กรุงเทพมหานคร

กรุงเทพมหานคร

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำ เย็นใจในเมืองกรุง 📌🚣‍♀

เที่ยวหน้าร้อนต้องใกล้น้ำ ชวนนักเดินทางปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำในเมืองกรุง สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำของชุมชนริมคลอง ซึ่งหลายแห่งยังคงเห็นวิถีดั้งเดิม ที่สืบเนื่องถึงปัจจุบันเช่นเดียวกับสายน้ำที่ยังคงไหลรินเรื่อยมาแต่อดีต รื่นรมย์กับบรรยากาศที่ชวนย้อนเวลาราวกับยังมีชีวิต ลิ้มรสอาหารพื้นบ้าน ชมภูมิปัญญาท้องถิ่น สนับสนุนรายได้สู่ชุมชน แบ่งปันความสุขพร้อมมองสายน้ำไหลผ่านที่พาให้ใจร่มเย็นไปด้วยกัน 💗 เที่ยวตลาดน้ำในกรุงฯ มีกิจกรรมอะไรน่าสนใจบ้าง…1. ชิมอาหารพื้นบ้าน และอุดหนุนสินค้าชุมชน จากพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นคนในพื้นที่2. เรียนรู้งานหัตถกรรม ภูมิปัญญาชาวบ้าน และเอกลักษณ์ประจำถิ่นของแต่ละพื้นที่3. นั่งเรือชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมสองฝั่งน้ำ  ตลาดน้ำคลองบางหลวง ตลาดน้ำท้องถิ่นเล็ก ๆ ริมคลองบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เรือนไม้ ร้านกาแฟ งานศิลป์ หุ่นละครเล็ก และวัดเก่าตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา กลายเป็นมนต์เสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้ ผู้ชื่นชอบงานศิลป์และรักสงบเราขอแนะนำเลย  ตลาดน้ำวัดสะพาน ตลาดน้ำย่านราชพฤกษ์ ที่ชวนให้เพลิดเพลินกับรสมือของชาวชุมชนริมคลอง ข้าวหม้อแกงหม้อต่างล่องเรือมาขายให้นักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา มีบริการนั่งเรือชมวิว 2 ฝั่งคลองด้วย  ตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดกึ่งชนบทผสมผสานระหว่างชีวิตริมคลองชักพระกับธรรมชาติ อยู่บริเวณหน้าสำนักงานเขตตลิ่งชัน นอกจากอาหารการกิน ยังมีงานหัตถกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือจะนั่งเรือหางยาวไปตลาดน้ำแห่งอื่น ๆ ต่อก็ได้เช่นกัน  ตลาดน้ำสองคลอง อยู่ใกล้กับตลาดน้ำตลิ่งชันเพียงข้ามคลองวัดตลิ่งชันเท่านั้น ตั้งอยู่ในเขตวัดตลิ่งชัน ลิ้มรสอาหารไทยพื้นบ้านท่ามกลางบรรยากาศตลาดริมน้ำหลังคามุงแฝก ชมวิหารเก่า ให้อาหารปลาริมคลอง อิ่มใจ ได้บุญ  ตลาดน้ำคลองลัดมะยม แดนสวรรค์สำหรับสายกิน นักชิม หรือนักชอปสายอาหาร เพราะบรรดาร้านรวงในตลาดน้ำแห่งนี้ มีอาหารน่าอร่อยมากมาย เตรียมจับจ่ายพร้อมหิ้วกลับบ้านแบบจัดเต็ม

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำ เย็นใจในเมืองกรุง 📌🚣‍♀ อ่านเพิ่มเติม

พระนคร Walking 🚶‍♀️

พระนคร Walking ส่องตึกเก่าย่านสามแพร่ง เดินเลาะเลียบถนนตะนาว ✨ สามแพร่ง ย่านชุมชนเก่าแก่บริเวณถนนตะนาว ในเขตพระนคร กรุงเทพฯ ในอดีต เป็นกลุ่มวังที่ประทับของเจ้านายในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้แก่ วังกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ วังกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ และวังกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตัดทางผ่านกลางพื้นที่กลุ่มวังนี้ เพื่อเชื่อมถนนอัษฎางค์กับถนนตะนาว จนเกิดเป็นทางสามแพร่ง และตั้งชื่อถนนในย่านนี้ตามพระนามเจ้าของวัง คือ ถนนแพร่งสรรพศาสตร์ ถนนแพร่งนรา และถนนแพร่งภูธร เลียบถนนตะนาว เลาะไปตามซอยต่าง ๆ มีตึกรามบ้านช่องมากมาย เป็นทั้งแหล่งทำมาค้าขาย ที่พักอาศัย และที่ดินทรัพย์สินของเชื้อพระวงศ์ในสมัยนั้น วันเวลาผ่านไป อาคารเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และยังคงมีอาคารดั้งเดิมที่ซ่อนตัวท่ามกลางชุมชน วันนี้ จะพาเพื่อน ๆ ไปเดินชมตึกเก่า ชี้พิกัดร้านอาหาร เพราะในย่านนี้ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมร้านอร่อยอีกย่านหนึ่งในพระนครเลยล่ะ 😋  เส้นทางเดินเที่ยวลัดเลาะในทริปนี้ บัดดี้จะพาเพื่อน ๆ เดินทางโดยขนส่งสาธารณะแบบง่าย ๆ โดยรถไฟใต้ดิน MRT มาที่สถานีสามยอด  จากนั้นเดินเท้า มุ่งหน้าไปทางแยกสี่กั๊กพระยาศรี เลี้ยวขวาเข้าถนนเฟื่องนคร เดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะมาถึงแยกสี่กั๊กเสาชิงช้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนตะนาว หากมาตามแผนที่ที่แนะนำไว้ เพื่อน ๆ จะถึงที่แพร่งภูธรเป็นจุดแรก สามารถเดินเข้าได้ 2 ทางคือทางเข้าฝั่งถนนตะนาว และทางเข้าฝั่งถนนบำรุงเมือง เราจะพาเพื่อน ๆ มาเดินเข้าฝั่งถนนบำรุงเมืองเพื่อชม เดอะไนท์เฮ้าส์ (The Knight House)  อาคารสีเหลืองหลังคาจั่ว ลายฉลุแบบเรือนขนมปังขิง ผสมผสานศิลปะแบบโคโลเนียลเข้าด้วยกัน ในอดีตบนที่ดินผืนนี้เป็นตึกแถวของเจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 จากนั้นก็เปลี่ยนผู้ถือครองและเปิดเป็นร้าน “ไนท์ บาร์เบอร์” ที่อยู่คู่แพร่งภูธรมาราว ๆ 30 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นเดอะไนท์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่และมีความสวยอย่างมาก ที่นี่เปิดให้บริการที่พักและคาเฟ่ หากเพื่อน ๆ มาเที่ยวชมแถวนี้ อย่าลืมแวะมาที่นี่กันนะ ฝั่งขวามือที่เรากำลังจะเดินเข้าไปในซอย มีป้ายชื่อถนนแพร่งภูธร ตัดกับอาคารสีเหลือง เหมาะจะเป็นมุมเช็กอินถ่ายรูปปัง ๆ แพร่งภูธร หรือในอดีตคือ “วังสะพานช้างโรงสี” ซึ่งเจ้านายพระองค์สุดท้ายที่ประทับที่วัง คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ ซึ่งต่อมาเมื่อกรมหมื่นภูธเรศฯ สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพื้นที่ทำเป็นตึกแถว และยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบเดิมไว้ เดินจากปากซอยตรงเข้ามาเพียงแค่นิดเดียว มองเห็น อาคารสีเหลือง 2 ชั้น ครอบด้วยหลังคาสีแดงดูสะดุดตา ที่นี่คือ “สุขุมาลอนามัย” สถานีกาชาดที่ 2 ที่ตั้งอยู่กลางแพร่งภูธร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 เพื่อเป็นอนุสาวรีย์เชิดชูพระเกียรติคุณสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี เดิมที อาคารสุขุมาลอนามัยเป็นตึกสีขาว ภายหลังมีการซ่อมแซมและทาสีใหม่จนเป็นที่โดดเด่นท่ามกลางตึกแถวในย่านนี้ เพื่อน ๆ บางคน โดยเฉพาะเพื่อน ๆ สายซีรีส์เกาหลีอาจจะคุ้น ๆ มุมภาพนี้ จริง ๆ แล้วตรงนี้เคยเป็นจุดที่มีถ่ายทำซีรีส์เกาหลีแนวคอมเมดี้ ฉายเมื่อปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นฉากที่พระเอก นางเอก และพระรอง กางร่มท่ามกลางสายฝนนั่นเอง  ตึกแถวในบริเวณนี้ รวมทั้งตึกแถวในซอยแพร่งนราจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปผสมจีนตั้งเรียงยาวทั้ง 2 ฝั่ง ตรงหน้านี้คือ 1905 เฮอริเทจ คอร์นเนอร์ (1905 Heritage Corner)  เป็นลักซูรี่เกสต์เฮาส์ขนาด 3 ห้อง ที่รีโนเวทมาจากตึกเก่าอย่างประณีต อยู่ใกล้ ๆ กับสุขุมาลอนามัยเพียงไม่กี่สิบก้าว จากการสืบค้นประวัติศาสตร์ เจ้าของเกสต์เฮาส์พบว่าที่นี่เคยเป็นโรงน้ำชามาก่อน จึงรีโนเวทและตกแต่งที่พักแห่งนี้ในคอนเซ็ปต์โรงน้ำชา มีกลิ่นอายความเป็นจีนผสมกับความเป็นโคโลเนียลตามยุคสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างลงตัว นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและร้านขายงานคราฟต์ท้องถิ่นให้เราได้ไปชอปปิงเพลิน ๆ อีกด้วย เดินมาจนสุดทางแพร่งภูธร บรรจบกับถนนตะนาว ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกเก่าเช่นกัน แม้ว่าจะดูหน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่ก็มีลวดลายที่แตกต่างกันไป 2 คูหาในตึกแถวหลังนี้ คือที่ตั้งของร้านข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าดังในย่านพระนคร “ก.พานิช”  ที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 แถมยังได้รับรางวัลการันตีความอร่อยมามากมาย รวมทั้งรางวัลบิบ กรูมองต์ ของมิชลิน รวมถึงในปีนี้ด้วย แค่เห็นหน้าตาข้าวเหนียวมะม่วงกล่องนี้ ก็เดาได้เลยว่าต้องอร่อย หวานฉ่ำแน่ ๆ ใครมาย่านนี้ อย่าลืมมาแวะซื้อที่ ก.พานิช กันนะ เดินชมกันต่อที่แพร่งนรา นอกจากอาคารตึกแถวสีเหลืองที่ตั้งเรียงทั้งสองฝั่งแล้ว ยังมีอาคารเก่าที่มีรูปแบบสวยงามไม่แพ้กัน ที่นี่คือ “โรงเรียนตะละภัฏศึกษา”  ในอดีตคือ “วังวรวรรณ” ที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้ทรงปรีชาสามารถมากในด้านการประพันธ์ ทรงเป็นผู้นิพนธ์บทละครร้อง และสร้างโรงละครปรีดาลัยซึ่งเป็นโรงละครร้องแห่งแรกของไทยขึ้นภายในวังของพระองค์ท่าน ลักษณะอาคารเป็นกึ่งปูนกึ่งไม้ มีระเบียงไม้ฉลุลายอย่างสวยงาม โรงเรียนแห่งนี้ปิดทำการไปเมื่อปี พ.ศ. 2538 แม้ปัจจุบันจะชมได้แค่ภายนอกเท่านั้น แต่ก็คุ้มค่าแก่การมาชม เพลิดเพลินกับศิลปะผ่านสถาปัตยกรรมกันมาพอสมควรแล้ว บัดดี้ขอปักหมุดร้านอร่อยในย่านนี้ให้เพื่อน ๆ ได้ลิสต์ไว้ มีทั้งคาวหวาน คาเฟ่น่านั่ง และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครมีร้านเด็ดในย่านนี้ คอมเมนต์มาบอกได้เลยนะ  เดินเลียบถนนตะนาวมาจนถึงแพร่งสรรพศาสตร์ มองเห็นซุ้มประตูตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “วังสรรพสาตรศุภกิจ” ซึ่งเดิมเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ซุ้มประตูนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป หน้าบันเจาะเป็นวงกลม มีประติมากรรมรูปผู้หญิงในท่ายืนถือคบไฟ รอบ ๆ ประดับกระจกสี ต่อมาภายหลังได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เสียหายจนหมด เหลือเพียงซุ้มประตูวังเก่าที่ยังคงความสวยงามให้คนรุ่นหลังได้ชม และเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของย่านสามแพร่ง เดินถัดจากซุ้มประตูไปไม่ไกล คือ “ศาลเจ้าพ่อเสือ”  มาถึงย่านนี้ สายมูห้ามพลาด ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ตั่วเหล่าเอี้ย”

พระนคร Walking 🚶‍♀️ อ่านเพิ่มเติม

✨ รวมร้านเที่ยว-กิน ย่านท่าดินแดง ✨

วันนี้บัดดี้มีรูทเดินเที่ยวสั้น ๆ สำหรับคนที่มีเวลาน้อยและต้องการการเดินทางที่สะดวกมานำเสนอ ซึ่งรูทนี้จะเน้นที่กินเป็นหลัก ใครหาไอเดียเที่ยวง่าย ๆ ในเมืองกรุงแล้วยังไม่รู้จะไปที่ไหน ตามไปอ่านรายละเอียดกันได้ โดยวันนี้จะมีทั้งหมด 15 พิกัด การเดินทางรถประจำทาง สาย 6,42,43รถส่วนตัว จอดได้บริเวณวัดใกล้เคียง (วัดอนงคาราม,วัดทองนพคุณ) ทางเรือ1. เรือด่วนเจ้าพระยา ลงท่าราชวงศ์ จากนั้นโดยสารเรือข้ามฟากไปยังท่าดินแดง ราคา 4 บาท2. เรือบริการฟรี จากท่าไอคอนสยาม จอดส่งท่าดินแดง และท่าศาลเจ้ากวนอู รถไฟฟ้า BTS1. สายสีเขียวอ่อน(สีลม) ลงสถานีสะพานตากสิน ลงเรือด่วนเจ้าพระยา 15 บาท มาขึ้นที่ท่าราชวงศ์ จากนั้นโดยสารเรือข้ามฟากไปยังท่าดินแดง2. สายสีทอง ลงสถานีคลองสานแล้วเดินต่อไปทางถนนท่าดินแดง 1. ตรอกดิลกจันทร์ สถานที่แรกที่บัดดี้จะพาเพื่อน ๆ มาก็คือ ตรอกดิลกจันทร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ชุมชนสมเด็จย่า ในอดีตเป็นย่านธุรกิจที่คึกคักมาก มีกิจการขนาดใหญ่มากมาย ทั้งโรงสีข้าว โรงงานน้ำปลา โรงเกลือ โรงทำชันยาเรือ โรงงานทอผ้า ฯลฯ ก่อนจะซบเซาไป หลายกิจการปิดตัว หลายกิจการย้ายออก แต่ก็ยังมีตึกเก่าสวยคลาสสิคจากสมัยนั้นหลงเหลือให้ได้เห็นกันอยู่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เห็นได้จากที่มีทั้งวัดไทย ศาลเจ้าจีน และมัสยิดอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน บ้านเรือนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นอาคารพาณิชย์ บรรยากาศไม่พลุกพล่าน มีร้านอาหาร ร้านรถเข็นให้เห็นหลายร้าน หลังจากเดินเล่นเรื่อยไปจนถึงกลาง ๆ ซอย เราก็ได้เจอกับ “ร้านขาหมูเจ๊นง” เป็นร้านรถเข็นเล็ก ๆ เจ้าของร้านอัธยาศัยดีเยี่ยม ยิ้มแย้มทักทายมาแต่ไกลเลยทีเดียว บัดดี้สั่งข้าวขาหมู และข้าวหมูแดงหมูกรอบมาลองชิม รสชาติอร่อยมาก ขาหมูไม่หวานจนเลี่ยน หมูกรอบเนื้อแน่น กรอบอร่อย หมูแดงเนื้อนุ่มหอมกลิ่นควันที่ใช้ย่าง สมกับที่เป็นเจ้าเก่าเปิดมากว่า 32 ปี ระหว่างที่กิน เจ๊นงก็ชวนคุยและเล่าความเป็นมารวมถึงแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในแถบนี้ให้ฟังซะเพลินเลย เจ๊นงบอกว่า มาย่านนี้ต้องไปไหว้ศาลเจ้าให้ครบ 2 แห่ง บัดดี้เลยมุ่งหน้าไปสักการะศาลเจ้าแห่งแรกก่อน นั่นคือ ศาลเจ้าพ่อเสือ(คลองสาน) ที่เดินจากร้านเจ๊นงไปไม่ถึง 10 นาที ศาลเจ้าแห่งนี้ แต่เดิมเป็นศาลไม้ ก่อนจะมีการบูรณะเพิ่มเติมในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม ช่วงเหตุการณ์ไฟไหม้ จนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ศาลเจ้าพ่อเสือที่นี่เป็นศาลเก่าแก่ที่ชาวชุมชนให้ความเคารพมาก มีผู้ศรัทธาเข้ามากราบไหว้อยู่เสมอ คนที่ไม่รู้ว่าขั้นตอนไหว้เป็นยังไงไม่ต้องห่วง จะมีคนดูแลศาลเจ้าท่าทางใจดีคอยให้คำแนะนำ  ตรอกสะพานยาว แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปิดบริการทุกวันเวลา 06.00-21.00 น.https://goo.gl/maps/Dgu7hXqVK4orXEGU7 ศาลเจ้าแห่งที่ 2 ที่เจ๊นงแนะนำ คือ ศาลเจ้ากวนอู เป็นศาลเจ้าริมน้ำที่ผ่านกาลเวลาและรวมความศรัทธาของคนในพื้นที่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2279 ระหว่างทางจะมีกราฟิตี้สวย ๆ ตามผนังตึกให้ดูเป็นระยะ ใครอยากถ่ายรูปลงโซเชียล ก็จัดเต็มได้เลยนะ บริเวณริมน้ำด้านหน้าศาล เพื่อน ๆ จะพบรูปปั้นสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสิน หันหน้าออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ว่ากันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินเคยเสด็จมาสักการะเทพเจ้ากวนอูที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อนจะกรีธาทัพไปทำสงคราม นี่จึงเป็นที่มาของรูปปั้นสักการะดังกล่าว  ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปิดบริการทุกวันเวลา 07.00-17.00 น. 0 2439 6309https://goo.gl/maps/itjqC4BCfJn4JVaK9 2. My Grandparent’s House บ้านอากงอาม่า ติดกับศาลเจ้ากวนอู จะมีคาเฟ่ริมน้ำที่ดัดแปลงมาจากบ้านไม้ อายุกว่า 90 ปี จุดเด่นของที่นี่ก็คือ บรรยากาศ ที่มีความชิลระดับ 100 เต็ม 10 ทั้งตัวบ้านไม้ที่มีความย้อนยุคและขนม เครื่องดื่ม สูตรอาม่าเจ้าของร้าน ที่รอเพื่อน ๆ ไปชิม ด้านหน้าของร้านบ้านอากงอาม่า จะมีบ้านคหบดีจีนโบราณอายุประมาณสองร้อยกว่าปี และเป็นที่ตั้งของโรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ ธุรกิจที่ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษชาวจีน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 2 โดยได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของจีนทางตอนใต้ โดยจะเรียกบ้านในรูปทรงนี้เรียกว่าบ้านล้อมลาน เพราะจุดเด่นของบ้านที่มีลานโล่งอยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยอาคารที่อยู่อาศัย ซึ่งในปัจจุบันสถาปัตยกรรมในรูปแบบนี้แทบหาดูไม่ได้แล้ว  ไหน ๆ ก็มาถึงโรงน้ำปลาแล้ว บัดดี้เลยถือโอกาสซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วย เพื่อน ๆ คนไหนอยากลองชิมน้ำปลาสูตรโบราณ ๆ ก็ลองซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านได้นะ  253 ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 แขวง สมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00-18.00 น. 0 2437 5183https://goo.gl/maps/c3wy8g6bEiR9nT6w6 3. Deep Root Café สถานที่ต่อมาเป็นคาเฟ่ที่มีความ ดิบ เท่ ที่ในอดีต บริเวณนี้เป็นทางผ่านและขนส่งสินค้าแห้ง เพื่อลำเลียงไปยังท่าเรือเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ผ่านการปรับเปลี่ยนโดยเจ้าของปัจจุบันจนกลายเป็นร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น โดดเด่นด้วยภาพวาดสีสันฉูดฉาด ต้นไม้ใหญ่ และเครื่องดื่มสุดพิถีพิถันอร่อยในราคาย่อมเยา แถมยังจะได้ฟังเรื่องเล่าในอดีตของชุมชนแห่งนี้อีกด้วย  255/2 ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 08 5150 4512 เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00-20.00 น. (ปิดวันอังคาร)https://goo.gl/maps/bPMbQHzFhMP17NEG6 4. ข้าวพระรามลงสรง (ซาแต๊ปึ่ง) เดินผ่านสีแยกท่าดินแดงไปไม่ถึง 5 นาที ก็จะเจออีกหนึ่งร้านที่บัดดี้อยากแนะนำเพื่อน ๆ ตั้งอยู่ด้านขวามือ อยู่เยื้อง ๆ กับซอยท่าดินแดง 6 ข้าวพระรามลงสรงหรือชื่อในภาษาแต้จิ๋วว่า “ซาแต๊ปึ่ง” เป็นอาหารจีนชนิดหนึ่ง ที่ประกอบด้วยข้าวสวย ผักบุ้งลวกและเนื้อหมู ราดด้วยน้ำราดที่ทีลักษณะข้นคล้ายน้ำจิ้มสะเต๊ะ รสชาติออกหวานกินพร้อมกับน้ำพริกเผาอร่อยเข้ากันมาก ปัจจุบันหารับประทานได้ยาก ซึ่งร้านนี้มีทั้งแบบราดข้าวและราดเส้นหมี่ให้เลือก  61 ถนนท่าดินแดง แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร

✨ รวมร้านเที่ยว-กิน ย่านท่าดินแดง ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ Van Gogh Alive Bangkok @ ICON SIAM ✨

วันนี้จะเป็นการนำเสนอนิทรรศการศิลปะจากศิลปินชื่อดังระดับโลก “ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค” หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า “วินเซนต์ แวนโกะห์” ศิลปินชาวดัตช์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในวงการศิลปะ พร้อมกับสไตล์งานที่โดดเด่นในยุคนั้น ทั้งการใช้สีสันและฝีแปรงที่ถ่ายทอดอารมณ์ของคนวาดลงไปอย่างเต็มที่ จนหลายคนมองว่าเขาเป็นคนสติเฟื่อนและมีภาพจำว่าเขาเป็นเพียงศิลปินที่มีปัญหาทางอารมณ์ที่เกินควบคุมจนถึงขนาดกล้าตัดหูตัวเอง คอนเทนต์ในวันนี้ จะเป็นการนำเสนอประวัติของ แวนโกะห์ ผ่านนิทรรศการภาพวาดของตัวเขาเอง ที่ไม่อยากให้ใครหลายคนพลาด ตามมาดูเรื่องราวของความมหัศจรรย์บนผืนผ้าใบยุคก่อนบนจอสกรีนขนาดใหญ่ในยุคนี้ไปพร้อมกัน ว่าจะพาเราให้รู้จักเรื่องราวของศิลปินคนนี้ได้อย่างไรบ้าง เอาล่ะ มาเริ่มเดินทางเข้าสู่นิทรรศการนี้ไปพร้อมกัน เพื่อน ๆ สามารถซื้อบัตรเข้างานออนไลน์ได้ที่ https://www.thaiticketmajor.com/van-gogh-alive/…หรือหากใครไม่สะดวก ก็เดินไปซื้อที่งานได้เลย งานจัดอยู่ที่ Attraction Hall ชั้น 6 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม (นิทรรศการจัดใกล้ ๆ โรงหนัง SF) เมื่อเข้ามาแล้ว ในโซนแรกจะเป็นห้องที่บอกเล่าประวัติของ แวนโกะห์ คร่าว ๆ เผื่อใครเพิ่งเริ่มติดตามจะได้ทราบประวัติของเขาแบบย่อ ๆ ซึ่งการได้รู้ประวัติของตัวศิลปินก่อนเข้าชมนิทรรศการ สามารถเพิ่มอรรถรสในการชมห้องต่อไปได้มากทีเดียว โดย แวนโกะห์ มีประวัติย่อ ๆ ดังนี้ แวนโกะห์ เกิดวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1853 ที่เมืองซึนเดิร์ต (Zundert) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มีพ่อเป็นนักบวชหลวงนิกายโปรแตสแตนท์ แม่และครอบครัวฝั่งแม่ทำงานด้านศิลปะ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน โดยมีน้องชายที่เขาสนิทชื่อ ธีโอ ตลอดชีวิตในวัยเด็ก เขาคลุกคลีและได้เรียนรู้ถึงความเป็นอยู่ระหว่างชนชั้นกลางของทางบ้านเขาและเหล่าเกษตรกร กรรมกร ว่าต่างกันขนาดไหน ซึ่งประสบการณ์ในช่วงนี้จะเป็น 1 ในอิทธิพลที่ส่งผลต่อผลงานการวาดภาพช่วงแรก ๆ ของเขา หลังจากเรียนจบ เขาได้ทำงานที่ Goupil & Cie ห้องภาพแห่งหนึ่งที่ญาติเขาเป็นหุ้นส่วนตั้งแต่อายุ 16 ปี และเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี เขาถูกส่งตัวไปยังห้องภาพสาขาปารีส ด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อและพูดตรง เขาจะบอกลูกค้าไม่ให้ซื้อภาพนั้นหากเป็นภาพที่ไม่คุ้มค่ากับราคา จนสร้างความไม่พอใจให้ทางร้านและไล่เขาออกในที่สุด ในช่วงอายุ 20 เป็นช่วงที่เขาทั้งผิดหวังจากความรักและมีภาวะซึมเศร้า เขาจึงเริ่มมองหาเส้นทางใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง อย่างการลองศึกษาศาสนาและเป็นผู้เผยแพร่ แต่ก็ไปไม่รอดเพราะเขาเป็นคนที่พูดจูงใจคนไม่เก่ง แถมยังอุทิศเงินส่วนตัวให้กับคนทุกข์ยากจนตัวเองลำบาก ต้องกินแค่เศษขนมปัง ทำให้ร่างกายผอมลงและเป็นพิษไข้ สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออกจากการเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา จนกระทั่งเขาอายุได้ 27 ปี เป็นช่วงที่เขาได้พบกับเส้นทางที่เขาตามหา เขาเริ่มหันมาสนใจในศิลปะอีกครั้ง จากการพบเห็นผลงานศิลปะแบบ Impression ในยุคนั้น เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะวาดและถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเขาลงไปในภาพวาด โดยมีน้องชายของเขา ธีโอ เป็นนายหน้าขายภาพให้ หากเทียบกับศิลปินคนอื่น ถือว่าเขาเริ่มต้นวาดภาพช้าและมีเวลาในการวาดรูปเพียง 10 ปีเท่านั้น เพราะในช่วงวัย 37 ปี เขาได้เสียชีวิตลงจากสาเหตุยิงตัวเองเข้าที่กลางลำตัว หลายคนก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพราะมีปากเสียงกับเด็กหนุ่มวัยคึกคะนองในละแวกนั้นมากกว่า แต่ใน 10 ปีนี้ เขามีผลงานศิลปะราว 2,100 ชิ้น เป็นภาพวาดสีน้ำมันกว่า 900 ชิ้น และภาพวาดลายเส้นอีกประมาณ 1,100 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาวาดในช่วงเวลาสองปีสุดท้ายก่อนเสียชีวิต หลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว 6 เดือนต่อมา ธีโอ น้องชายผู้สนับสนุนและคอยผลักดันเส้นทางการเป็นศิลปินของแวนโกะห์ ก็เสียชีวิตจากโรคทางสมอง โจฮันนา ภรรยาหม้ายของธีโอ ที่ยังเชื่อมั่นในตัวของแวนโกะห์ ก็ต่อสู้ผลักดันผลงานของเขาต่อไป จนผลงานของเขาเป็นที่นิยมขึ้นมา และกลายเป็นของล้ำค่าราคาสูงจนถึงปัจจุบัน ในห้องเดียวกันมีประวัติของภาพวาดอย่าง The Starry Night, Café Terrace At Night, Sunflowers, Almod Blossom, Portrait Of Dr.Garchet, Wheat Field With Crow ให้อ่านด้วยนะ นอกจากนี้ ภายในโซนแรก เพื่อน ๆ จะพบกับห้องนอนจำลอง ที่มีต้นแบบมาจากภาพวาด Bedroom in Arles ภาพห้องนอนของ แวนโกะห์ ในบ้านหลังสีเหลือง ที่เขาอาศัยร่วมอยู่กับเพื่อนศิลปิน พอล โกแกง (Paul Gauguin) ที่ทำให้ต่อมามีรูปที่มีชื่อเสียงมาก ๆ อีกรูปก็คือ “ดอกทานตะวัน” นั่นเอง จากนั้นจะเป็นการเดินทางเข้าสู่โซนที่ 2 ไฮไลท์ของนิทรรศการนี้ ซึ่งจะมีป้ายแจ้งข้อมูลก่อนเดินเข้าไป ว่าทางนิทรรศการแนะนำให้ผู้เข้าชมใช้เวลาอย่างน้อย 40 นาทีในการชมโซนที่ 2 นี้ การเล่าเรื่องของโซนนี้ จะเป็นการนำเสนอประวัติของ แวนโกะห์ ที่เราอ่านกันในโซนที่ 1 ผ่านภาพวาดของเขาตามช่วงอายุ ด้วย Immersive Multi-Sensory Experience ที่จะเริ่มฉายภาพไปทั่วกำแพงและพื้น มีตั้งแต่ภาพที่เขาเริ่มวาดด้วยสีทึมทะมึน อย่างภาพ The potato eaters ที่บอกเล่าเรื่องราวที่เขาพบเจอมาในช่วงเด็ก ที่นำเสนอภาพชีวิตของครอบครัวชาวนาล้อมวงกินอาหารมื้อค่ำอย่างสมถะ ซึ่งภาพนี้เป็นอีกภาพที่ทำให้คนเริ่มหันมามองเขาในฐานะศิลปิน ไปจนถึงภาพที่เขาหัดวาดดอกไม้ และวาดภาพเหมือนของตัวเอง บรรยากาศรอบตัวจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากภาพวาดของเขาที่มีอยู่หลายพันภาพ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาด ที่สำคัญในบางช่วงจะมี “กลิ่น” ที่ทางงานปล่อยออกมา เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์ในการชมที่มากขึ้นอีกด้วย ภาพที่ฉายออกมา หากไปดูใกล้ ๆ จะเห็นรายละเอียดของฝีแปรงจากตัวศิลปินได้อย่างชัดเจน อย่างภาพ Starry Night Over the Rhône ก็เห็นรายละเอียดนี้ชัดมาก ต้องชมความเก่งและความทันสมัยของเทคโนโลยีและผู้จัดงานนี้จริง ๆ ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ดี ๆ มาให้ผู้ชมงานได้มากขนาดนี้ โซนต่อมา เป็น Installation Art ที่จะจำลองภาพวาดของเขาออกมาเป็นพื้นที่จริง ให้ผู้เข้าชมได้ไปถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องนี้ เพื่อน ๆ จะเจอกับภาพ Noon, Rest

✨ Van Gogh Alive Bangkok @ ICON SIAM ✨ อ่านเพิ่มเติม

🌿 กาลิเลโอเอซิส : GalileOasis 🌿

หากวันหยุดเพียงระยะเวลาสั้น ๆ อาจไม่เป็นใจให้ใครหลาย ๆ คนออกเดินทางไปพักผ่อนในต่างจังหวัด…อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนในเมืองกรุงฯ กันดูไหม เพราะในกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยอาคารมากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง ยังมีมุมลับสีเขียวที่หลบซ่อนอยู่ในซอยเล็ก ๆ ย่านบรรทัดทอง กาลิเลโอเอซิส เป็นอาร์ตสเปซขนาดย่อม ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความแออัดและทรุดโทรมอย่างมากก่อนจะทำการรีโนเวทใหม่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร คาเฟ่ ที่พัก ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น แต่งแต้มสีสันภายในโครงการฯ ด้วยศิลปะจากอาร์ตแกลเลอรี่ นิทรรศการหมุนเวียน และโรงละคร หากพร้อมแล้ว จะพาไปชมบรรยากาศภายในโครงการกัน กาลิเลโอเอซิส ตั้งอยู่ในซอยโรงเรียนกิ่งเพชร ที่นี่ไม่มีที่จอดรถ  แนะนำการเดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีราชเทวี ทางออก 1 ปักหมุดกาลิเลโอเอซิส เดินเข้าซอยพญานาคไปเรื่อย ๆ จนถึงแยกซอยโรงเรียนกิ่งเพชร เดินเข้าซอยไปเพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายโครงการฯ ระยะทางรวม 800 เมตร  ซอยโรงเรียนกิ่งเพชร ถนนบรรทัดทอง แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานครhttps://goo.gl/maps/3dBgDVdzoLoYzjXZ7 เมื่อเดินมาถึง มองเห็น  Piccolo Vicolo Café (พิคโคโล่ วิโคโล่ คาเฟ่) ตั้งเด่นอยู่หน้าโครงการฯ จนต้องเดินเข้าไปทันที ภายในร้านตกแต่งสไตล์วินเทจ ติดกระจกรอบด้าน ทำให้รู้สึกโปร่งสบาย ไม่อึดอัด  เช้า ๆ แบบนี้ ไม่ว่าจะวันไหน ๆ แค่ได้กลิ่นกาแฟก็หอมชื่นใจ ไม่รีรอที่จะสั่งเครื่องดื่มสักแก้ว  หลาย ๆ คนที่มา มักจะแนะนำเมนู “กาแฟมะพร้าว” เพราะเป็นกาแฟที่ใช้ความหวานจากน้ำมะพร้าวแท้ ทำให้กาแฟมีรสหวาน กลิ่นหอมสดชื่น  นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายชนิดให้ลอง สั่งกาแฟแล้วก็ไม่พลาดที่จะสั่งขนมหวานมาลองชิมคู่กัน  เมนูนี้คือ Flourless Chocolate Cake หรือเค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง สายคนรักสุขภาพไม่พลาดแน่นอน รสชาติเข้มข้น หวานน้อย ราดซอสราสป์เบอร์รีฉ่ำ ๆ  บรรยากาศภายร้านแต่ละมุมก็น่านั่งไปหมด เหมาะแก่การมานั่งชิล ๆ ในช่วงวันหยุดสั้น ๆ จิบกาแฟเพลิน ๆ แค่คิดก็ฟินน่าดู  Piccolo Vicolo Café บอกก่อนว่าที่นี่ยังมีมุมลับ ๆ อยู่อีก เดี๋ยวจะพาขึ้นไปชมที่ชั้น 2 กัน บริเวณชั้นที่ 2 ของร้าน Piccolo Vicolo Cafe’ เป็นอาร์ตแกลเลอรี่แบบหมุนเวียน แถมยังได้รับความนิยมไม่น้อย ในภาพนี้คือนิทรรศการ “ดิน นํ้า ลม ไฟ กับใจสองดวง” ที่รวบรวมผลงาน ของ คุณอรพินท์ กุศลรุ่งรัตน์ และ คุณอรพรรณ ลีทเกนฮอสท์ งานเซรามิกที่โดดเด่นด้วยลวดลายจากธรรมชาติ สู่กระบวนการปั้นและเผาจนเกิดเป็นเซรามิกที่สวยงาม แม้ว่างานจะจบลงไปแล้ว แต่เพื่อน ๆ ยังสามารถติดตามงานต่อ ๆ ไปรวมถึงอัปเดตกิจกรรมกันได้ที่https://www.facebook.com/GalileOasis-106387081866312/ ภายในโครงการกาลิเลโอเอซิส มีที่นั่งด้านนอกให้เพื่อน ๆ ได้นั่งพักผ่อนชิล ๆ กันด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะร้อน เพราะที่นี่มีบรรยากาศร่มรื่นมาก ๆ เลยล่ะ

🌿 กาลิเลโอเอซิส : GalileOasis 🌿 อ่านเพิ่มเติม

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน

เสาร์อาทิตย์นี้เพื่อน ๆ มีแพลนหรือยัง?? หากใครยังไม่รู้ว่าวันหยุดนี้จะไปเที่ยวไหน หรืออยากเที่ยวใน #กรุงเทพฯ แบบชิล ๆ เดินทางสะดวกรวดเร็ว มาปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน 4 แห่ง ในกรุงเทพฯ กัน ตลาดน้ำ เป็นแหล่งรวมซื้อ-ขายสินค้าหลากหลายตามวิถีชีวิตของชุมชนที่อยู่ติดริมแม่น้ำลำคลอง มักจะนิยมพายเรือขายของกันทางน้ำ และยังดำเนินวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้ตลาดน้ำในปัจจุบันจะแตกต่างจากในอดีตไปบ้างเล็กน้อย แต่ความต้องการอนุรักษ์ไว้ ทำให้ตลาดน้ำเหล่านี้ยังมีชีวิต วันนี้ จะชวนเพื่อน ๆ ไปชิม ชอป ชมตลาดน้ำย่าน #ตลิ่งชัน ตามพิกัดดังนี้📍 ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน📍 ตลาดน้ำตลิ่งชัน📍 ตลาดน้ำคลองลัดมะยม📍 ตลาดน้ำวัดสะพาน เส้นทางเดินรถบัสฟรีเที่ยว 4 ตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน  จะเดินรถแบบวนรอบเมืองไปยังตลาดน้ำแต่ละจุด เริ่มต้นเส้นทางที่ MRT บางขุนนนท์ มุ่งหน้าไปตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน และตลาดน้ำตลิ่งชัน จากนั้น รถจะเข้าไปรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่สายใต้ใหม่ แล้วเดินรถต่อไปยังตลาดน้ำคลองลัดมะยม และตลาดน้ำวัดสะพาน  ให้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.45 น. (รอบละ 15-20 นาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรในช่วงนั้น)  การเดินทางไปตลาดน้ำแต่ละแห่งในลิสต์นั้น เพื่อน ๆ สามารถเดินทางได้ง่าย ๆ เพราะตอนนี้ กทม. จัดโครงการดี ๆ พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวตลาดน้ำด้วยรถบัสไฟฟ้าฟรี  จุดที่ให้บริการรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวจุดแรกอยู่ที่ MRT บางขุนนนท์ เพื่อน ๆ ที่มารถไฟฟ้าหรือรถโดยสารธารณะที่ตนสะดวก ให้มาลงที่บริเวณทางออกประตูที่ 2 หรือ 3 (ฝั่งทางเข้าตลาดบางขุนนนท์) เมื่อลงมาใต้สถานี ก็จะเจอจุดคอยรถบัส  รถบัสจะให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-16.45 น. ให้บริการรอบละ 15-20 นาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรด้วย  ใครกลัวว่าจะคอยนาน ไม่ต้องกังวลไป เพราะเพื่อน ๆ สามารถเช็ครถบัสที่ให้บริการในขณะนั้นได้ว่ารถอยู่ที่ไหน ผ่านแอปพลิเคชั่นเวียบัส (Via Bus) โดยการสแกน QR Code ที่ป้ายจุดจอดรถ เท่านี้ก็จะสามารถติดตามรถบัสจาก GPS บนรถแต่ละคันได้  รถบัสจะวิ่งไปตลาดน้ำแต่ละแห่งตามลำดับของเส้นทาง จุดแรก มาเที่ยวที่ “ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน”  รถจะจอดด้านหน้าวัด เพื่อน ๆ สามารถเดินผ่านวัดเข้ามายังตลาดน้ำได้เลย ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน  เป็นตลาดน้ำที่อยู่ระหว่าง 2 คลอง ได้แก่ คลองชักพระและคลองวัดตลิ่งชัน เป็นตลาดที่ร่มรื่น ลมพัดเย็นสบาย แบ่งออกเป็นโซน ๆ ให้เดินซื้อของได้สะดวก มีที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ริมคลอง  ของขายส่วนใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าจะตั้งแผงกันด้านบนพื้นที่ริมคลอง และก็จะมีเรือขายของมาเทียบท่าด้วยเช่นกัน ขอบอกเลยว่าอาหารแต่ละร้านเด็ด ๆ ทั้งนั้น เช่น ก๋วยจั๊บญวน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสูตรโบราณ ขนมเบื้อง หมูสะเต๊ะ ขนมครกเตาถ่าน กาแฟสดหอม ๆ และผักผลไม้จากชาวบ้านอีกเพียบ นอกจากนี้ยังมีดนตรีสดโดยชาวบ้านในพื้นที่มานั่งร้องเพลงเปิดหมวกให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันด้วย และในแต่ละวัน ทางตลาดน้ำยังมีกิจกรรม Work Shop ให้กับเพื่อน ๆ ที่สนใจมาร่วมสนุกกันได้ สามารถติดตามข่าวสารทางเพจ ตลาดน้ำ2คลอง วัดตลิ่งชัน  ตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน  ถนนชักพระ แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 07.00-17.00 น. 08 9205 7532 Facebook: ตลาดน้ำ2คลอง วัดตลิ่งชันhttps://goo.gl/maps/e9173RGiQgKg3qgk8 มาแวะเที่ยวชมกันต่อที่ “ตลาดน้ำตลิ่งชัน”  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชันมากนัก สามารถเดินถึงกันได้ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที หรือใครไม่สะดวกเดิน ก็สามารถรอรถที่จุดจอดรถจากหน้าวัดตลิ่งชัน แล้วนั่งมาลงที่นี่ได้เช่นกัน ชื่อตลาดอาจจะฟังดูคล้ายกัน เพื่อน ๆ อย่าสับสนกันนะ ตลาดน้ำตลิ่งชัน  ตั้งอยู่ติดกับสำนักงานเขตตลิ่งชัน บรรยากาศที่ตลาดน้ำแห่งนี้ค่อนข้างคึกคัก มีของขายมากมาย ตั้งแต่ต้นไม้ อาหารคาวหวานที่ละลานตา ผักผลไม้สด ๆ ที่ชาวบ้านในละแวกนี้เก็บมาขาย บางชนิดหารับประทานได้ยาก ตั้งเรียงตั้งแต่ทางเข้าตลาดไปจนถึงริมคลองด้านใน มีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือนำผลผลิตผักสดผลไม้ที่ปลูกเองมาขาย บางลำก็ขายอาหารคาว ขนมหวาน รวมทั้งสินค้าหัตถกรรมต่าง ๆ ส่วนบนแพก็ยังมีร้านค้าอีกคับคั่ง  ช่วงกลางวัน ประมาณ 11.00-14.00 น. ในตลาดยังมีการแสดงดนตรีไทย รวมทั้งมีคาราโอเกะในสวนให้เพื่อน ๆ ได้ไปร้องเพลง หรือฟังเพลงกันอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย  ที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน มีเรือนำเที่ยวให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการล่องเรือเที่ยวชมคลอง ตามเส้นทางที่ทางเรือจัดไว้ให้ มีทั้งให้บริการเป็นรอบ ๆ และแบบเหมาลำ สามารถไปติดต่อสอบถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่บริเวณทางเข้าด้านในริมคลอง   ตลาดน้ำตลิ่งชัน  ติดกับสำนักเขตตลิ่งชัน แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00-17.00 น. 08 7694 3219https://goo.gl/maps/WN38FEuCfQWtKBFz5 ออกมาขึ้นรถบัสที่หน้าสำนักงานเขตตลิ่งชัน แล้วมาต่อกันที่ “ตลาดน้ำคลองลัดมะยม”  ตลาดน้ำยอดฮิตที่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่นี่จำนวนมาก เพราะเป็นตลาดน้ำขนาดใหญ่ มีสินค้ามากมาย และมีกิจกรรมให้เพื่อน ๆ ได้ร่วมสนุกกัน  ระหว่างทางก่อนมาที่นี่ รถบัสจะเข้าไปรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่ขนส่งสายใต้ใหม่ด้วยนะ หากเพื่อน ๆ สะดวกไปขึ้นหรือลงรถที่นั่น ก็สามารถไปได้เช่นกัน ประเดิมที่ของกินกันก่อน  ภายในตลาดน้ำคลองลัดมะยมมีร้านค้าร้านอาหารจำนวนมาก เดินไปโซนไหนก็น่าซื้อไปหมด ไม่ว่าจะเป็น หมี่กะทิ ขนมเบื้องโบราณ ขนมจีนน้ำยาปู ก๋วยเตี๋ยวชามกะลา ผัดไท ทะเลเผา ขนมไทยหลากชนิด และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากของกินแล้วก็ยังมีของใช้ของประดับต่าง ๆ ทั้งเสื้อผ้า ของเล่น เครื่องปั้นดินเผา ของเก่าน่าสะสม และร้านต้นไม้  ที่นี่ยังมีร้านให้บริการนวดแผนไทยด้วยนะ ใครปวดเมื่อยตัวก็มาแวะก่อนได้ เดินเลียบริมคลอง ก็จะเห็นพ่อค้าแม่ค้าบรรทุกสินค้าในเรือมาจอดเลียบคลองขายของกันตลอดทาง

ปักหมุดเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชัน อ่านเพิ่มเติม

✨เสพศิลป์ กินอร่อย @ย่านทรงวาด ✨

ทรงวาด ถนนเส้นเล็ก ๆ ขนานกับถนนเยาวราชที่มีระยะทางไม่ถึง 2 กิโลเมตร เป็นย่านเก่าแก่ที่ยังมีอาคารสวย ๆ อายุหลักร้อยปีหลงเหลือให้ได้เห็นจนถึงปัจจุบัน แม้ถนนทรงวาดจะไม่คึกคักเหมือนถนนเยาวราช แต่เสน่ห์ของที่นี่คือความร่องรอยความเก่า ที่สวยงามแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่แฝงอยู่ในร้านอาหารใหม่ ๆ แกลเลอรี่และร้านกาแฟเก๋ ๆ โฮสเทลดีไซน์สวยงามตามแบบสมัยนิยม รวมไปถึงศาลเจ้า วัดและมัสยิดเก่าแก่ ที่แทรกอยู่ในหลืบซอยให้ชาวชุมชนได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ หากเพื่อน ๆ มีเวลาว่างสัก 1 วัน อยากให้ลองอ่านคอนเทนต์นี้แล้วตามรอยดู เชื่อว่าเสน่ห์ทรงวาดจะทำให้เพื่อน ๆ ประทับใจได้แน่นอน ถนนทรงวาดตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในอดีตเป็นศูนย์กลางการค้านำเข้า-ส่งออกสินค้านานาชนิด โดยมีที่มาของชื่อจาก จากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้วาดแนวถนนเส้นนี้ลงบนแผนที่ เพื่อลดความแออัดของพื้นที่ในย่านสำเพ็งหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2449 แม้ว่าถนนทรงวาดในปัจจุบันจะไม่คึกคักเท่าแต่ก่อน แต่ร่องรอยของความรุ่งเรืองยังคงปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่จะนำมาเสนอวันนี้คือ1. ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เซี้ยอึ้งกง2. ก๋วยจั๊บถังไม้ ตรอกอาเนียเก็ง3. ร้าน F.V4. PLAY art house5. Naam1608 หนึ่งในตึกสวยของหัวมุมถนนทรงวาด คือตึกเก่าทรงสวยที่เรียกกันว่าตึกแขก เดิมเป็นที่ตั้งของห้าง เอ.ที.อี. มัสกาตี (A.T.E Maskati) บริษัทนำเข้าสินค้าโดยพ่อค้าชาวอินเดียจากเมืองอาร์เมดาบัด เพื่อนำมาขายในเมืองไทยและประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซุ้มหน้าต่างของตัวตึกมีทรงโค้ง ประกอบแผ่นไม้ฉลุเป็นลายลูกไม้ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับที่พบในอินเดียตะวันตก เมืองสุรัตและในเมืองมุมไบ ที่ได้รับอิทธิพลแบบอิสลามจากในช่วงที่ปกครองโดยสุลต่าน ใครมาเที่ยวเล่นแถวทรงวาด ต่างต้องมาถ่ายรูปไว้เสมอ ถือเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของถนนทรงวาดเลยล่ะ 1. ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเซี้ยอึ้งกง เริ่มเที่ยวกันที่ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเซี้ยอึ้งกง ที่สร้างโดยเจ้าสัวติก จากการขอพระราชทานที่ดินจากรัชกาลที่ 5 เพื่อสร้างตึกแถวภายในตรอกแตง และแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งสร้างเป็นศาลเจ้าขนาดเล็กเพื่อประดิษฐานเทพเจ้าหลักเมืองหรือเซี้ยอึ้งกง ที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ภายในศาลเจ้ามีระฆังโบราณ ที่มีข้อความระบุไว้ว่า “ปีที่ 22 แห่งรัชสมัยพระเจ้าเต้ากวง” หรือเทียบได้กับปี พ.ศ. 2385 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ในหมู่ศาลเจ้าจีนบริเวณย่านทรงวาดและสำเพ็ง ศาลเจ้าเซี้ยอึ้งกงหรือศาลเจ้าหลักเมืองแห่งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่และมีคติความเชื่อที่น่าสนใจแตกต่างจากศาลเจ้าอื่น ๆ ในย่านนั้น เนื่องจากเทพเจ้าเซี้ยอึ้งกง ซึ่งเป็นประธานของศาลเจ้าแห่งนี้ คือเทพหลักเมืองตามความเชื่อของคนจีน ซึ่งจะมีการตั้งศาลเจ้าหลักเมืองที่ข้างกำแพงเมืองหรือคูเมือง ที่เป็นทางเข้าออก ซึ่งทุกคนจะต้องผ่านศาลนี้เพื่อเป็นการขออนุญาต และยังเชื่อว่าเทพเจ้าหลักเมืองมีหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของดวงวิญญาณ หากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมาไหว้เพื่อแจ้งเทพหลักเมืองให้ทราบก่อนที่จะเคลื่อนย้ายหรือนำศพไปฝังอีกด้วย นอกจากคติความเชื่อเกี่ยวกับความตายของศาลเจ้าแห่งนี้แล้ว ชาวชุมชนในพื้นที่ยังนิยมมาไหว้ขอพรเกี่ยวกับด้านธุรกิจการค้า ให้ราบรื่น สำเร็จลุล่วง แถมในศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีพระพุทธชินราชที่สามารถมาไหว้ขอพรเรื่องโชคลาภและเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย 2. ก๋วยจั๊บถังไม้ ตรอกอาเนียเก็ง ร้านก๋วยจั๊บน้ำใสเก่าแก่ระดับตำนาน ที่เปิดมานานกว่า 60 ปี เด่นที่ทางร้านจะนำเส้นก๋วยจั๊บแช่ไว้ในถังไม้ เพื่อกักเก็บความร้อน เลยเป็นที่มาของชื่อร้าน แถมน้ำซุปใสมีรสชาติกลมกล่อม หอมพริกไทย เครื่องในสดใหม่ไร้กลิ่นคาว เครื่องแน่นทุกชาม ยิ่งใครชอบหมูกรอบรับรองเลยว่าต้องติดใจ แม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในตรอก แต่ลูกค้าทยอยมากันไม่ขาดสาย แม้ว่าเวลาปิดร้านจริงคือบ่าย 2 โมง แต่ใครมาหลังบ่ายโมงก็อาจต้องลุ้นว่าจะอดกิน เพราะร้านนี้ของหมดไวมาก หากใครชอบตึกสวย ๆ สามารถแวะไปชมความสวยงามของโรงเรียนเผยอิง ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านหลังศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากงได้ ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปีแล้ว ผ่านช่วงสงครามโลก ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีน ผ่านวิกฤตทางเศรษฐกิจมากมาย แต่อาคารแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพดี เป็นตึกสวยหลังศาลที่ยังอยู่คู่ถนนทรงวาดต่อไปดังที่เคยเป็นมา แต่หากเพื่อน ๆ ต้องการถ่ายภาพตึกแล้วเผยแพร่ ต้องทำหนังสือขอล่วงหน้าด้วยนะ เพราะทางโรงเรียนอนุญาตให้ชมได้ด้วยตาเท่านั้น  3. ร้าน F.V F.V ย่อมาจาก Fruit & Vegetables เป็นร้านรวมของดี ที่ตัวร้านเป็นอาคารปูนเก่าที่ภายในตกแต่งแบบจัดเต็ม มีการสร้างยุ้งฉางจำลองที่สามารถขึ้นไปนั่งกินนั่งดื่มได้ ตามกำแพงแขวนรูปภาพที่ดูทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ที่ทางร้านเลือกใช้ก็มีทั้งแนววินเทจและโมเดิร์น ผลลัพธ์ที่ออกมาสวยเก๋มีสไตล์สุด ๆ  เครื่องดื่มของทางร้าน ก็ค่อนข้างแปลกไปจากคาเฟ่อื่น ๆ อย่างเมนูชา ที่ทางร้านจะนำพืชที่หลายคนมักมองข้ามมาสกัดให้เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น ต้นไมยราบ ตำลึง ลางสาด หรือวัชพืชที่ขึ้นรกอยู่ตามรั้วบ้าน แถมยังมีเมนูที่ทำจากวัตถุดิบตามฤดูกาลเวียนไปเรื่อย ๆ จนทำให้ร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านที่มีลูกค้าแวะเวียนกลับมาอุดหนุนอยู่เป็นประจำ อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของถนนทรงวาด คือมัสยิดหลวงโกชา อิศหาก มัสยิดแห่งเดียวในย่านชุมชนจีน ที่ตัวอาคารเป็นอาคารสีเหลืองสไตล์นีโอคลาสสิก ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ส่วนบุคคล มีลูกหลานหลวงโกชาฯ เป็นผู้ดูแล แต่เปิดให้ชาวมุสลิมโดยรอบสามารถเข้ามาละหมาดได้ 4. PLAY art house PLAY art house เป็นแกลเลอรีงานศิลปะร่วมสมัยแห่งแรกบนถนนทรงวาด ตัวอาคารมี 3 คูหา เหนือประตูแขวนป้ายทรงกลม พร้อมโลโก้รูปหัวเสาแบบไอออนิก (Ionic Order) หนึ่งในสามแบบเสาคลาสสิกของกรีกและโรมันโบราณ พร้อมด้วยผนังสีน้ำเงินเด่นตัดด้วยสีดำของหน้าต่าง ประตู ที่เจ้าหน้าที่มักจะกล่าวเชิญชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาแวะเข้ามาภายในด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ ๆ แม้ในอดีตที่นี่จะเป็นโกดังรองเท้า แต่ปัจจุบันเจ้าของตึกได้เปลี่ยนเป็นแกลลอรี่ ที่จัดแสดงภาพถ่ายและงานศิลปะแบบหมุนเวียน ซึ่งบ่อยครั้ง ผลงานที่จัดแสดงจะสะท้อนมุมมองของศิลปินที่มีต่อย่านทรงวาดในหลายแง่มุม ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถเรียนรู้ความเป็นทรงวาดได้ดีทีเดียว 5. Naam 1608 ปิดวันกันที่ร้านอาหารไทยพื้นถิ่นฟิวชั่นติดริมแม่น้ำ ที่เหมาะกับการมานั่งหย่อนอารมณ์ ชมวิวพระทิตย์ตกดินพร้อมกับกินของอร่อย นอกจากวิวแล้ว วัตถุดิบ เมนูอาหารและการบริการของทางร้านก็ดีไม่แพ้กัน แม้รสชาติอาจจะปรุงมากลาง ๆ เพราะลูกค้าที่มาอุดหนุนมีหลายเชื้อชาติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอร่อยเลยล่ะ แต่แนะนำให้โทรศัพท์จองล่วงหน้า เพราะหากใครไปโดยไม่จอง มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้โต๊ะ

✨เสพศิลป์ กินอร่อย @ย่านทรงวาด ✨ อ่านเพิ่มเติม

🌸 ชมพูพันธุ์ทิพย์บานแล้ววว 🌸

ดอกไม้หน้าร้อนที่สวยไม่แพ้ใครอย่างชมพูพันธุ์ทิพย์ ที่จะออกดอกบานสะพรั่งปีละครั้งก็เริ่มทยอยบานแล้ว สวยหวานได้ฟีลเหมือนต่างประเทศเลยล่ะ วันนี้มีเกร็ดความรู้ของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์มาให้อ่านกันเพลิน ๆ ค่ะ ชมพูพันธุ์ทิพย์ หรือชมพูอินเดีย หรือตาเบบูย่าสีชมพู เป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดจากเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ มีการนำมาปลูกกันอย่างแพร่หลาย เป็นไม้ประดับตกแต่งและให้ร่มเงาในสวนสาธารณะหรือตามถนนหนทาง กิ่งเปราะ ดอกร่วงหล่นง่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยค่ะ ชมพูพันธุ์ทิพย์จะผลัดใบในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม และจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ซึ่งช่วงออกดอกบานเต็มต้นประมาณ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น จากนั้นดอกจะค่อย ๆ ร่วงแล้วแตกใบใหม่ รู้แบบนี้ต้องรีบมาชมกันแล้วนะ สำหรับใครที่อยากไปชมดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่ง เรามีพิกัดใกล้กรุงเทพฯ มาฝาก แนะนำให้ไปช่วงเช้า ๆ หรือบ่ายแก่ ๆ เพราะอากาศไม่ร้อนมาก และอยากให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศในการชื่นชมดอกไม้ด้วยนะคะ ไม่ป่ายปีน โน้มกิ่ง หักกิ่ง เด็ดดอกไม้เล่นและไม่ทิ้งขยะในบริเวณพื้นที่นั้น ๆ กันนะคะ จะมีที่ไหนบ้างมาดูกันเลย สวนจตุจักร กรุงเทพฯ บานแล้ว ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ https://goo.gl/maps/CjZDiwKn3khXb9he9 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คาดว่าจะบานเต็มที่ช่วงต้นเดือนมีนาคม ตำบลกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม https://goo.gl/maps/CQMXUNDP7jnj9dAAA สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) บานแล้ว ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ https://goo.gl/maps/X73ZPX3mTwfoWrvA7 สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 7 บานแล้ว แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ https://goo.gl/maps/ELWveU2xz84xrRmN6

🌸 ชมพูพันธุ์ทิพย์บานแล้ววว 🌸 อ่านเพิ่มเติม

✨ TAKE YOUR TIME ✨

สุดสัปดาห์นี้ถ้าใครไม่อยากอยู่บ้าน เรามีนิทรรศการศิลปะแห่งห้วงเวลาของศิลปินชื่อดังอย่างคุณ #SUNTUR หรือ ซันเต๋อ-ยศนันท์ วุฒิกรสมบัติ ที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทาง ความทรงจำและสิ่งที่เขาพบเจอ ในระยะเวลา 33 ปี ออกมาเป็น 33 ภาพวาด โดยใช้ชื่อนิทรรศการนี้ว่า TAKE YOUR TIME ที่ตัวศิลปินจะมาแบ่งปันห้วงเวลาและประสบการณ์ของเขาให้ผู้ที่มาชมได้เรียนรู้เรื่องราวสุขและทุกข์ให้เป็นเหมือนเรื่องราวธรรมดา ๆ ของชีวิตที่ทุกคนต่างต้องเจอ ผ่านภาพวาดแสนเรียบง่าย หากเพื่อน ๆ พร้อมจะใช้เวลาส่วนตัวมาเรียนรู้เรื่องราวผ่านภาพวาดแล้ว ลองตามมาดูกัน นิทรรศการ Take Your Time เกิดขึ้นจากการที่คุณ SUNTUR และ Trendy Gallery ร่วมมือกันจัดงานขึ้นที่ River City Bangkok หนึ่งในสถานที่จัดนิทรรศการสุดฮิตย่านเจริญกรุง เมื่อเดินทางมาถึง เพื่อน ๆ จะเจอทางเข้างานที่มีลักษณะเป็นซุ้มอุโมงค์ยาว นำทางไปสู่ห้องจัดแสดงนิทรรศการ ภายในอุโมงค์จะเป็นเหมือนพื้นที่ปรับอารมณ์ให้สงบลงก่อนเดินชมภาพจริง มีแสง สี เสียงหลาย Mood ที่เปลี่ยนไปทุก ๆ 10 นาที เป็นจุด มหาชนที่หลายคนชอบมาถ่ายรูป บริเวณทางเข้า จะมี QR Code ที่ภายในมีเพลงที่แต่งขึ้นมาเฉพาะสำหรับนิทรรศการนี้ให้สแกนฟัง สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มอรรถรสในการชมให้มากขึ้นหรืออาจต้องการตัดขาดจากโลกภายนอกระหว่างชมนิทรรศการ เพื่อน ๆ สามารถสแกนแล้วใส่หูฟังได้เลย ซึ่งเพลงที่จะได้ฟังมีชื่อว่า Day 1 to End เป็นเพลงบรรเลงยาว 9:23 นาที ที่มอบจินตนาการทั้งสุขและเศร้าผ่านโสตประสาท ระหว่างที่เราชมภาพในนิทรรศการ “หยิบออกจนคงเหลือเพียงสิ่งสำคัญ” คือนิยามการทำงานศิลปะของคุณ SUNTUR ที่งานแต่ละชิ้นล้วนต้องผ่านการคิด การทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งการสื่อสารผ่านภาพวาด การตั้งชื่อภาพ ที่ต่อให้แม้ทั้งแคนวาสจะเต็มไปด้วยพื้นที่ว่าง แต่ก็ไม่ยากที่จะพบความหมายที่แฝงไว้กลางภาพวาดผืนนั้น จุดเด่นของนิทรรศการนี้คือการบอกเล่าเรื่องของเวลา ว่าควรใช้เวลาให้มีความสุขและคุ้มค่ามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องเศร้าผ่านมาให้ต้องเจอบ้าง แต่มันก็คือเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอ Happiness won’t last long ความสุขสนุกสนาน เหมือนว่าวที่ลอยอยู่ในอากาศ ลอยตัวได้จากลม แต่ถ้าลมหยุดก็ต้องหล่นลงมา หากยังมีเวลาสนุก จงสนุกให้เต็มที่กันล่ะ Take your time ภาพวาดชื่อเดียวกับนิทรรศการ คนเรามีมุมสนุกและมองหาความสุขในตัวอยู่เสมอ อย่าลืมใช้เวลาให้คุ้มค่ากันล่ะ หรือต่อให้เราผ่านช่วงเวลาที่เคยสนุกที่สุดมาแล้ว ก็อย่าเสียใจไป อย่างน้อยเราก็เคยมีช่วงเวลานั้นที่เป็นความทรงจำดี ๆ ของเรา Don’t worry mom, I’m fine ภาพวาดสำหรับคนเหงาที่อยู่ไกลบ้านในยุคสมัยคุยโทรศัพท์ผ่านตู้ การได้คุยโทรศัพท์สั้น ๆ กับครอบครัวอาจเป็นช่วงเวลามอบแสงสว่างให้คลายเหงา คำว่า “สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง” อาจเป็นคำพูดคลายกังวลให้คนที่บ้านรับรู้และอุ่นใจได้เช่นกัน See you soon ภาพที่กล่าวถึงคุณตาคุณยายหรือคนที่ออกเดินทางไกลไปก่อนเรา หากวันหนึ่งกาลเวลานำพาเราให้ได้เจอกันอีกครั้ง เราก็คงไม่ต่างกับเด็กน้อยของพวกเขาอย่างเช่นที่เคยเป็นมา Low happiness cost บางครั้งความสุขคือการแค่ได้นั่งทอดใจกับใครสักคน ยังมีภาพอีกมากมายให้เพื่อน ๆ ได้ใช้เวลากับการแชร์ประสบการณ์ร่วมกับภาพนั้น แต่อีกจุดที่อยากให้เพื่อน ๆ ได้ชมคือ การนำบทกลอนสอนใจ ซึ่งแต่งโดยคุณพ่อของคุณ SUNTUR มาร่วมจัดแสดงไว้ภายในงานนี้ด้วย ภายในงาน มีจุดให้เลือกชมเลือกซื้อสินค้า อย่างเช่น โปสการ์ด แก้วกาแฟ ปลอกหมอน เสื้อยืดสกรีนลายภาพวาด ถุงผ้าและเก้าอี้ดีไซน์เก๋ ๆ ที่ปัจจุบันของเหล่านี้แทบจะกลายเป็นของสะสมแทนของไปใช้แล้ว หลังจากชมนิทรรศการนี้เสร็จแล้ว เชื่อว่าหลายคนที่มาคงตกผลึกความรู้สึกบางอย่างของตัวเองจากการเชื่อมโยงประสบการณ์ผ่านภาพวาดของคุณ SUNTUR และรับรู้ได้ว่า จะสุขแสนหวาน ทุกข์แสนขม การพบเจอแสนพิเศษหรือการจากลาที่ไม่มีใครอยากพบเจอ ล้วนเป็นสิ่งธรรมดาที่เราต้องเรียนรู้และยอมรับมัน หากใครยังไม่เคยมางานชมงานศิลป์บนผืนผ้าแคนวาส หรือมองว่านิทรรศการแบบนี้เข้าถึงยาก อยากให้ลองมา Take Your Time รับรองว่าพื้นที่เหนือกาลเวลาที่จัดเพียงชั่วคราวแห่งนี้ จะตอบแทนการมาด้วยอะไรที่เป็นมากกว่าการชมภาพนิ่งแน่นอน หากเพื่อน ๆ สนใจ สามารถร่วมชมนิทรรศการศิลปะเดี่ยวครั้งที่ 3 TAKE YOUR TIME ของศิลปิน SUNTUR ได้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์-23 เมษายน พ.ศ. 2566 ที่ River City Bangkok ชั้น 2 ที่ห้อง RCB Galleria 2  เข้าชมฟรี  : 23 ซอย เจริญกรุง 24 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100: เปิดทุกวัน 10.00-20.00 น.: 09-0312-0910: https://goo.gl/maps/SvAeJfVs49Bqcrfa8 : Bts ลงที่สถานีสะพานตากสิน ใช้ทางออก 1 หรือ 2 และนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา (ธงเหลือง ธงส้ม และธงเขียว) ลงที่ท่าเรือสี่พระยาMRT ลงสถานีหัวลำโพง ใช้ทางออก 1 แล้วนั่งรถวินมอเตอร์ไซต์ ราคา 20 บาท

✨ TAKE YOUR TIME ✨ อ่านเพิ่มเติม

✨ กินขนม ชมดอกไม้ มองวิว ย่านพระนคร – คลองสาน ✨

หลายคนอาจกำลังมองหาที่เที่ยวในวันหยุดที่มีทั้งที่เที่ยว ที่กิน จุดถ่ายรูปและการเดินทางที่สะดวก หากใครมีเวลาว่าง 1 วันแล้วรู้สึกเบื่อ ๆ อยากออกมาเดินเที่ยวข้างนอก แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน ลองมาอ่านเป็นไอเดียและตามรอยคอนเทนต์นี้ดู อาจเปลี่ยนวันหยุดที่ว่างเป็นวันหยุดที่ว้าว และสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้เพื่อน ๆ ประทับใจในวันหยุดก็ได้ 1. The Old Siam Plaza เริ่มกันที่ ดิโอลด์สยาม พลาซ่า ศูนย์การค้าใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ โดดเด่นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิก แหล่งรวมผ้าไหม ขนม อาหารไทย และมุมถ่ายภาพให้นักเที่ยวสายสะพายกล้องมาเก็บภาพกันได้หลายมุม เนื่องจากในอดีตที่นี่เป็นที่ตั้งของ ตลาดมิ่งเมือง ภายในอาคารแห่งนี้จึงมีการจำลองบรรยากาศร้านค้าของตลาดมิ่งเมืองในอดีตเอาไว้ โดยเฉพาะร้านขายผ้าชิ้น และชุดตัดสำเร็จหลากสีหลายแบบมากกว่า 10 ร้าน แถมยังมีร้านขายเครื่องประดับสวยงามอย่าง เพชร พลอย ทองรูปพรรณ ให้แก่ผู้หลงใหลในความงามของงานฝีมือและอัญมณีนับสิบร้าน นอกจากนี้ ยังมีร้านขายปืน ซุ้มพระเครื่อง ศูนย์ขายอุปกรณ์และศูนย์ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกด้วย ลานเฟื่องนคร จุดรวมร้านขนมไทยและอาหารไทยหลายร้าน อยากให้ลองแวะมาชิม ทำสด ๆ วันต่อวัน รสชาติอร่อยถูกใจ หลายคนผ่านมาแถวนี้ทีไรต้องแวะเข้าไปซื้อซ้ำอยู่บ่อย ๆ เลยทีเดียว 2. มิวเซียมสยาม (Museum Siam) หลังจากกินและถ่ายรูปที่ ดิโอลด์สยาม พลาซ่า ก็ถึงเวลามุ่งหน้าสู่สถานที่ถัดไป “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์ที่เหมาะกับคนทุก Gen มีเรื่องราวแบบไทย ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิต ฯลฯ โดยจัดแสดงผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ จับต้องได้ เข้าใจและเข้าถึงง่าย ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาทีเท่านั้น มิวเซียมสยาม ดูแลโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เริ่มเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551 เป็นอาคาร 3 ชั้น มีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร และร้านค้าของที่ระลึก มีทางเข้าออกบริการผู้พิการและผู้สูงอายุ ด้านหน้าอาคารแบ่งพื้นที่บางส่วนเพื่อใช้เป็นทางขึ้น-ลงรถไฟฟ้าสถานีสนามไชย ทางออกที่ 1 เริ่มเปิดบริการในปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ภายในพิพิธภัณฑ์ เพื่อน ๆ สามารถถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอเก็บเป็นความรู้ ประสบการณ์ความประทับใจได้ทุกห้อง มีการจัดแสดงนิทรรศการถาวรชุด “ถอดรหัสไทย” (DECODING THAINESS) ที่จะพาทุกคนไปเรียนรู้พัฒนาการของ “อัตลักษณ์ความเป็นไทย” ที่ดูเหมือนจะมีความชัด แต่กลับคลุมเครือจากการหลอมรวมวัฒนธรรมที่หลากหลาย ผ่านเรื่องราวของความเป็นไทยในมิติต่าง ๆ อย่าง ประวัติศาสตร์ของไทย สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ อาหารการกินและเครื่องแต่งกาย อยากรู้เป็นยังไง ลองมาหาคำตอบให้ตัวเองกันได้ที่นี่เลย : 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ: เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. (ปิดวันจันทร์): โทร. 0 2225 2777: https://g.page/museumofsiam?share 3. พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จุดหมายถัดไปหลังจากเดินชมประวัติศาสตร์ของไทยในมิวเซียมสยามแล้ว คือการมาเดินชม “ปากคลองตลาด” ก่อนถึงปากคลองตลาดเพื่อน ๆ จะเจอกับ “พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ตั้งประดิษฐานอย่างโดดเด่น ณ เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์หรือสะพานพุทธฯ ฝั่งพระนคร  พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ของปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 150 ปี ในปี พ.ศ. 2475 โดยมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเชื่อมฝั่งพระนครกับฝั่งธนบุรีด้วยในคราวเดียวกัน โดยมีศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ปั้นแบบและหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วยทองสำริด มีความสูงตั้งแต่ฐานจนถึงยอด 4.60 เมตร (ต่อมาได้เสริมแท่นให้สูงขึ้นอีกประมาณ 1 เมตร) 4. ปากคลองตลาด ห่างจาก “พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง “ปากคลองตลาด” ตลาดดอกไม้ที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ขายดอกไม้กันมานานนับร้อยปีแล้ว มีขายทั้งปลีกและส่ง มีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ทั้งของไทยและต่างประเทศ ดอกไม้แห้ง ดอกไม้สดก็มีหมด แถมเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ใครอยากได้ดอกไม้สวย ๆ ไม่ว่าในโอกาสอะไร ที่นี่ตอบโจทย์สุด ๆ  ดอกไม้มีให้เลือกหลากหลาย เดินดูกันได้เพลินเลยล่ะ  นอกจากดอกไม้แล้ว ที่นี่ก็มีร้านอาหารและคาเฟ่ ให้สามารถฝากท้องและนั่งพักได้หลายร้านเลยล่ะ 5. พระปกเกล้าสกายปาร์ค (สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา) ก่อนหมดวัน อีกหนึ่งสถานที่ที่อยากแนะนำก็คือ สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา ซึ่งแต่เดิมบริเวณนี้เคยเป็นโครงสร้างของรางรถไฟฟ้าลาวาลินที่ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทางกรุงเทพมหานครจึงเข้ามาปรับภูมิทัศน์ให้กลายเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้าเหนือผิวน้ำบนสะพานพระปกเกล้า สามารถมองเห็นวิวโดยรอบได้ถึง 360 องศา ทีเดียวเชียว  สวนสาธารณะแห่งนี้ ถูกออกแบบให้มีทั้งทางเดินเท้าและเลนจักรยาน มีการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา มีโต๊ะนั่งพักผ่อน ชมวิว สามารถมาเดินออกกำลังกายเบา ๆ ได้เพลินเลยล่ะ ยิ่งช่วงเย็น ๆ บรรยากาศจะดีเป็นพิเศษ อากาศไม่ร้อนเกินไป มีลมพัดเย็น ๆ พร้อมวิวพระอาทิตย์ตก ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกแห่งในกรุงเทพฯ เลยล่ะ

✨ กินขนม ชมดอกไม้ มองวิว ย่านพระนคร – คลองสาน ✨ อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top