องเที่ยว

ล้ง 1919 ตำนานท่าเรือกลไฟ 171 ปี

เพื่อน ๆ หลายคนน่าจะรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง ล้ง 1919 กันอย่างดี ล้งถือเป็น community space ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้บรรยากาศสไตล์จีนย้อนยุค มีตึกเก่า ศาลเจ้า ร้านอาหาร ร้านขายของ และมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก แต่ก่อนจะกลายมาเป็น ล้ง 1919 เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าบริเวณนี้เคยเป็นท่าเรือสำคัญมาก่อน ก่อนจะมาเป็น ล้ง 1919 ท่าเรือแห่งนี้ชื่อว่า ฮวย จุ่ง ล้ง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2393 ช่วงปลายรัชกาลที่ 3 เจ้าของคือ พระยาพิศาลศุภผล ต้นตระกูลพิศาลบุตร ท่าเรือฮวย จุ่ง ล้ง เป็นท่าเรือกลไฟและโกดังเก็บสินค้าที่เจริญรุ่งเรืองมาก โดยชาวจีนในอดีตที่เดินเรือมาทำการค้าหรือย้ายถิ่นฐานมาอยู่เมืองไทยจะต้องมาเทียบเรือและลงทะเบียนชาวต่างชาติที่ท่าเรือนี้ บริเวณท่าเรือยังมีร้านค้าและโกดังเก็บสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) พระยาพิศาลศุภผลได้ขายกิจการให้นายตัน ลิบ บ๊วย แห่งตระกูลหวั่งหลี ในตอนนั้นเศรษฐกิจซบเซาเพราะผลกระทบจากสงครามโลก รวมถึงมีการก่อตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้น จึงทำให้ท่าเรือฮวยจุ่ง ล้ง ลดความนิยมลง ตระกูลหวั่งหลีจึงปรับท่าเรือให้เป็นอาคารสำนักงานและโกดังสำหรับเก็บสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว ส่วนอาคารที่เคยเป็นร้านค้าก็กลายเป็นที่พักคนงาน กาลเวลาผ่านไปอาคารทรุดโทรมลงมากและถูกทิ้งร้างอยู่หลายปี จนในที่สุด ทายาทของตระกูลหวั่งหลีเห็นว่าอาคารแห่งนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ จึงบูรณะซ่อมแซมให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนรุ่นหลังจะได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เมื่อเดินเข้าไปในล้ง 1919 เพื่อน ๆ จะได้พบกับหมู่อาคารทรงจีนโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต จุดเด่นของล้ง คือ หมู่อาคารแบบ ซาน เหอ หยวน เป็นลักษณะอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกันเป็นทรงตัว U ภายในอาคารแบ่งเป็นห้องหลายห้อง และถูกปรับให้เป็นร้านขายของสุดเก๋และสถานที่ทำ workshop ต่าง ๆ ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่หม่าโจ้วที่อยู่มายาวนาน ตั้งแต่เริ่มสร้างท่าเรือ ซึ่งเจ้าแม่หม่าโจ้วทั้ง 3 ปางนี้ ชาวจีนได้นำข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน โดยเชื่อว่าท่านให้โชคเรื่องเงินทองและการค้าขาย นอกจากจะได้ชมความสวยงามของตัวอาคารโบราณ อีกสิ่งที่ต้องห้ามพลาดคือ ภาพจิตกรรมฝาผนังเก่าแก่ ที่บังเอิญพบตอนล้างสีอาคารเพื่อทำการบูรณะ และภาพจิตกรรมสมัยใหม่ที่รังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างกลมกลืนกับบรรยากาศเก่า ๆ ล้ง 1919 ถนนเชียงใหม่ (ซอยวัดทองธรรมชาติ) แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานครเปิดทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น.โทร. 09 1187 1919 วิธีเดินทางไปชมความสวยงามของท่าเรือประวัติศาสตร์แห่งนี้ รถไฟฟ้า BTS : ลงที่สถานีกรงุธนบุรี จากนั้นต่อรถไฟฟ้าสายสีทองไปลงที่สถานีคลองสาน เดินเข้าซอยวัดทองธรรมชาติ สุดซอยจะเจอ ล้ง 1919 เรือด่วนเจ้าพระยา : ลงที่ท่าเรือสี่พระยา แล้วนั่งเรือข้ามฟากมายังท่าเรือคลองสาน จากนั้นเดินไปซอยวัดทองธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร

ล้ง 1919 ตำนานท่าเรือกลไฟ 171 ปี อ่านเพิ่มเติม

4 ลานสเก็ตกรุงเทพฯ

ในช่วงนี้กระแสกีฬาที่กำลังมาแรงมากๆ คงหนีไม่พ้น Surfskate ที่เป็นที่นิยมในหมู่มวลทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ จะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้เกษียณก็ยังสามารถเล่นกันได้ ถือเป็นไลฟสไตล์ใหม่ของคนยุคนี้จริงๆ จะพาเซิร์ฟสเก็ตไปออกกำลังกายด้วย พาไปถ่ายรูปด้วย หรือพาไปเที่ยวด้วยก็ได้ ทำให้เกิดลานสเก็ตเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ขนาดห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก็ยังเปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่สนใจมาใช้บริการ เราก็จะมาแนะนำให้รู้จักกันแบบพอประมาณ ว่ามีที่ไหนบ้าง ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และเดินทางไปเล่นกันได้สะดวก ตามมา ตามมา Central World เปิดลานสเก็ตบอร์ดพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม. ให้ชาว Surfskate, Skateboard, Rollerblades และ Longboard ได้เล่นฟรี โดยได้มีงานเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 26-28 ก.พ. 64 ที่ผ่านมา และยังเปิดพื้นที่ให้เล่นกันต่อจนถึง 31 มี.ค. 64 นี้ ทุก ๆ วันเสาร์จะมีการแนะนำการเล่นสำหรับมือใหม่โดย Pro Skate นักกีฬาจากสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย ใครสนใจอยากรู้จัก อยากลองก็ไปที่สนามนี้กันได้ แล้วยังแวะเที่ยว แวะช็อปปิ้ง หรือจะแวะขอพรหาคู่ก็ได้ด้วยนะ Never Wave ลานสเก็ตพร้อมคาเฟ่ตึกสีขาวสุดชิค Wawa cafe and Bar at Never Normal ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ลาดพร้าวซอย 18 เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานกับลานสเก็ตแห่งนี้ โดยได้เริ่มเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง ลานสเก็ตที่นี่จะเหมาะกับนัก Surfskate ที่มีประสบการณ์การเล่นมาในระดับหนึ่งแล้ว เพราะอุปกรณ์การเล่นของสนามค่อนข้างที่จะต้องใช้ทักษะที่มากกว่าสกิลพื้นฐานในการเล่น ลานนี้โดดเด่นตรงที่มีคาเฟ่อยู่ด้วย เล่นเสร็จหิวก็เข้าคาเฟ่มานั่งดื่มน้ำ กินขนม กินอาหารกันได้ หรือจะอยากมาแค่คาเฟ่ก็มีวิวคนเล่นสเก็ตให้ดูไปด้วย ชิค ๆ ไปอีกแบบ  Wave Bank และ Wave Ramp ของลานนี้ ไม่ถึงกับเล่นยากมากนักแล้วไม่ง่ายมากนัก องศากำลังดีสำหรับสาย Wave ก็ลองมาฝึกกันที่นี่ได้นะ ลานสเก็ตบอร์ด @ สวนรถไฟ ลานสเก็ตแห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการมาแล้วหลายเดือน ถ้าอยากจะเข้าไปเล่นที่นี่ ก็ให้ไปสมัครสมาชิกกับศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศกันก่อน เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท เล่นได้ทั้งปี สมัครแล้วก็เอาบัตรสมาชิกมาลงทะเบียนก่อนเข้าสนามกันด้วยนะ ใครที่ไม่มีแผ่นก็สามารถขอยืมเล่นได้ ทางชมรม SRC เขานำบอร์ดมาให้ยืมเล่นได้แต่ก็ต้องติดต่อกับทางสตาฟชมรมกันก่อนนะ Sky Park (พระราม 9) Sky Park ลานสเก็ตบนดาดฟ้า หลังคาฟอร์จูนทาวน์ พระราม 9 ลานสเก็ตที่เกิดจากการรวมตัวของชาวเอ็กซ์ตรีมที่อยากให้มีพื้นที่สำหรับคนรักกีฬาเอ็กซ์ตรีม ไม่ว่าจะเป็น สตรีทสเก็ต เซิร์ฟสเก็ต ลองบอร์ดสเก็ต โรลเลอร์เบรด หรือแม้กระทั่งจักรยาน บีเอ็มเอ็กซ์ ซึ่งอนาคตอาจจะได้เห็นอีเวนท์ของลานนี้อีกมากมาย ลานสเก็ตนี้ก็ได้เปิดพื้นที่และอุปกรณ์สำหรับชาวสเก็ตให้ได้ลองเล่นกันหลายอย่างมากมาย และอยู่ใจกลางเมือง เดินทางได้สะดวก อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาหาร การกินก็มีครบ หรือจะเดินแวะเที่ยวก่อนก็ยังได้ เขามีสเก็ตให้เช่าด้วยนะ และถ้าใครอยากที่จะเรียนก็สามารถติดต่อกันเข้าไปได้เลย มีครูที่มีประสบการณ์คอยสอนกันแบบตัวต่อตัวเลย อุปกรณ์ก็มีให้เล่นหลายแบบ จะปั๊มแทร็ค แรมพ์ หรือเวฟแบงค์ก็มี มี Skate Shop ด้วย เผื่อใครสนใจอยากได้แผ่นใหม่ ตอนเย็นพระอาทิตย์ตก ก็จะได้แสงสวย บรรยากาศดีกันไปอีกแบบ

4 ลานสเก็ตกรุงเทพฯ อ่านเพิ่มเติม

คำแนะนำการใช้เรือโดยสาร

คำแนะนำการใช้เรือโดยสาร.แม้ว่าทุกวันนี้การเดินทางไปไหนมาไหน เราจะใช้รถเป็นพาหนะหลัก แต่ก็มีบางโอกาสเหมือนกันที่เราต้องเดินทางด้วยเรือ เช่น ล่องแม่น้ำ ล่องทะเล ข้ามฟาก ข้ามเกาะ ฯลฯ วันนี้แอดรวบรวมคำแนะนำในการโดยสารเรือมาฝาก ปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสัญจรในแม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเล.– ก่อนเดินทางควรเช็คสภาพอากาศ หากมีการพยากรณ์อากาศว่าจะมีพายุเข้า เรืออาจงดออกเดินทาง– ทุกครั้งที่โดยสารเรือ ควรสวมเสื้อชูชีพไว้ตลอดเวลา– ขณะรอเรือเทียบท่า ควรยืนรอบนท่าเรือ ไม่ยืนรอที่โป๊ะเรือ รอจนเรือจอดสนิท ผู้โดยสารขึ้นจากเรือหมดแล้ว จึงค่อยลงเรือ– ก่อนลงเรือ ควรสังเกตป้ายบอกจำนวนคนและปริมาณการรับน้ำหนัก ถ้าเห็นว่าเกินกำหนด ไม่ควรฝืน ควรรอเรือลำต่อไป– ไม่นั่งบนกราบเรือ หรือวางมือไว้บนกราบเรือ อาจเกิดอันตรายได้– ถ้าต้องโดยสารเรือเป็นประจำ ควรฝึกว่ายน้ำให้เป็น– ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เมื่อต้องโดยสารเรือ เพื่อป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจากการขาดสติ รวมทั้งเพื่อสามารถช่วยเหลือตัวเองได้หากเกิดอุบัติเหตุ.นอกจากคำแนะนำและข้อห้ามต่าง ๆ แล้ว แอดมีข้อแนะนำแถมให้อีกด้วยว่าหากเกิดเหตุเรือล่ม ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง.– หากว่ายน้ำไม่เป็น ให้ควบคุมสติ แล้วปล่อยตัวลอยน้ำรอการช่วยเหลือ– มองหาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ลอยตัวได้ เช่น ขวดน้ำพลาสติก ถังแกลลอน ไม้กระดาน– ว่ายน้ำให้ห่างจากเรือ เพราะของแข็งบนเรืออาจจะล้มใส่ ทำให้บาดเจ็บ– ถอดสิ่งของติดตัวที่จะเป็นเครื่องถ่วงทิ้ง เพื่อให้ตัวมีน้ำหนักเบาที่สุด

คำแนะนำการใช้เรือโดยสาร อ่านเพิ่มเติม

ชิม ‘เชียงคํา’ ทีละคําสองคํา ตอนที่ 2

ที่ตลาดสดเทศบาล 1 คือตลาดสดหลักของ อ.เชียงคํา ที่ไม่ได้คึกคักแค่ในตัวตลาดสดที่อยู่ในร่มเท่านั้น แต่บนถนนข้างๆ ตลาดก็ยังกลายเป็นถนนคนเดินที่มีพ่อค้าแม่ขายมาปูเสื่อ กางร่ม เข็นรถเข็นมาขายอาหารเช้าแบบสุดแสนจะน่ากินราวกับว่าไม่มีใครยอมแพ้ใครเลยทีเดียว เราเริ่มจากการเข้าไปกินอาหารเช้าในร้านดังประจําตลาดที่ปูโต๊ะให้คนนั่งกินรอบคูหาก่อนจะเดินช้อปของกิ๋นถูกใจกลับมากินต่อในมื้อกลางวัน โดยวางแผนไว้ว่าจะเอาอาหารไปปูเสื่อกินกันที่นํ้าตกดังประจําถิ่น ว่าแล้วก็ไปลุยหาอาหารกัน! เมนูที่ 1 – ก๋วยเตี๋ยวนํ้าเงี้ยว.ร้านคําเอ้ย คือร้านขนมจีนนํ้าเงี้ยวเจ้าเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในตลาด ความคลาสสิกคือมีคุณป้ายืนเด่นทําอาหารอยู่ตรงกลางเหมือนเป็นบาร์ แล้วรอบๆ คูหาก็เป็นทีนั่งกิน ซึ่งจุคนได้ราวๆ รอบละ 4-5 คนเท่านั้นจนต้องรอคิว ซึ่ง ไม่ใช่แค่บรรยากาศของร้านที่คึกคักชวนอร่อยนะ แต่คุณแม่สามีกระซิบบอกว่า ความเด็ดของร้านป้าคือเมนูก๋วยเตี๋ยวนํ้าเงี้ยว ที่เปลี่ยนจากเส้นขนมจีนมาใส่เส้นใหญ่แทน แต่เส้นใหญ่ของที่นี่หน้าตาเหมือนเส้นเล็กนะ.พอได้ที่นั่ง เราก็สั่งเมนูเด็ดที่แม่ว่ามากิน ซึ่งคอนเฟิร์มว่ามันเด็ดจริง ไม่เพียงนํ้าซุปนํ้าเงี้ยวที่อร่อยกลมกล่อม ถั่วงอกหัวโตที่ให้เติมได้เองไม่อั้น พริกคั่วหอมๆ ที่ใส่แล้วเพิ่มความอร่อยจัดจ้าน แต่ทีเด็ดจริงๆ คือเส้นใหญ่ที่เหนียวนุ่ม กลิ่นดี ซอยมาบางๆ ให้พอซึมซับเข้ากับนํ้าซุป เป็นเมนูยามเช้าที่บอกเลยว่าฟิน ถ้ามาที่นี่ต้องแวะมากิน  เมนูที่ 2 – ข้าวเกรียบปากหม้อเวอร์ชั่นพะเยา.ฟังชื่อเหมือนจะธรรมดา หากินง่ายในกรุงเทพฯ ใช่ไหม แต่ข้าวเกรียบปากหม้อของที่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย สําหรับเราเมนูนี้คือส่วนผสมของอาหารคาวและขนมหวานแบบที่เข้ากันได้ดีสุดๆ โดยในตลาดจะมีให้เลือกสองแบบคือแบบคาวกับหวาน เราเลือกแบบคาวกลับมาลองกิน สิ่งที่แปลกคือข้าวเกรียบปากหม้อที่นี่เปนไส้หน่อไม้ผัดหมูสับ ห่อด้วยแป้งบางเฉียบ โรยด้วยตั้งไฉ่ที่มีรสเค็มนิดๆ แต่ดันราดด้วยนํ้ากะทิ! พอชิมเข้าไปแล้วกลับกลายเป็นความเค็มหน่อยๆ มันนิดๆ ราดลงไปบนเท็กซ์เจอร์นุ่มนิ่ม และไส้แสนอร่อยกรุบๆ ที่สุดจะลงตัว สรุปว่าชอบจริงจังจนอยากให้มีแบบนี้ขายที่กรุงเทพฯ บ้าง  เมนูที่ 3 – แกงกระด้าง.เคยได้ยินเมนูแกงกระด้างมาบ้างเวลาไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ชิมเพราะฟังชื่อแล้วดูไม่น่าอร่อย พอมาเที่ยวพะเยาเราได้เจอขายอยู่ในตลาดแทบทุกวัน บวกกับคิดว่าวันนี้อยากได้อาหารเที่ยงที่พกพาง่ายไปกินที่นํ้าตก ก็เลยสบโอกาสได้ลองดูสักตั้ง.ความรู้ใหม่ที่เราได้เรียนรู้คือ แกงกระด้างแบบออริจินอลมันจะต้องจับตัวกันเป็นก้อนได้ด้วยไขมันจากขาหมู (ไม่ได้ใส่ผงวุ้นอย่างที่เคยคิด) แถมเป็นอาหารประจําฤดูหนาวเพราะต้องใช้ลมหนาวเป็นอาวุธในการปรุงให้มันเย็นตัวจนจับกันเป็นก้อนอย่างที่เห็น ซึ่งลองกินแล้วพบว่ากินง่ายเพราะรสชาติเหมือนแกงใส่พริกแห้ง แต่แค่เย็นกว่าและจิ้มด้วยมือเอามากินกับข้าวเหนียวได้ง่าย เป็นแกงที่กินแล้วสดชื่นเฉยเลย เมนูที่ 4 – จิ๊นงัวนึ่ง นํ้าพริกข่า.จิ๊นคือคําเรียกเมนูอาหารเหนือที่เป็นเนื้อสัตว์ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าถ้าพูดถึงจิ๊นนึ่ง มันก็คือเนื้อควายหรือวัวนึ่ง ซึ่งวิธีการทําจิ๊นนึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน ต้องนําไปหมักเครื่องเทศก่อนแล้วค่อยนํามานึ่งกับใบมะกรูดจนกว่าเนื้อจะเปื่อยนุ่มจนได้ที่ จิ๊นนึ่งเจ้านี้ที่เราไปเจอในตลาดถึงได้ราคาสูงกว่าเมนูอื่นๆ เป็นพิเศษ คือขีดละราวๆ 60 บาท.ความอร่อยของจิ๊นนึ่งคือรสชาติของเนื้อวัวที่หมักกับเครื่องเทศจนหอม กลิ่นชัด และต้องกินคู่กับนํ้าพริกข่าที่คั่วจนแห้งได้ที่ มันคือการผสมกันอย่างลงตัวของกลิ่นเนื้อวัวที่ย่างจนหอมและเปื่อยนุ่มกับสมุนไพรกลิ่นชัดอย่างข่า ที่หาคําอธิบายไม่ถูกแต่ควรไปลองเอง เมนูที่ 5 – หน่อยัดไส้ เมนูนี้คล้ายๆ กับคั่วหน่อไม้เวอร์ชั่นกลับมาเกิดใหม่ ในรูปลักษณ์ที่พกพาง่ายกว่า เปลี่ยนจากการผัดเป็นการยัดหมูสับหมักลงไปในหน่อไม้ แล้วปิดหน่อให้เรียบร้อยก่อนจะเอาไปชุบไข่แล้วทอดจนสุกเหลือง ตอนซื้อแม่ค้าเขาก็จะห่อใส่ใบตองมาให้เป็นแท่งยาวๆ ถ้าเอาไปกินที่บ้านจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ได้ แต่ถ้าพกไปกินข้างนอกแล้วไม่สะดวกหั่นก็ใช้ช้อนตักกินกันพอไหว รสชาติก็เป็นมิตรคล้ายๆ กับคั่วหน่อเลย เมนูที่ 6 – ข้าวเหลือง.ถ้าให้รีวิวเมนูนี้แบบสั้นง่าย ก็บอกได้เลยว่ามันคือข้าวหมกไก่ที่เปลี่ยนจากข้าวสวยมาใช้ข้าวเหนียวแทนนั่นเอง เมนูนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวไทใหญ่ และเดาว่าพะเยาน่าจะได้รับต่อมาจากเชียงรายอีกที แบบดั้งเดิมชาวไทใหญ่เขาจะใช้ดอกไม้สีเหลืองที่ชื่อดอกกู้ดในการให้สีเหลือง แต่ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะปรับมาใช้ขมิ้น เหมือนกับข้าวหมกไก่.ในมุมของรสชาติที่ลองกิน เรารู้สึกว่ามันอร่อยและไม่เหมือนข้าวหมกตรงที่รสชาติของข้าวเหนียวที่ปรุงมาแบบติดเค็มนิดๆ กินกับเนื้อไก่ที่โปะมาให้แล้วเข้ากันดี จนแทบไม่ต้องปรุงหรือจิ้มอะไรเพิ่มเลยล่ะ เมนูที่ 7 – ข้าวแรมฟืน.เมนูสุดท้ายที่ต้องเก็บไว้เป็นไฮไลต์ คือข้าวแรมฟืน ซึ่งเป็นอาหารไทลื้อที่หาทานยากและเราทําการบ้านมานานแล้วว่าถ้ามาพะเยาจะต้องมาชิมให้ได้ เพราะที่ อ.เชียงคํา มีร้านดังอยู่เจ้าหนึ่งนั่นก็คือข้าวแรมฟืนปาจิ่ง ซึ่งขายมานานกว่า 60 ปี แต่พอถึงวันที่ได้มาเที่ยว เรากลับพบว่าร้านป้าจิ่งหยุดในช่วงที่เราไปพอดี เลยต้องปลอบใจตัวเองด้วยการลองกินข้าวแรมฟืนเวอร์ชั่นร้านในตลาดเทศบาล 1 แทน.ความไม่เหมือนใครของข้าวแรมฟืน คือส่วนผสมหลักที่เป็นแป้งก้อนๆ ทําจากแป้งที่เอาไปโม่และเคี่ยว หมักทิ้งไว้ข้ามคืนจนกลายเป็นก้อน แล้วเอามาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าราดด้วยนํ้าที่คล้ายๆ นํ้ายําถึง 5 อย่าง ทั้งนํ้าเต้าหู้ยี้เคี่ยวนํ้าอ้อย นํ้าผักกาดดอง ตามด้วยนํ้าขิง ถั่วป่น และพริกแห้งตําที่คั่วจนหอม ชิมแล้วเหมือนได้กินก๋วยเตี๋ยวที่มีรสเปรี้ยวหวานเค็ม สดชื่นจนเข้าใจแล้วว่าทําไมถึงเป็นเมนูที่ชาวบ้านแถวนี้โปรดปรานกันมาอย่างยาวนาน ถึงแม้มาคราวนี้จะไม่ได้กินร้านดัง ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าได้กลับมาเที่ยวอีก ก็จะขอมาชิมฝีมือป้าจิ่งที่ร้านให้จงได้!  ปิดท้ายการรีวิว อ.เชียงคํา หลังจากที่ลงแต่รูปอาหารแบบไม่มีที่เที่ยวเลยสักนิด เลยขออวดภาพของฉันตอนพกพาอาหารพื้นถิ่นไปนั่งกินที่นํ้าตกภูซาง นํ้าตกยอดฮิตของผู้คนที่นี่ ฉันคิดว่าอาหารพื้นถิ่นนี่แหละคือเสน่ห์ของการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างพะเยา โดยเฉพาะในอําเภอเล็กๆ ที่อาจจะไม่ได้มีแลนด์มาร์กดังๆ อย่างใครเขา เพราะฉันเชื่อว่าวัฒนธรรมอาหารที่แตกต่าง คือสะพานเชื่อมโยงตัวเราเข้ากับชุมชนที่เราไม่เคยรู้จักประสบการณ์การกินอาหารพื้นถิ่นของที่นี่ ทําให้ได้เห็นความน่ารักของชุมชน ความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบ ไปจนถึงวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังหลงเหลือ และทั้งหมดนี้คือรสชาติแปลกใหม่ที่การเดินทางมักมอบให้เราเสมอ

ชิม ‘เชียงคํา’ ทีละคําสองคํา ตอนที่ 2 อ่านเพิ่มเติม

ชิม ‘เชียงคํา’ ทีละคําสองคํา ตอนที่ 1

ทําความรู้จักพะเยา ผ่าน 12 เมนูของกิ๋นบ้านเฮาชื่อแปลก ถ้าขอสามคําทีแทนความประทับใจในการไปเที่ยวจังหวัดพะเยา สําหรับฉันคงจะไม่ได้มีคําว่ากว๊านพะเยาอยู่ในนั้น เพราะสามคํานั้นมันต้องเป็น แอ๊บอ่องออ หน่อยัดไส้ แกงกระด้าง! ใช่แล้วค่ะ นั่นคือบางส่วนของอาหารท้องถิ่นชื่อแปลกที่ฉันได้ชิมจากการไปเที่ยวพะเยาครั้งแรกในชีวิต โดยหมุดหมายที่เลือกไปพักคือ อ.เชียงคํา อําเภอที่ถือว่าดังเปนอันดับสองของ จ.พะเยา เหตุผลส่วนตัวก็คือแฟนของฉันมีบ้านเกิดอยู่ที่อําเภอนี้ มาเที่ยวทั้งทีเลยถือโอกาสทําความรู้จักพะเยาแบบอินไซต์ ผ่านอาหารถิ่นที่คนเชียงคําเขากินกันจริงๆ ว่าแล้วก็ตั้งเป้าหมายแน่วแน่ว่าจะตามแม่สามีไปเดินตลาดทุกวัน ตลาดเช้าบ้าง ตลาดเย็นบ้าง ถ้าเจออาหารหน้าตาไม่คุ้นหรือชื่อแปลกๆ จะซื้อมาลองกินให้หมด! เดินหาอาหารไทลื้อชื่อไม่คุ้น ที่กาดบ้านธาตุสบแวน ความพิเศษของเชียงคํา คือเป็นอําเภอที่ชาวไทลื้อหรือชาวสิบสองปันนาอพยพมาตั้งหลักแหล่งมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 1 โดยชาวชุมชนไทลื้อในเชียงคําได้อาศัยอยู่แถวบ้านหย่วนแห่งนี้และมีวัดพระธาตุสบแวนเป็นศูนย์รวมจิตใจ ดังนั้น ตลาดสดยามเย็นที่ตั้งอยู่ใกล้วัดพระธาตุสบแวนก็เลยเป็นแหล่งที่ยังมีอาหารไทลื้อแบบปรุงสําเร็จขายปะปนอยู่กับของกิ๋นจาวเหนือสไตล์คนเชียงคํา และที่สําคัญ แต่ละเมนูราคาเป็นมิตรมากๆ อยู่ที่ราวๆ ซาวบาท (หรือ 20 บาทถ้วน) เท่านั้นเอง หลังจากสนุกกับการอ่านและถามชื่อเมนูแปลกๆ เราก็คัดเลือกที่ชอบใจและชอบชื่อจากตลาดไทลื้อมาได้ 5 เมนูถ้วน เลยจัดแจงให้แม่ค้าจัดใส่ใบตองห่อกลับมาใส่จานกินที่บ้าน .เอาล่ะ ลองไปชิมกันว่ามันคืออะไร รสชาติเป็นยังไง แล้วชาวกรุงลูกคนจีนอย่างเราจะสู้ไหวหรือเปล่า เมนูที่ 1 – แอ๊บอ่องออ เมนูนี้เลือกมาชิมเพราะชื่อมันดูน่ารักบ้องแบ๊ว แต่ชีวิตจริงไม่แบ๊วอย่างชื่อ นิยามคําว่า ‘แอ๊บ’ ของคนเหนือ หมายถึงการเอาอาหารมาปรุงแล้วห่อใบตอง ก่อนจะนําไปปิ้งจนสุก พูดง่ายๆ ก็คืออาหารสไตล์ห่อหมก ตอนเดินตลาดที่นี่เราเจออาหารที่นําหน้าว่าแอ๊บเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็น แอ๊บปลานิล แอ๊บปลาดุก แอ๊บข้าวโพด แต่ที่พีกที่สุดคือแอ๊บอ่องออ เพราะมันคือแอ๊บที่ทำจากสมองหมู! จะชิมละนะ…อํ้า! คนที่คิดจะกินแอ๊บอ่องออ ด่านแรกที่ต้องผ่านไปให้ได้คือกลิ่นที่ค่อนข้างเฉพาะตัว เดาว่าน่าจะเป็นกลิ่นของสมองหมู แม้ว่าจะไม่ได้แรงขนาดที่โชยออกมาเตะจมูก แต่พอกินเข้าไปก็จะได้กลิ่นค่อนข้างชัดเจน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่กินของขมอย่างพวกดีปลา ดีวัวได้อยู่แล้วก็น่าจะสบายมาก ซึ่งถ้าผ่านความยากไปได้แล้วก็จะได้เพลิดเพลินกับความอร่อยของมันที่ชาวบ้านที่นี่เขาชอบกัน นั่นก็คือรสชาติมันๆ ผสมความนัวจากเครื่องเทศ กินจิ้มกับข้าวเหนียวร้อนๆ ชาวบ้านเขาบอกว่าลําขนาด! สําหรับเรา ยอมรับว่าไม่ถนัดแนวนี้มาก แต่มาถึงที่นี่แล้วก็ต้องลองให้รู้จักและเข้าใจ ให้คะแนนความแปลกและหาทานยากไปเลยห้าดาว เมนูที่ 2 – นํ้าพริกนํ้าหน่อ นํ้าพริกนํ้าหน่อ คือเมนูนํ้าพริกพื้นบ้านเมืองเหนือที่หาทานได้ยากแล้ว จะยังหลงเหลืออยู่ในสังคมที่ยังมีความเป็นชนบท จึงถือว่าโชคดีมากที่เราได้เจอและได้ชิม ส่วนผสมหลักทําจากหน่อไม้ไผ่รวกดิบอ่อน (ซึ่งมีแค่ตอนหน้าฝนที่เราไปพอดี) เอาไปต้มแล้วขูดก่อนจะเอามาดองจนเกิดรสเปรี้ยว แล้วเคี่ยวกับพริกกระเทียมให้งวดจนกลายเป็นนํ้าพริกสีขาวๆ ที่มีเท็กซ์เจอร์ค่อนไปทางแห้งๆ สไตล์ขลุกขลิก ลองชิมแล้วรสชาติหนักไปทางเปรี้ยว เท็กซ์เจอร์หน่อไม้ดองมีความกรอบนิดๆ ซึ่งมีข้อดีคือพอเอาไปเคี่ยวแล้วก็แทบไม่เหลือกลิ่นดอง กลายเป็นความหอมหน่อยๆ แทน กินกับผักต้มหรือปลาเผาเราว่าเลิศ! เมนูที่ 3 – นํ้าพริกนํ้าผัก อีกหนึ่งนํ้าพริกทีเด็ดหากินยากที่ต่อยอดมาจาก ‘นํ้าผัก’ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการถนอมอาหารของชาวไทลื้อ โดยนํ้าผักนั้นเป็นการเอาผักสวนครัวหลายๆ อย่าง (ส่วนใหญ่เป็นผักกาดจ้อน ผักกาดเขียวปลี) มาสับหรือตําให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะเอามาดองด้วยนํ้า เกลือ และข้าวเหนียวเล็กน้อยจนได้ความเปรี้ยวที่ชอบ เอามากรองแล้วเคี่ยวไฟจนงวดแห้งจนคล้ายกากสีเขียวคลํ้า เก็บไว้ได้หลายเดือน เอามาโขลกกับพริกแห้ง เกลือ กระเทียม และมะแขว่น กลายเป็นนํ้าพริกนํ้าผักเอาไว้กินกับข้าวเหนียว ซึ่งพอชิมแล้วก็ยอมรับว่าเปรี้ยวกว่านํ้าพริกนํ้าหน่อซะอีก ถ้าไม่ใช่สายถนัดเปรี้ยวก็ไม่ควรกินเพียวๆ เลยล่ะ เมนูที่ 4 – น้ำพริกเห็ดด่าน.เห็ดด่าน หรือที่บางคนเรียกว่าเห็ดหล่ม เป็นเห็ดท้องถิ่น ทางภาคเหนือที่เก็บได้เฉพาะในฤดูฝน (โชคดีอีกแล้วเรา) เอามาจี่กับไฟแล้วหอมฉุย ปรุงอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมกันมาก็คือเอามาทํานํ้าพริก โขลกกับพริกย่าง กะปิ หอมแดง กระเทียม หอมสุดๆ.ชิมแล้วขอให้คะแนนความอร่อยและกินง่ายไปเต็มร้อย เพราะรสชาติของนํ้าพริกเห็ดด่านที่ค่อนไปคล้ายๆ กับนํ้าพริกหนุ่ม อาหารเหนือที่เราคุ้นเคย (ส่วนผสมน่าจะคล้ายกัน) แต่เบิ้ลความอร่อยด้วยรสอูมามิของเห็ดที่เอาไปปิ้งหรือจี่กับไฟ ถือเป็นอาหารประจําฤดูฝนที่ลําขนาด! เมนูที่ 5 – คั่วหน่อ ตอนแรกก็เกือบจะเดินผ่านร้านนี้ไปมือเปล่า แต่พอได้ยินเสียงคุณป้ากําลังผัดๆ คั่วๆ และกลิ่นหอมอะไรไม่รู้ที่โชยมาจากเตา ก็ทําให้เราถอยกลับไปซื้อจนได้ ป้าบอกว่ากําลังคั่วหน่อไม้อยู่ ใกล้เสร็จแล้ว งั้นหนูขอห่อกลับเลยค่ะ เห็นหน้าตาคล้ายๆ ผัดหน่อไม้ตามร้านข้าวราดแกงในกรุงเทพฯ แต่คุณแม่สามีบอกว่า ไม่เหมือนจ้ะ เมนูนี้ก็อาหารพื้นเมืองเหมือนกันเจ้า พอได้ชิมแล้วก็เข้าใจว่ามันไม่เป็นเหมือนที่คิดจริงๆ แถมชอบกว่าด้วย เพราะมันเป็นการหน่อไม้ส้ม (ดอง) มาผัดเคี่ยวกับเครื่องแกงและหมูสับหรือหมูสามชั้น ไม่ได้เน้นรสเผ็ดจัดจ้านเหมือนตามร้านข้าวแกง แต่เน้นความหอม นัว กลมกล่อม และกินง่าย ถ้าเมนูอื่นๆ มันแปลกหรือกินยากไป แนะนําให้จานนี้เป็นคอมฟอร์ตฟู้ดประจํามื้อได้เลย  ผ่านมาแล้ว 5 เมนูชื่อแปลกของพะเยา เพื่อนๆ คนไหนคุ้นชื่อหรือเคยกินบ้างไหมคะ แอดขอชวนมาบอกต่อความอร่อยของเมนูเหล่านี้กัน สำหรับตอนต่อไป จะมีเมนูชื่อแปลกอะไรบ้าง ติดตามกันได้ในวันเสาร์หน้านะคะ

ชิม ‘เชียงคํา’ ทีละคําสองคํา ตอนที่ 1 อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 4

ท่องเที่ยวสไตล์ใหม่ ใส่ใจธรรมชาติ เรียนรู้การเกษตร อินเทรนด์กับร้านต้นไม้ เอนกายพักผ่อนโฮมสเตย์ริมคลอง ชิมของอร่อยที่ตลาดริมน้ำ อิ่มหนำกับเบเกอรี่และเครื่องดื่มที่คาเฟ่ดอกไม้ในสวน . หากขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร ราว 40 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็เข้าสู่ จังหวัดปทุมธานี หนึ่งในห้าจังหวัดปริมณฑลที่ตั้งอยู่ชิดติดขอบเมืองกรุง บนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ความศิวิไลซ์ได้หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปทุมธานีกลายเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาทาง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพื้นที่สีเขียว เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านอันหนาแน่นไปด้วย พืชผักผลไม้นานาชนิด และวิถีชีวิตของชุมชนริมฝั่งคลองที่สัมผัสได้ถึงท่วงทำนองของการดำเนินชีวิตอันเรียบง่าย ฉายให้เห็นเสน่ห์ที่ซุกซ่อนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งผสานความเป็นเมืองและความเป็นชนบทเอาไว้ได้อย่างสมดุล . สำหรับสายเที่ยวรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ชื่นชอบธรรมชาติด้วยแล้ว เราเชื่อว่าปทุมธานีมีสิ่งดี ๆ ให้คุณแอบหลงรัก เราจึงอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ 12 สถานที่ ดีต่อใจในจังหวัดปทุมธานี นอกจากจะได้ท่องเที่ยว อย่างสบายใจแล้ว ยังได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายระหว่างการเดินทางอีกด้วย จะเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ หรืออยู่พักสัก 2 วัน 1 คืน ให้ชื่นมื่นหัวใจ ได้อ้อยอิ่งใช้ชีวิต ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็บอกได้เลยว่าเพลิดเพลินเกินคาดเลยทีเดียว Florista Café and Eatery จิบชาท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ในสวนสวยสไตล์อังกฤษเอาใจสาวๆ ที่ชื่นชอบดอกไม้ หลงใหลการนั่งคาเฟ่ ด้วยบรรยากาศสวนที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ตัวร้านตกแต่งสไตล์อังกฤษ ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐสีขาวหลังคาสีเทา มีห้องเล็กบนหลังคาสีฟ้าหม่น หน้าต่างเป็นกระจกบาน ใหญ่อยู่รอบตัวร้าน ด้านหน้ามีสนามหญ้าที่ตกแต่งด้วยน้ำพุ จัดวางด้วยรูปปั้นเจ้าหญิงน้อยๆ ไว้คอยต้อนรับลูกค้า เมื่อเข้ามาภายในร้าน เพดานที่สูงโปร่งกับตัวร้านที่กว้างขวางทำให้รู้สึกโล่งสบาย มีดอกไม้ประดับประดาเรียงรายอยู่บนชั้นวางกลางโถงร้านเลยทีเดียว มุมสุดฮิตที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปคือ กำแพงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ประดิษฐ์สีชมพูหวานละมุนละไม ส่วนโซนด้านนอกที่เป็นแบบโอเพ่นแอร์ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบเหมาะสำหรับคนที่ชอบนั่งรับลมชิลๆ ในสวนกับต้นไม้เขียวๆ มีน้ำตกและธารน้ำไหลเล็กๆ ให้รู้สึกเย็นสบาย Florista Café and Eatery เป็นทั้งคาเฟ่และร้านอาหาร ที่มีเมนูให้เลือกมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารญี่ปุ่น สไตล์ฟิวชั่น น่าทานไปหมดทุกอย่างเลย ทางเรานั้นเลือกเป็นของทานเล่นอย่าง ชีสบอลมันม่วงชีสเยิ้มๆ กับมันม่วงเนื้อเนียนนุ่มละมุนละลายในปาก ตามมาด้วย ซีซาร์สลัด เฟตตูชินี่ขี้เมาทะเล รสชาติจัดจ้านกำลังดีมีปลาหมึก หอยแมลงภู่ กุ้งตัวใหญ่เบิ้ม ตบท้ายด้วยเมนูของหวานอย่าง เค้กช็อกโกแลตลาวา นมสดเรนโบว์สีพาสเทลหวานอร่อย และลาเวนเดอร์มะนาวโซดาเปรี้ยวซ่าตัดเลี่ยนได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเมนูอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดฟลอริสต้า ผัดไทยกุ้งสดห่อไข่ สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า พิซซ่า เบอร์เกอร์ไก่เทอริยากิ ปูอัดวาซาบิ เกี๊ยวซ่า ให้เลือกสั่งได้ตามสไตล์ที่ชอบ อิ่มท้องกันแล้ว ก็ออกมาเดินย่อยด้วยการถ่ายรูปกันหน่อย เดินลึกเข้าไปด้านหลังร้านยังมีโซนใหม่สไตล์บาหลี ที่ตกแต่งแบบป่าๆ มีดอกหญ้า กระโจมฟาง ต้นกระบองเพชร ทางเดินสะพานไม้ไผ่ ส่วนไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลย คือ ชิงช้ารังนกบาหลี ที่นี่จัดมุมถ่ายรูปสวยๆ ไว้เยอะมากๆ ไม่ว่าจะสายแชะ สายกิน สายคาเฟ่ สายดอกไม้ ก็แวะมาเที่ยวได้ไม่ผิดหวังแน่นอน ที่ตั้ง: 63/1 หมู่ 1 ถ.รังสิต-นครนายก คลอง 7 ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12110วัน-เวลา: เปิดทุกวัน 9.00 – 21.00 น.ค่าเข้าชม: อาหารราคาเริ่มต้นที่ 40 – 400 บาทโทร: 09-8879—3954เว็บไซต์: Florista Cafe And Eatery Prem Café in the garden ธรรมชาติช่วยเยียวยาร่างกายของมนุษย์ เพราะการมองสีเขียวจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายหายเหนื่อย เปรมคาเฟ่ เป็นร้านที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนป่า มีต้นไม้หลากหลายทั้งชนิดและสายพันธุ์ ด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นนักออกแบบจัดสวนทำให้รักและเข้าใจในธรรมชาติของต้นไม้เป็นอย่างดี “เปรมคาเฟ่ อิน เดอะ การ์เด้น” แห่งนี้จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบของตัวเอง ความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือสไตล์เท่ๆ ของการจัดสวนแบบ Tropical Mexican ใช้ไม้มีหนามและพืชโซนร้อน ไม่แปลกใจเลยทำไมเราเห็นเจ้าต้นกระบองเพชรเทรกตัวอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะต้นใหญ่ๆ ที่อยู่หน้าประตูทางเข้ารวมไปถึงต้นกล้วยและเฟิร์นหลากหลายสายพันธุ์ บรรยากาศตัวร้านเป็นบ้านสีขาวหลังเล็กๆ ภายในใช้สีสันสดใสอย่างสีฟ้าสด ปูพื้นด้วยกระเบื้องลายขาวสลับเขียว ตกแต่งด้วยถ้วยชามรามไหสไตล์เม็กซิกัน ด้านหน้าบ้านประดับด้วยกระถางต้นไม้สีบานเย็นจัดจ้านวางบนกระเบื้องลายขาวน้ำเงิน สร้างลูกเล่นโดยการใช้สีที่ตัดกัน หากเดินลึกเข้าไปด้านในสุดของร้านเป็นโซนริมน้ำ มีชุดโต๊ะเก้าอี้รายล้อมอยู่ทั่วบริเวณ มีชิงช้าให้นั่งเล่นแกว่งไกว รับลมเย็นจากแม่น้ำ มีต้นไม้ใหญ่ครึ้มช่วยให้ร่มรื่นมากๆ มีฟาร์มสัตว์เลี้ยงให้ชมด้วย อย่างน้องหมู น้องเป็ด น้องไก่ เป็นต้น อ้อ! ระหว่างทางที่เดินเข้าไปก่อนถึงริมน้ำมีจุดถ่ายรูปที่ถือว่าเป็นไฮไลท์เลยก็คือ ซุ้มประตูไม้เก่าๆ สีขาวอย่าลืมแวะถ่ายรูปกันนะ ในส่วนของเมนูอาหารที่นี่จะเน้นเป็นอาหารจานเดียวอย่าง ผัดมักกะโรนี สปาเกตตี ข้าวผัดพริกแกง ข้าวกะเพรา ราดหน้า สุกี้ หรือหากเป็นกับข้าวก็จะเป็นอาหารง่ายๆ อย่าง ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดผักรวม ต้มยำน้ำข้นและน้ำใส เป็นต้น ส่วนเมนูขึ้นชื่อ คือ เสต็กที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องเคียงทั้งผักและผลไม้ตามสไตล์เปรมคาเฟ่ ส่วนเครื่องดื่มมีทั้งชาไทย ชาเขียว ชาผลไม้ กาแฟ ช็อกโกแลต อิตาเลี่ยนโซดา น้ำผลไม้ปั่น และเบเกอร์รี่อย่าง เค้กมะพร้าว เค้กชาเขียว บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก และอีกมากมายให้เลือกทาน ที่ตั้ง: 51/1 ม.6 ซ.วัดเสด็จ ต.สวนพริกไทย อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี 12000วัน-เวลา: วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30 – 18.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขุตฤกษ์ เวลา 8.00 – 18.00 น.ค่าเข้าชม: อาหารราคาเริ่มต้นที่ 50 – 300 บาทโทร: 08-4563-9292, 09-4563-9924เว็บไซต์: www.facebook.com/Prem-Cafe-In-the-Garden

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 4 อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 3

ท่องเที่ยวสไตล์ใหม่ ใส่ใจธรรมชาติ เรียนรู้การเกษตร อินเทรนด์กับร้านต้นไม้ เอนกายพักผ่อนโฮมสเตย์ริมคลอง ชิมของอร่อยที่ตลาดริมน้ำ อิ่มหนำกับเบเกอรี่และเครื่องดื่มที่คาเฟ่ดอกไม้ในสวน หากขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร ราว 40 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็เข้าสู่ จังหวัดปทุมธานี หนึ่งในห้าจังหวัดปริมณฑลที่ตั้งอยู่ชิดติดขอบเมืองกรุง บนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ความศิวิไลซ์ได้หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปทุมธานีกลายเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาทาง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพื้นที่สีเขียว เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านอันหนาแน่นไปด้วย พืชผักผลไม้นานาชนิด และวิถีชีวิตของชุมชนริมฝั่งคลอง ที่สัมผัสได้ถึงท่วงทำนองของการดำเนินชีวิตอันเรียบง่าย ฉายให้เห็นเสน่ห์ที่ซุกซ่อนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งผสานความเป็นเมืองและความเป็นชนบทเอาไว้ได้อย่างสมดุล สำหรับสายเที่ยวรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ชื่นชอบธรรมชาติด้วยแล้ว เราเชื่อว่าปทุมธานีมีสิ่งดี ๆ ให้คุณแอบหลงรัก เราจึงอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ 12 สถานที่ ดีต่อใจในจังหวัดปทุมธานี นอกจากจะได้ท่องเที่ยว อย่างสบายใจแล้ว ยังได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายระหว่างการเดินทางอีกด้วย จะเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ หรืออยู่พักสัก 2 วัน 1 คืน ให้ชื่นมื่นหัวใจ ได้อ้อยอิ่งใช้ชีวิต ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็บอกได้เลยว่าเพลิดเพลินเกินคาดเลยทีเดียว หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 เพลิดเพลินเดินจับจ่าย ต้นไม้ดอกไม้ไว้ตกแต่งบ้านเรียกว่าเป็นอาณาจักรของคนรักต้นไม้เลยก็ว่าได้ สำหรับเส้นทางสายดอกไม้ระยะทางยาวกว่า 8 กิโลเมตร ภายใน หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับคลอง15 ตั้งอยู่บนถนนรังสิต-นครนายก ไปทางอำเภอธัญบุรี เขตติดต่อปทุมธานีและนครนายก ด้วยเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 900 ไร่ สองฝั่งถนนที่มุ่งตรงเข้าไปเรียงรายไปด้วยร้านรวงที่จำหน่ายพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ พืชสวนครัว สมุนไพรไทย บอนไซ ไม้ถัก ไม้ล้อม ไม้หอม ไม้มงคล ฯลฯ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ของครอบครัวชาวเกษตรกรกว่า 500 ครัวเรือน ให้คุณเดินเลือกอย่างจุใจ ซึ่งนับได้ว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว ส่วนคนชอบจัดสวนหรือตกแต่งบ้าน ที่นี่ก็มีร้านจำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ ตุ๊กตาปูนปั้น ตุ๊กตาไม้แกะสลัก โต๊ะเก้าอี้ตั้งในสวน กระถาง ตะกร้า โมบาย รั้วระแนง ไปจนถึงน้ำตกและน้ำพุ เรียกได้ว่าครบจบในที่เดียว ก็ได้สวนสวยๆ มาไว้ที่บ้านเลย ที่ตั้ง: คลอง 15 ถ.รังสิต-นครนายก ต.บางปลากด อ.องค์รักษ์ จ.นครนายกวัน-เวลา: เปิดทุกวัน 8.00 – 18.00 น.ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมโทร: 037-312-282, 037-312-284เว็บไซต์: https://flowermarketk15.makewebeasy.com ตลาดอิงน้ำสามโคก เดินเล่นชมวิถีชุมชนริมน้ำ ชิมของอร่อย ช้อปของฝากอะไรก็ตามที่มีความเก่า เรามักจะเห็นเสน่ห์ซุกซ่อนอยู่ ดังเช่นภาพบ้านไม้เรียงตัวเป็นแถวยาวริมแม่น้ำ คือ ชุมชนตลาดเก่าบางเตย ที่ยังคงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอันเรียบง่ายเคียงคู่ไปกับสายน้ำ เพียงแค่เดินเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของวิถีชุมชนและผู้คนที่อาศัยอยู่ในตลาดเล็กๆ แห่งนี้ ร้านรวงต่างๆ ในตลาดอิงน้ำสามโคกส่วนใหญ่จะเปิดขายจากหน้าบ้านของตัวเอง มีทั้งของคาว ของหวาน ของกินเล่น อาทิ ผัดไทย หอยทอด ข้าวซอย ขนมตาล ขนมครก ขนมเบื้อง ทองม้วนสดไปจนถึงของกินที่หาทานได้ยาก อย่างเช่น ขนมจีนซาวน้ำ ข้าวแช่ หมี่กรอบโบราณสามรส ส่วนของกินแปลกใหม่น่าลองก็มี ก๋วยเตี๋ยวเรือกะลา ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ ข้าวหลามในลูกมะพร้าวอ่อน เป็นต้น เราเดินไปแวะชิมไปเรื่อยๆ ตามร้านค้าที่ตั้งอยู่ริมคลอง พ่อค้าแม่ค้ายิ้มแย้มแจ่มใสพูดคุยทักทายกันตลอดทาง พอข้ามสะพานมาอีกฝั่งคลองก็จะเจอคาเฟ่เล็กๆ แนวเรโทรย้อนยุค บรรยากาศสบายๆ น่าจะถูกใจคอกาแฟ มีร้านขายขนมไทยๆ ให้ลองลิ้มชิมรสอีกหลายอย่างมีร้านขายของเล่นเก่าๆ ขนมขบเคี้ยว ขนมกินเล่น สมัยเมื่อเรายังเป็นเด็ก ที่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีให้เห็นตามร้านทั่วไปแล้วและนอกจากของกินอร่อยๆ ยังมีข้าวของเครื่องใช้ จานชามหม้อไห ปิ่นโตน่ารักๆ สไตล์วินเทจ ให้เลือกซื้อติดมือกลับบ้าน อีกด้วย ที่ตั้ง: ตั้งอยู่ใกล้กับวัดบางเตยนอก ซ.เทศบาล 2 หมู่ 9 ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี 12160วัน-เวลา: วันเสาร์-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 7.00 – 16.00 น.ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมโทร: 09-4149-2265เว็บไซต์: www.facebook.com/BangtoeiOldMarketOfficial กระท่อมลุงจรณ์ สวรรค์ของคนรักกระบองเพชร ไม่ว่าจะเป็นสายกรีนมือใหม่ หรือรุ่นใหญ่นักสะสม เป็นต้องรื่นรมย์เมื่อได้มาชมเหล่ากระบองเพชรหลากหลายสายพันธุ์ที่เปรียบได้ดั่งสวรรค์ของคนรักกระบองเพชรจริงๆ จากความหลงใหลในเสน่ห์ของแคคตัส จนกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมเรื่อยมา ทั้งหาซื้อเองบ้าง เพาะพันธุ์เองบ้าง จนถึงวันนี้กว่า 40 ปีแล้วทำให้กระท่อมลุงจรณ์หนาแน่นไปด้วยแคคตัสกว่า 2,000 สายพันธุ์ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศก็มี เพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่เลยก็มี สนนราคาอยู่ที่หลักสิบไปจนถึงหลักแสนเลยทีเดียว โรงเรือนขนาดใหญ่แบบเปิดกว้างเรียงรายไปด้วยกระบองเพชร รูปทรงต่างๆ ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ มีดอก มีหนาม สีสันสดใส แตกต่างกันไปให้เหล่าสาวกเข้ามาเดินเลือกซื้อได้ตามชอบใจ ไม่ว่าจะเป็น ยิมโน แอสโตไฟตัม แมมมิลลาเลีย อากาเว่ ยูโฟเบีย ไปจนถึง หูกระต่าย ช้าง ดาวล้อมเดือน เป็นต้น พอเลือกเสร็จสรรพก็จัดใส่ถาดแล้วเอาไปให้เจ้าหน้าที่ เขาจะติดราคาให้ทราบตอนชำระเงิน ถ้าราคาแรงหรือแพงเกินรับไหว เลือกที่จะไม่รับก็ได้ไม่ว่ากัน นอกจากในโรงเรือนที่เปิดให้เข้าชมได้ทั่วไปแล้ว ยังมีในส่วนของห้องเรือนกระจกที่มีความพิเศษกว่า แต่ต้องโทร นัดล่วงหน้าถึงจะเข้าไปชมได้ ในระหว่างที่เราเดินดูไปด้วยถ่ายรูปไปด้วย ก็มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาที่กระท่อมลุงจรณ์แห่งนี้ไม่ขาดสายเลย ทำให้เห็นว่าทุกวันนี้มีคนสนใจแคคตัสมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่แคคตัสมีเสน่ห์ในตัวของมัน แต่ละสายพันธุ์ ก็ดูแลไม่เหมือนกัน เลี้ยงไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย จึงกลายเป็นความสนุกและความท้าทายของคนเลี้ยง ที่ตั้ง: 81/6 ม.2 ซ.วัดสิงห์ ต.สามโคก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี 12160วัน-เวลา: ร้านหยุดทุกวันพุธ 8.00 – 17.00 น. (ควรโทรนัดล่วงหน้า)ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมโทร: 08-68525-6874เว็บไซต์: www.uncle-chorn.com 

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 3 อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 2

ท่องเที่ยวสไตล์ใหม่ ใส่ใจธรรมชาติ เรียนรู้การเกษตร อินเทรนด์กับร้านต้นไม้ เอนกายพักผ่อนโฮมสเตย์ริมคลอง ชิมของอร่อยที่ตลาดริมน้ำ อิ่มหนำกับเบเกอรี่และเครื่องดื่มที่คาเฟ่ดอกไม้ในสวน หากขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร ราว 40 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็เข้าสู่ จังหวัดปทุมธานี หนึ่งในห้าจังหวัดปริมณฑลที่ตั้งอยู่ชิดติดขอบเมืองกรุง บนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ความศิวิไลซ์ได้หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปทุมธานีกลายเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาทาง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพื้นที่สีเขียว เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านอันหนาแน่นไปด้วย พืชผักผลไม้นานาชนิด และวิถีชีวิตของชุมชนริมฝั่งคลอง ที่สัมผัสได้ถึงท่วงทำนองของการดำเนินชีวิตอันเรียบง่าย ฉายให้เห็นเสน่ห์ที่ซุกซ่อนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งผสานความเป็นเมืองและความเป็นชนบทเอาไว้ได้อย่างสมดุล สำหรับสายเที่ยวรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ชื่นชอบธรรมชาติด้วยแล้ว เราเชื่อว่าปทุมธานีมีสิ่งดี ๆ ให้คุณแอบหลงรัก เราจึงอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ 12 สถานที่ ดีต่อใจในจังหวัดปทุมธานี นอกจากจะได้ท่องเที่ยว อย่างสบายใจแล้ว ยังได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายระหว่างการเดินทางอีกด้วย จะเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ หรืออยู่พักสัก 2 วัน 1 คืน ให้ชื่นมื่นหัวใจ ได้อ้อยอิ่งใช้ชีวิต ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็บอกได้เลยว่าเพลิดเพลินเกินคาดเลยทีเดียว ฟาร์มลุงแดง เมลอน & ผักสลัด เที่ยว ชม ชิม เมลอนและผักสดจากฟาร์ม แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ จากความที่เป็นคนชอบกินเมลอน แต่สมัยก่อนนั้นหาซื้อยากและมีราคาค่อนข้างแพง จึงทำให้ลุงแดง เกษตรกรเจ้าของฟาร์มลุงแดง เมลอน & ผักสลัดแห่งนี้ ริเริ่มที่จะปลูกเมลอนเอง โดยค่อยๆ ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ล้มลุกคลุกคลานลองผิดลองถูก และพัฒนามาเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จได้อย่างเช่นทุกวันนี้ จากเนื้อที่ทั้งหมด 8 ไร่ ครึ่งหนึ่งถูกขุดเป็นบ่อลึกเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้เอง เพราะการใช้น้ำจากภายนอกหรือจากคลองชลประทาน อาจมีสารปนเปื้อนเข้ามาทำให้พืชผักเสียหายได้ ด้วยความที่เป็นเกษตรอินทรีย์จึงต้องให้ความสำคัญเรื่องสารพิษตกค้าง หรือสารเคมีปนเปื้อนเป็นพิเศษ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่า ผัก ผลไม้ ของที่นี่สะอาด ปลอดภัย ไร้สารพิษ ปัจจุบันฟาร์มลุงแดงมีโรงเรือนปลูกเมลอน 10 หลัง ผักสลัด 2 หลัง มะเขือเทศ 1 หลัง และมัลเบอร์รี่ที่ปลูกไว้เป็นรั้วล้อมรอบอยู่ด้านนอก ทั้งหมดนี้สามารถเข้ามาเยี่ยมชม เก็บพืชผัก ผลไม้ได้เอง รวมไปถึงฟาร์มไก่ ก็มาเก็บไข่ไก่สดๆ ได้ด้วย มาถึงฟาร์มทั้งทีต้องมีการพิสูจน์ความสดใหม่ของวัตถุดิบจากในฟาร์ม ด้วยการรับประทานอาหารอร่อยๆ ที่คาเฟ่ มีเมนูให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่ม เราสั่งสลัดกุ้งทอดที่มีผักสลัดอย่างกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เก็บสดๆ มาจากโรงเรือน กรอบอร่อยเข้ากันได้ดีกับน้ำสลัดและกุ้งทอด ตามมาด้วยส้มตำผลไม้ที่มีพระเอกเป็นเมลอนสีทอง เนื้อสีส้ม ฟูกรอบ หวานฉ่ำ ตัดรสด้วยน้ำส้มตำเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ บอกเลยว่าฟินกินแล้วเพลินมากๆ ส่วนของหวานนั้นเราเลือกเป็นเมลอนฮันนี่โทสต์ ขนมปังอุ่นๆ กรอบนอกนุ่มใน อบอวลด้วยกลิ่นเนย ทอปด้วยไอศกรีมวนิลา เสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อเมลอนลูกกลมๆ เพิ่มน้ำผึ้งมาให้สำหรับคนชอบหวาน อร่อยแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่ากินหมดตอนไหนไม่รู้ตัวเลยแหละ ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกัน เมลอนสดปั่น หวานหอมชื่นใจสุดๆ หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็น เล่นจักรยานปั่นน้ำ พายเรือไทย ให้อาหารน้องไก่อ้วนและไก่ญี่ปุ่นเล่นชิงช้าสูงที่ต้นไม้ใหญ่ท้ายฟาร์ม พร้อมถ่ายรูปวิวนา อย่าลืมหอบหิ้วเมลอนสดๆ กลับบ้านสักลูกสองลูก ที่ตั้ง: 26/4 หมู่ 7 ซ.เฉลิมพระเกียรติ 2 ต.คลองเจ็ด อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120วัน-เวลา: วันพุธ-วันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์และวันอังคาร) 9.00 – 18.30 น.ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมโทร: 08-1989-5906เว็บไซต์: ฟาร์มลุงแดง Melon Farm & Cafe ปทุมธานี วัดปัญญานันทาราม ชมเจดีย์พุทธคยาจำลองจากอินเดีย สถาปัตยกรรมแห่งธรรม ความโดดเด่นที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่อันกว้างใหญ่ คือ เจดีย์พุทธคยาสีเทาอันสง่างาม ที่จำลองแบบมาจากประเทศอินเดีย เพียงแค่เห็นก็สะดุดใจในความสวยงาม แปลกตา ด้านหน้ามีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกลาง สองข้าง ทางเดินเป็นต้นไม่ใหญ่ มีบันไดทางขึ้นไปยังเจดีย์ด้านบน ก่อนจะเข้าสู่องค์เจดีย์มีรูปหล่อของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ผู้ก่อตั้งวัดปัญญานันทารามแห่งนี้ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าให้ประชาชนที่แวะเวียนมาได้กราบไหว้ ส่วนด้านในก็มีพระประทานองค์ใหญ่ให้เข้าไปกราบไหว้ด้วยเช่นกัน อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ คือ ภาพปริศนาธรรม 3 มิติ จัดแสดงอยู่ด้านล่างเจดีย์พุทธคยา ซึ่งเรียกว่า ชั้นพุทธบารมี โดยแต่ละภาพต่างก็มีความหมายที่แฝงไปด้วยคติธรรมสอนใจในเรื่องของอริยสัจ 4 มีทั้งหมด 29 ภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนานในการศึกษาหลักธรรมคำสอนนั่นเอง ความพิเศษของวัดแห่งนี้ที่เราสังเกตเห็นอีกอย่าง ก็คือ อุโบสถของวัดที่ไม่มีรูปลักษณ์ความเป็นอุโบสถอย่างวัดทั่วไปไม่มีช่อฟ้าใบระกา รวมถึงไม่มีการปิดทององค์พระ หรือฝังลูกนิมิต แต่สร้างอุโบสถขึ้นในรูปแบบของตัวอาคารที่มุ่งเน้นไปทางพุทธสถาปัตย์ ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกมืออาชีพ ผศ.ประชา แสงสายัณห์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดีไซน์รูปแบบอาคารอุโบสถให้เรียบง่าย ภายใต้กรอบแนวทาง 3 ป. ของพระปัญญานันทมุนี เจ้าอาวาส คือ “ประหยัด ประโยชน์ และประยุกต์เข้ากับยุคสมัย” นอกจากนี้ ที่นี่ยังโด่งดังในเรื่องของการปฏิบัติธรรม โดยมีกิจกรรมให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าร่วม อย่างเช่น การบวชเนกขัมมะ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันสำคัญทางศาสนา.ที่ตั้ง: 1 หมู่ 10 ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120วัน-เวลา: วันจันทร์-วันอาทิตย์ 8.00 – 16.00 น.ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมโทร: 0-2904-6107 , 08-6461-8353เว็บไซต์: www.watpanya.org บ้านตานิด : Baan Ta Nid River Lodge’n Art Camp ลิ้มรสอาหารไทยโบราณ

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 2 อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 1

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ท่องเที่ยวสไตล์ใหม่ ใส่ใจธรรมชาติ เรียนรู้การเกษตร อินเทรนด์กับร้านต้นไม้ เอนกายพักผ่อนโฮมสเตย์ริมคลอง ชิมของอร่อยที่ตลาดริมน้ำ อิ่มหนำกับเบเกอรี่และเครื่องดื่มที่คาเฟ่ดอกไม้ในสวน หากขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร ราว 40 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็เข้าสู่ จังหวัดปทุมธานี หนึ่งในห้าจังหวัดปริมณฑลที่ตั้งอยู่ชิดติดขอบเมืองกรุง บนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ความศิวิไลซ์ได้หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปทุมธานีกลายเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาทาง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพื้นที่สีเขียว เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านอันหนาแน่นไปด้วย พืชผักผลไม้นานาชนิด และวิถีชีวิตของชุมชนริมฝั่งคลอง ที่สัมผัสได้ถึงท่วงทำนองของการดำเนินชีวิตอันเรียบง่าย ฉายให้เห็นเสน่ห์ที่ซุกซ่อนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งผสานความเป็นเมืองและความเป็นชนบทเอาไว้ได้อย่างสมดุล สำหรับสายเที่ยวรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ชื่นชอบธรรมชาติด้วยแล้ว เราเชื่อว่าปทุมธานีมีสิ่งดี ๆ ให้คุณแอบหลงรัก เราจึงอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับ 12 สถานที่ ดีต่อใจในจังหวัดปทุมธานี นอกจากจะได้ท่องเที่ยว อย่างสบายใจแล้ว ยังได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมายระหว่างการเดินทางอีกด้วย จะเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ หรืออยู่พักสัก 2 วัน 1 คืน ให้ชื่นมื่นหัวใจ ได้อ้อยอิ่งใช้ชีวิต ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็บอกได้เลยว่าเพลิดเพลินเกินคาดเลยทีเดียว ชวนคุณหวนคืนสู่ธรรมชาติ ในบรรยากาศเหมือนกลับบ้าน สัมผัสความสุขที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง ณ บ้านพันไม้ คาเฟ่ แอนด์ ฟาร์ม ริมคลองบางเตย ในอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ที่สามารถแวะเวียนมาเยี่ยมชมได้เฉพาะวันหยุดเท่านั้นด้วยคอนเซปต์ของที่นี่คือ “บ้าน” ซึ่งอาศัยอยู่จริง ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์จึงเป็นที่พักของครอบครัว แต่จะเปิดต้อนรับแขกเพียง 2 วัน คือ เสาร์และอาทิตย์ ตามแนวคิดของคุณโก้เจ้าของร้าน ที่ตั้งใจอยากจะทำบ้านให้มีรายได้ สามารถหาเงินเลี้ยงตัวมันเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เป็นธุรกิจที่มีความสุข อยู่บ้านแล้วก็มีความสุข ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติจึงเกิดเป็น “บ้าน1000ไม้ Café and Farm” แห่งนี้ บนเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 3 ไร่ ภายในบ้าน ถูกจัดสรรปันส่วนให้เป็นบ่อน้ำ 30 % นาข้าว 30% ทำเกษตรแบบผสมผสาน เช่น การปลูกไม้ผล ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ 30 % และอีก 10% คือบ้านอยู่อาศัย ดังนั้น ในวันหยุดที่บ้านหลังนี้เปิดต้อนรับแขก ที่มาเยือน ก็เสมือนได้มาเรียนรู้การเกษตร ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งคุณโก้ ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในชีวิตจริง สำหรับเด็กๆ แล้วที่นี่น่าจะเป็นอาณาจักรแห่งความสุข เพราะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบายสี พายเรือ ทำเสื้อมัดย้อม เล่นทราย เก็บไข่เป็ดไข่ไก่ ทำไข่เค็ม ดำนา ทำสวน ปลูกผักไฮโดร โปนิกส์ ฯลฯ เรียกได้ว่า เป็นการเปิดโลกแห่งจินตนาการและเรียนรู้ผ่านวิถีธรรมชาติ ที่สามารถมาเที่ยวได้ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ หรือมาแบบทั้งครอบครัว ด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ ภายใต้ร่มเงาของต้นจามจุรียักษ์ ก็มีคาเฟ่ให้นั่งพักจิบกาแฟ และเครื่องดื่มเย็นๆ ทานอาหารอร่อยๆ ที่ใช้วัตถุดิบจากในฟาร์ม ชิมขนมโบราณอย่างบ้าบิ่น หรือจะนั่งอ่านหนังสือรับลมเย็นๆ บนบ้านต้นไม้ก็ได้ ที่ศาลาริมแม่น้ำก็ดี ระหว่างรอเด็กๆ ทำกิจกรรมก็ชิลๆ กันได้ทั้งวันเลยทีเดียว.ที่ตั้ง: 48/8 ม. 6 ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี 12160วัน-เวลา: วันเสาร์-วันอาทิตย์ (และวันหยุดต่อเนื่อง) 10.00 – 17.00 น.ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชมโทร. 091 998 2466เว็บไซต์: www.facebook.com/บ้าน๑,๐๐๐ไม้cafe’&farm  Wisdom Farm: จิบกาแฟท่ามกลางบรรยากาศแปลงนาอินทรีย์ สัมผัสเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตเกษตร เราเดินเลี้ยวลดไปบนสะพานไม้ไผ่ที่คดเคี้ยวทอดตัวยาวไปตามแปลงนาสีเขียวสด สองฝั่งทางเดินเป็นสระบัวและแปลงนาสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ พื้นที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งโซนเปิดใหม่ ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่เอง ชื่อว่าโซน Wisdom Farm แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายใต้คอนเซปต์ สืบสาน รักษา ต่อยอด ศาสตร์ของพระราชาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยแบ่งออกเป็นฐานการเรียนรู้สัตว์ในวิถีเกษตร หากเดินไปจนสุดสะพานไม้จะพบกับลานชมสัตว์ที่สามารถให้อาหารเหล่าน้องวัว น้องควาย น้องแพะ น้องหมูแคระได้ด้วย หลังจากนั้น เราแวะชมแปลงเกษตรการปลูกพืชแบบผสมผสานที่อยู่ไม่ไกลกัน ถัดไปอีกนิดเป็นโซนเรือนไทย 4 ภาค ที่จำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ สัมผัสเสน่ห์ของวิถีเกษตรไทย ที่สะท้อนความเชื่อ วิถีชีวิต และประเพณี โดยจะมีกิจกรรม work shop ของแต่ละภาคให้เราทำด้วย นอกจากนี้ ยังมีโซนบ้านดิน บ้านฟางที่จำลองการสร้างที่พักอาศัยตามวิถีชีวิตของเกษตรกรที่อยู่อย่างเรียบง่ายใกล้ชิดกับธรรมชาติ แล้วยังสามารถเข้าไปชมเรือขุดคลองสมัยรัชกาลที่ 5 ตื่นตา ตื่นใจกับเครื่องบินที่ใช้ทำฝนหลวงได้อีกด้วย อีกหนึ่งความพิเศษที่เป็นไฮไลท์ของโซนนี้เลย ก็คือ Wisdom Café ร้านกาแฟเกษตรอินทรีย์ริมทุ่งนา ที่เราอยากชวน คุณมานั่งพักจิบกาแฟคุณภาพดี หรือเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ผ่อนคลาย ถ่ายรูปสวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศแปลงนาอินทรีย์ เมนูแนะนำของที่นี่ คือ น้ำส้มคั้นสดใหม่ ดื่มแล้วชื่นใจ ไร้สารพิษ ดีต่อสุขภาพ เราแอบเห็นหนึ่งเมนูที่ใครมาก็ต้องสั่ง ชาเขียวโกโก้หน้าตาน่ากิน ฟินแบบทูอินวันในแก้วเดียว ในส่วนของตัวร้านสร้างด้วยโครงไม้ไผ่ขนาดเล็กแบบโอเพ่นแอร์ มีระเบียงไม้ยื่นออกมาสำหรับเป็นที่นั่งชมวิว หรือจะนั่งข้างนอกร้านก็มีแคร่ไม้ไผ่ ได้ฟีลกลิ่นอายริมทุ่งนาจริงๆ สำหรับ ใครที่ชอบแบบตื่นเต้นนิดๆ ก็มีเปลตาข่ายที่ยื่นออกไปในสระบัว สามารถลงไปนั่ง ไปนอน ถ่ายรูปเก๋ ๆ ลงโซเชียลอวด เพื่อนๆ ก็ดีต่อใจไม่แพ้กัน ที่ตั้ง: หมู่ที่ 13 ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120วัน-เวลา: วันอังคาร-วันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) 9.00 –

เที่ยวแบบสายกรีนที่ปทุมธานี ตอนที่ 1 อ่านเพิ่มเติม

ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง

ภาพคลองโอ่งอ่างย่านสะพานเหล็กในความคิดของเพื่อน ๆ เป็นยังไงกันบ้าง ? ถ้ายังคิดว่าเป็นย่านขาย CD เถื่อน หรือยังนึกถึงภาพสะพานข้ามคลองแคบ ๆ โทรม ๆ แออัดล่ะก็ ลืมภาพนั้นไปได้เลย เพราะปัจจุบันคลองโอ่งอ่างอัพเกรดแล้ว ทางกรุงเทพมหานครได้ปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ ขยับขยายย้ายร้านค้าเดิมที่ตั้งปิดคลองทั้งหมดออกไป ฟื้นฟูพื้นที่ให้เป็นระเบียบสวยงาม ทำความสะอาดคลองจนน้ำเริ่มใส รวมทั้งมีการจัดทำ Street Art สวย ๆ เกือบตลอดแนวคลอง กลายเป็นสถานที่เดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะมีกิจกรรมพิเศษคือ “ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง” อีกด้วย ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง ครอบคลุมพื้นที่ 5 สะพาน (สะพานดำรงสถิต หรือสะพานเหล็ก สะพานภาณุพันธุ์ สะพานหัน สะพานบพิตรพิมุข และสะพานโอสถานนท์) เดินเล่นได้ทั้งสองฟากคลอง โดยโซนสะพานหันจะคึกคักที่สุด ส่วนการเดินทาง แอดแนะนำให้ใช้ MRT เพราะง่ายที่สุด สะดวกที่สุด จาก MRT สถานีสามยอด (ทางออก 1) เดินไม่ถึง 100 เมตรก็ถึงสะพานดำรงสถิตแล้ว เพื่อน ๆ จะได้เห็น Street Art ยาวไปทั้งสองฟากของคลองโอ่งอ่าง สวย ๆ ทั้งนั้น สองฝั่งคลองโอ่งอ่างคือย่านการค้าสำเพ็งและพาหุรัด Street Art ที่นี่จึงมีทั้งภาพวิถีชีวิตของชาวไทย ชาวจีน ชาวแขก ดูไปยิ้มไป ถ่ายรูปกันสนุกเลยทีเดียว จริงอยู่ที่ถนนคนเดินจะเปิดตอน 16.00 น. แต่แอดแนะนำให้มาประมาณ 17.00 น. เพราะเป็นช่วงแดดร่มลมตก ร้านค้าพร้อมเปิดร้านขายแล้วนั่นเอง มีผลงานของคุณ โอ๋ ฟูตอง อาร์ทิสต์สาวสุดเก๋ ด้วยนะ คลองโอ่งอ่าง เปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เวลา 16.00 – 22.00 น.การเดินทาง : รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสามยอด | ทางออก 1 เดินเล่นมาถึงช่วงสะพานหัน ก็รู้สึกหิวขึ้นมานิด ๆ อดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปที่ร้าน “เจ๊บ๊วย 60 ปี สะพานหัน” แอดสั่ง ก๋วยจั๊บและปอเปี๊ยะสดเพิ่มเนื้อปู มาลองชิมดู บอกเลยว่าต้องลอง อร่อยมาก โดยเฉพาะปอเปี๊ยะสด ห้ามพลาดเลยนะ!!!.ที่ตั้ง 22 ซอย วานิช 1 แขวง จักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100เปิดทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี 09.30 น. -17.00 น. / ศุกร์-อาทิตย์ 09.30 น. -19.30 น.โทร. 09 4664 4656 อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินเล่นกันต่อ เดินไปไม่ไกล ก็เจอตรอก AMA Café/ AMA Hostel ป้ายใหญ่โตสะดุดตา เดินเลี้ยวเข้าไปปุ๊บก็เจอโคมแดงแขวนตกแต่ง ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ เดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก็จะพบกับ AMA Café อยู่ทางด้านขวา ที่นี่เคยเป็นบ้านจีนโบราณอายุนับร้อยปี ก่อนจะรีโนเวทให้เป็นคาเฟ่และโฮสเทลในสไตล์จีนร่วมสมัย สำหรับขาจรแบบแอด จะอยู่ได้แค่ชั้นล่างที่เป็นโซนคาเฟ่ เลือกสั่งได้ตรงเคาน์เตอร์เลย เครื่องดื่มรสชาติดีใช้ได้เลย ทั้งกาแฟ โกโก้ ชาไทย เหมาะกับการนั่งพักสุด ๆ ที่ตั้ง 191 ซอยสะพานหัน ถนน จักรวรรดิ แขวง จักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100เปิดทุกวัน 09.00 น. -17.30 น.โทร. 08 5867 7888 ไหน ๆ ย่านนี้ก็มีทั้งวัฒนธรรมจีนและอินเดียผสมผสานกันอยู่ แล้วเราจะพลาดอาหารอินเดียไปได้ไง เดินข้ามสะพานตามแอดมาฝั่งตรงข้ามกัน เราจะไปที่ร้าน Tony’s Restaurant ร้านนี้เป็นร้านอาหารอินเดียแนว Street Food ราคาเป็นมิตร รสชาติแบบ Home Cook ใครสนใจลองก็เข้ามาเลย เมนูที่แอดสั่งวันนี้ คือ แกงไก่มาซาลา แป้งโรตี และ Lassi (เครื่องดื่มที่ทำจากโยเกิร์ต) ซึ่งแอดสั่งแบบหวานมา รสชาติดื่มง่ายกว่าหลายร้านที่แอดเคยดื่มมาก่อน ประทับใจมากทีเดียว ที่ตั้ง 64/1 ซอย ริมคลองโอ่งอ่าง แขวง วังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200เปิดทุกวัน 11.00 น. -22.00 น. ระหว่างเดินเล่น อย่าลืมมองพื้นนะ มี “ฝาท่อลายศิลป์” สวย ๆ เก๋ ๆ รอให้เพื่อน ๆ ค้นหาอยู่ด้วย ก่อนกลับบ้าน แอดจะพาไปแวะร้าน Ing Teahouse ร้านชานมไข่มุกและขนมไต้หวันอีกสักร้าน มีเมนูให้เลือกสั่งเยอะแยะ เครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่ชาหรือกาแฟก็มีนะ แอดเลยสั่ง Mojito มาดื่มเพิ่มความสดชื่น ที่ตั้ง 136 ถนน จักรวรรดิ แขวง จักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100เปิดทุกวันศุกร์-อาทิตย์ 10.00 น. – 21.00 น.โทร. 08

ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top