Travelling

เมืองคอง ในม่านหมอกฝน

🌿 เมืองคอง ตำบลหนึ่งในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ดอยแม่ตะมาน และอำเภอเวียงแหง 🌿 เมืองคองในปัจจุบัน บรรยากาศคล้าย ๆ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อสมัยแรกเริ่ม เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่ราบเล็ก ๆ กลางหุบเขา มีสายน้ำไหลผ่านหลายสาย เช่น แม่น้ำคอง แม่น้ำแม่แตง ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรม และบางส่วนหันมาเปิดที่พักแบบโฮมสเตย์และรีสอร์ตให้บริการนักท่องเที่ยว 📌 พิกัด : https://maps.app.goo.gl/coQsvFwFYCnQ2hUb8 ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวแนะนำ: สามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี 🌧️ ระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน (ฤดูฝน) ภูเขา ท้องทุ่งนาสีเขียว สดชื่น สบายตา❄️ ระหว่างเดือนตุลาคม-มกราคม (ฤดูหนาว) อากาศหนาวเย็น มีทะเลหมอก ฟ้าใส เห็นดาวยามค่ำคืนชัดเจน กิจกรรมที่ต้องห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวเมืองคอง✅ ถ่ายภาพบรรยากาศลำธาร ทุ่งนา และภูเขา✅ ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ณ จุดชมวิวเด่นทีวี✅ ล่องแพไม้ไผ่หรือล่องห่วงยางไปตามแม่น้ำแม่แตง การเดินทางไปเมืองคอง สามารถไปได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารประจำทาง แต่รถบัสใหญ่ไม่แนะนำ ลักษณะเส้นทางเป็นถนนลาดยางสวนกันสองเลนตลอดสาย เป็นทางขึ้นลงเขา บางช่วงเป็นทางโค้งและค่อนข้างชัน 🚗🚌 การเดินทางไปเมืองคองด้วยรถยนต์ 🚗จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 ผ่าน อ.แม่ริม อ.แม่แตง จนถึงห้าแยกในตัว อ.เชียงดาว ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงชนบท ชม. 3024 (ทางไปวัดถ้ำเชียงดาว) เส้นทางจากนี้จะเริ่มเป็นทางขึ้นลงเขา ลัดเลาะเชิงดอยหลวงเชียงดาว ผ่านบ้านนาเลาใหม่ จนถึงตำบลเมืองคอง ระยะทางห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 114 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่า ถ้านับจากตัวอำเภอเชียงดาว ระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง การเดินทางไปเมืองคองด้วยรถโดยสารประจำทาง 🚌(เชียงใหม่-ตัว อ.เชียงดาว) เริ่มต้นที่สถานีขนส่งช้างเผือก ให้ขึ้นรถเมล์สีส้ม สายเชียงใหม่-ท่าตอน สามารถซื้อตั๋วที่ช่องจำหน่ายในสถานีขนส่งช้างเผือก บอกเจ้าหน้าที่ว่าขอลง “โลตัส เชียงดาว” ค่าโดยสารที่นั่งละ 44 บ. รถเมล์สายนี้มีให้บริการตลอดทั้งวัน 06.00-18.00 น. รถออกทุก 30 นาที ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ 1-1.30 ชั่วโมง ถึงตัว อ.เชียงดาว เพราะต้องแวะรับ-ส่งผู้โดยสารตลอดทาง (ตัว อ.เชียงดาว-เมืองคอง) เมื่อลงรถเมล์สีส้มหน้าโลตัสเอ็กเพรส ในตัว อ.เชียงดาว ให้เดินตรงมาที่สี่แยกที่ใกล้ที่สุด แล้วเลี้ยวขวาตามป้ายที่เขียนว่าไปวัดอินทราราม พอเลี้ยวขวามาจะพบคิวรถสองแถวเชียงดาว-เมืองคอง จอดอยู่ริมถนนทางขวามือ รถสองแถวมีขึ้น-ลงวันละ 1 รอบเท่านั้น(ขาขึ้น) เชียงดาว-เมืองคอง ปกติรถออกเวลา 12.00 น.(ขาลง) เมืองคอง-เชียงดาว) รถออกเวลา 08.00 น.💸 ค่าโดยสารที่นั่งละ 150 บ. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-2.5 ชั่วโมง เพราะอาจต้องแวะรับ-ส่งผู้โดยสารตลอดทาง ซึ่งรถสองแถวจะไปส่งและไปรับนักท่องเที่ยวถึงที่พักในเขต ต.เมืองคอง แนะนำควรมาถึงท่ารถสองแถวก่อนเวลา สัก 11.00-11.30 น. เผื่อรถออกจากท่าขึ้นดอยเร็ว ถ้าพลาดรถโดยสารก็ต้องหารถเหมาขึ้นดอยไปเอง ☎️ เบอร์โทรรถสองแถวเชียงดาว-เมืองคอง โทร. 09 8783 7217 (ป้าสมบุญ) สะพานมิตรภาพเมืองคอง เป็นจุดเช็กอินแรก ที่ทำให้รู้ว่าได้เดินทางมาถึงเมืองคองแล้ว ถนนเส้นหลักของเมืองคอง ช่วงฤดูฝนสองข้างทางจะมีนาข้าวและภูเขาเขียวขจีให้ได้ชม ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ริมน้ำ หรือไม่ก็กลางทุ่งนา บรรยากาศใกล้ชิดนาข้าว ความเป็นธรรมชาติ และวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ยังมีให้ได้เห็นที่เมืองคอง กิจกรรมล่องแพไม้ไผ่ในแม่น้ำแม่แตง ค่าล่องแพไม้ไผ่ แพละ 700 บาท 💸 เป็นราคามาตรฐานที่ทางชุมชนกำหนดไว้ นั่งได้ไม่เกิน 5 คน/แพ บนแพจะมีเก้าอี้ไม้เล็ก ๆ จัดให้นั่งบนแพไม้ไผ่อีกที แนะนำว่าควรล่องแพช่วงเวลา 3-4 โมงเย็น แสงกำลังสวย แดดร่มลมตก การล่องแพใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง กว่าจะล่องเสร็จก็ราว 5-6 โมงเย็น จะได้กลับถึงที่พักก่อนค่ำ แสงยามเย็นที่เมืองคองก่อนพระอาทิตย์ตกสวยมาก ในช่วงฤดูฝนมักเห็นมีหมอกขาวลอยปกคลุมทิวเขาตลอดเวลา จุดชมวิวเด่นทีวี เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกของเมืองคอง และยังมองเห็นดอยหลวงเชียงดาวได้อีกด้วย ที่มาของชื่อ “เด่นทีวี” มาจากเพราะสมัยก่อนเมืองคองไม่มีสัญญาณโทรคมนาคมต่าง ๆ การจะดูทีวีรายการสำคัญ ๆ เช่น ชกมวยชิงแชมป์โลก ชาวบ้านที่นี่จึงต้องหาจุดซึ่งสามารถรับสัญญาณทีวีได้ จนมาพบที่นี่ และได้ขนทีวีขึ้นมานั่งชมนั่งเชียร์รวมกันทั้งบ้าน จึงเป็นที่มาของชื่อจุดชมวิวนี้ การเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวเด่นทีวี ซึ่งอยู่บนภูเขาห่างจากเขตชุมชนของเมืองคองประมาณ 8 กิโลเมตร ต้องใช้รถโฟร์วีลหรือจักรยานยนต์ เพราะเส้นทางวิบากขรุขระมาก สามารถติดต่อที่พักต่าง ๆ ในเมืองคองเพื่อช่วยจองรถโฟร์วีลรับ-ส่งไปยังจุดชมวิวได้ ราคามาตรฐานคนละ 150 บ. รถโฟร์วีลจะเริ่มรับนักท่องเที่ยวตามที่พักต่าง ๆ ระหว่างเวลา 05.00-05.30 น. บรรทุกได้ 7-10 คน/คัน และขับขึ้นไปบนเขาอีกประมาณ 30 นาที ถึงจุดชมวิว ใครที่อยากพักผ่อน ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ เห็นวิวสวย ๆ ของภูเขา ทุ่งนา และลำธาร ลองมาเที่ยว “เมืองคอง” ในฤดูฝนดูสักครั้ง รับรองจะติดใจ

เมืองคอง ในม่านหมอกฝน อ่านเพิ่มเติม

แหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์สำคัญใน ‘เพชรบูรณ์’

ขอแนะนำ 2 แหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์สำคัญในเพชรบูรณ์ เริ่มที่ หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของจังหวัด เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจก่อนเดินทางต่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ตั้งอยู่ในตัวเมืองเพชรบูรณ์ จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์และโบราณคดีของจังหวัด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ช่วยให้เข้าใจภาพรวมการตั้งถิ่นฐาน วิวัฒนาการสังคม และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ก่อนจะไปศรีเทพ หอฯ นี้ยังได้รับรางวัล Hall of Fame จาก ททท. สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม (Gold Awards) 3 ครั้งติดต่อกัน แสดงถึงมาตรฐานการท่องเที่ยวที่ยอดเยี่ยม ⏰ เวลาทำการ: จันทร์ – ศุกร์: 08:30 – 16:30 น.เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์: 09:30 – 15:30 น.☎️ โทร: 0 5672 1523💸 ค่าเข้าชม: ฟรี📌 พิกัด: https://maps.app.goo.gl/Fz97TMgK9kZDiEes6 อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ห่างจากหอโบราณคดีฯ ประมาณ 128 กม. (เส้นทางกลับกรุงเทพฯ) ศรีเทพคือเมืองโบราณกว่า 1,500 ปี และได้รับการประกาศเป็น มรดกโลกแห่งใหม่ของไทยโดย UNESCO ในปี 2566 ไฮไลต์:✨ เขาคลังนอก: ศาสนสถานทวารวดีขนาดใหญ่พร้อมปูนปั้นงดงาม✨ เขาคลังใน: โบราณสถานสำคัญกลางเมือง คาดว่าเป็นศาสนสถานประจำเมือง✨ ปรางค์ศรีเทพและปรางค์สองพี่น้อง: ศาสนสถานศิลปะขอมที่แสดงอิทธิพลทางวัฒนธรรม การเยี่ยมชมศรีเทพจะทำให้ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมโบราณ ทั้งสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และความเชื่อ สะท้อนความรุ่งเรืองในอดีต มีบริการรถรางภายในอุทยานฯ ⏰ เวลาทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08:00 – 16:30 น.💸 ค่าเข้าชม: ชาวไทย 20 บาท, ชาวต่างชาติ 120 บาท | รถยนต์ 50 บาท☎️ โทร: 0 5692 1322, 0 5692 1354📌 พิกัด: https://maps.app.goo.gl/hmUeowxUEHQcMFkU9

แหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์สำคัญใน ‘เพชรบูรณ์’ อ่านเพิ่มเติม

สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จ.นครราชสีมา

วันนี้บัดดี้จะพาเพื่อน ๆ มาสำรวจพื้นที่สงวนชีวมณฑล (Sakaerat biosphere reserve) แห่งแรกของประเทศไทย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจาก UNESCO เมื่อปี พ.ศ. 2519 ในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้อยู่ใต้การดูแลของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขอนำเสนอความสวยงามและความหลากหลายทางชีววิทยาของสถาบันวิจัยแห่งนี้ ที่เหมาะกับทั้งผู้ชอบธรรมชาติ ผู้ต้องการหาความรู้ใหม่ ๆ ผู้ชอบเดินป่า หรือแม้แต่ผู้ที่อยากพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศที่เงียบสงบ เอาล่ะ…ตามบัดดี้มาสำรวจสถาบันวิจัยแห่งนี้ได้เลย สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2510 ปกคลุมด้วยป่าไม้สำคัญ 2 ชนิด คือ ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen forest) และป่าเต็งรัง (Dry Dipterocarp forest) มีพันธุ์ไม้และสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและห้องปฏิบัติการธรรมชาติสำหรับนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงนักวิจัยจากหลายประเทศ ไฮไลต์แรกของที่นี่ คือ กระรอกขาว ที่จะอยู่บริเวณศูนย์อำนวยการของสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช มีครอบครัวหมูป่าวิ่งไปมาดูน่ารักมาก ๆ กิจกรรมต่อมาที่บัดดี้อยากนำเสนอ คือ การนั่งรถรางชมธรรมชาติ ตลอดเส้นทาง 2.5 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่จะอธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยน่าสนใจ แถมยังพาไปดูต้นตะเคียนหินอายุ 557 ปี ที่มีอายุเท่ากับ จ.นครราชสีมา รวมไปถึงต้นน้ำของป่าบริเวณนี้ และไฮไลต์ของเส้นทางนี้ การดูนกประจำชาติไทย “ไก่ฟ้าพญาลอ” การจะชมไก่ฟ้าพญาลอ ต้องมาก่อนเวลา 16.00 น. เมื่อมาถึงจุดชมไก่ฟ้าพญาลอ เจ้าหน้าที่จะเลียนแบบเสียงของไก่ฟ้าพญาลอพร้อมกับชี้ให้ดูจุดที่พบอยู่เป็นประจำ บัดดี้ยืน ๆ นั่ง ๆ อยู่ไม่นานเจ้าไก่ฟ้าพญาลอก็โผล่ออกมาโชว์ตัวให้ดูแล้วล่ะ มื้อเย็นของที่นี่ จะบริการเป็นแบบบุฟเฟต์ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าอาหารที่นี่อร่อย ซึ่งบัดดี้ต้องขอคอนเฟิร์มว่าอร่อยจริง หลังจากกินแล้ว เพื่อน ๆ ต้องล้างจานเอง ซึ่งทางสถานีวิจัยฯ ก็เตรียมพื้นที่ล้างจานไว้ให้แล้วเป็นอย่างดี กิจกรรมยามฟ้ามืดของที่นี่คือการดูดาว เจ้าหน้าที่จะพาเพื่อน ๆ เดินไปตามเส้นทางประมาณ 7-10 นาทีจนถึงลานกว้าง เพื่อน ๆ สามารถชมกับดักแมลงที่ทางเจ้าหน้าที่นำผ้าขาวมาขึงกับไม้แล้วส่องไฟเพื่อล่อแมลงได้อย่างใกล้ชิด หากหิวเพื่อน ๆ ก็สามารถปิ้งข้าวโพด ปิ้งข้าวจี่ และข้าวเกรียบว่าวกินได้ เมื่อถึงเวลา ลานกว้างจะถูกปิดไฟจนมืดสนิท เมื่อเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้า ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะชี้ให้ดูกลุ่มดาวที่เห็นชัดเจนในตอนนั้น หากใครมาในช่วงเดือนตุลาคม จะเห็นทางช้างเผือกด้วยนะ บัดดี้มีนัดทำกิจกรรมต่อไปในเช้าวันรุ่งขึ้น นั่นก็คือ “การส่องนก” เจ้าหน้าที่จะแจกกล้องส่องทางไกลและพจนานุกรมนก ตลอดเส้นทาง เจ้าหน้าที่จะชี้ให้ดูตลอดว่านกอยู่ตรงไหน นกพันธุ์อะไร รู้ตัวอีกทีเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว ใครอยากขมวดปมความรู้และความเป็นมาของสถานีวิจัยฯ สามารถเดินขึ้นไปที่ชั่น 2 ของศูนย์อำนวยการได้ จะมีพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ สถานที่รวบรวมตัวอย่างพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์มากมายในบริเวณนี้เอาไว้ ถือเป็นการปิดจบและสรุปความรู้ที่บัดดี้ได้รับมาตั้งแต่มาเยือนที่แห่งนี้ได้ดีเลยทีเดียว หากใครยังคิดว่าไม่จุใจ สามารถสอบถามไปยังสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชได้ เพราะที่นี่ยังมีกิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ที่มีให้เลือกหลายเส้นทางตั้งแต่เส้นทางที่ใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมงครึ่งไปจนถึง 3 ชั่วโมง มีที่พักรับรองหลายห้อง หากได้มาสักครั้งรับรองเลยว่าต้องได้รับประสบการณ์ดี ๆ กลับไปอย่างแน่นอน 📌 สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช 1 หมู่ 9 ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา⏰ เปิดทุกวันเวลา 08.30-16.30 น. / เสาร์-อาทิตย์ 10.00-16.00 น.☎️ 0 4476 0110-2, 09 8219 5570📱 www.tistr.or.th/sakaerat📱 สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช📍 https://maps.app.goo.gl/fJ1drrYB78XFKbaJ9

สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จ.นครราชสีมา อ่านเพิ่มเติม

สัมผัสประสบการณ์ฟาร์มออร์แกนิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ‘ไร่เตียวิเศษ’ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สัมผัสประสบการณ์ฟาร์มออร์แกนิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิตแบบยั่งยืนที่หาได้ยากในปัจจุบัน ณ ไร่เตียวิเศษ เกาะพะงัน ที่นี่เพื่อน ๆ จะได้พบกับความสงบ ร่มรื่น เรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์ ที่เน้นการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และแนวคิด Zero Waste หรือการลดขยะให้เป็นศูนย์ ที่นี่เริ่มต้นจากความมุ่งมั่นที่จะปลูกพืชผักปลอดสารพิษเพื่อบริโภคเอง จนกลายเป็นแหล่งผลิตผลผลิตออร์แกนิกคุณภาพที่ส่งต่อความสุขให้ทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว 🌿 กิจกรรมที่น่าสนใจ☘️ เดินเล่นในแปลงผักอินทรีย์ สูดอากาศบริสุทธิ์🐓 ชมการเลี้ยงไก่ออแกนิค ไก่อารมณ์ดี การเลี้ยงปลา แบบธรรมชาติ เรียนรู้วงจรธรรมชาติที่ไร่ดูแลอย่างใส่ใจ🧑‍🌾 เรียนรู้การทำน้ำหมัก การทำปุ๋ย การปลูกผัก รวมถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบพอเพียง🥥 Workshop การทำธูปหอม แบบปลอดสารพิษ การทำน้ำมันมะพร้าว การทำอโรมา หรือการทำอาหารที่หลากหลาย เช่น ผัดไทย สลัดโรล แกงเขียวหวาน พะแนง เป็นต้น🥦 ลิ้มรสผลผลิตสดใหม่จากฟาร์ม เช่น ผักสด ผลไม้ ตามฤดูกาลและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ที่พร้อมให้เลือกซื้อ 📍 ไร่เตียวิเศษ⏰ เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.☎️คุณสาว โทร. 08 3102 4706

สัมผัสประสบการณ์ฟาร์มออร์แกนิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ‘ไร่เตียวิเศษ’ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อ่านเพิ่มเติม

สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี

สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ที่นี่ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล แต่เป็นศูนย์รวมแห่งภูมิปัญญาไทยด้านสุขภาพแบบองค์รวม ที่จะทำให้คุณได้ทั้งพักผ่อน เรียนรู้ และดูแลตัวเองไปพร้อมๆ กัน เริ่มต้นด้วยการเข้าชม พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ที่ตั้งอยู่ในอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลอันงดงาม ตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทยอันยาวนาน ชมสมุนไพรหายาก ตำรับยาโบราณ และเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในอดีตที่ผูกพันกับการใช้ธรรมชาติบำบัด หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์จนเพลิน ลองมาปรนนิบัติร่างกายด้วยศาสตร์แห่งการนวดและสปาแผนไทยต้นตำรับที่ อภัยภูเบศร เดย์ สปา ที่นี่มีบริการหลากหลาย ตั้งแต่การนวดผ่อนคลาย นวดบำบัด ไปจนถึงทรีทเม้นท์บำรุงผิวพรรณด้วยสมุนไพรธรรมชาติแท้ ๆ สัมผัสความผ่อนคลายอย่างลึกซึ้ง และคืนความสดชื่นให้กับร่างกาย ที่นี่ยังได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) หรือรางวัลกินรี ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566 อีกด้วย เติมพลังด้วยเมนูอาหารสุขภาพเลิศรสที่รังสรรค์จากพืชผักสมุนไพรปลอดสารพิษจากไร่ของอภัยภูเบศรเอง ร้านอาหารอภัยภูเบศร มีเมนูให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นยำสมุนไพร แกงเลียง หรือเครื่องดื่มสมุนไพรสดชื่น รับรองว่าอร่อย ได้ประโยชน์ และดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน นอกจากกิจกรรมต่างๆ แล้ว โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรยังมีคลินิกและศูนย์บริการด้านสุขภาพที่หลากหลาย ทั้งคลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกฝังเข็ม และบริการตรวจสุขภาพต่าง ๆ หากต้องการปรึกษาหรือดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ที่นี่ก็พร้อมให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จึงเป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์แข็งแรงในแบบองค์รวม ลองมาสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะหลงรัก

สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี อ่านเพิ่มเติม

สะปัน-ห้วยโทน-ห้วยหมี Nan in Green Season

เมื่อก้าวเข้าสู่ฤดูฝน เชื่อได้ว่าหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยว คือ จังหวัดน่าน ด้วยภาพจำอันโดดเด่นของภูเขาสูงชัน ทุ่งนาสีเขียว และสายน้ำชุ่มฉ่ำ ทำให้หลายต่อหลายคนหลงเสน่ห์เมืองน่านในช่วง Green Season บัดดี้ชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวน่านในเส้นทางบ้านสะปัน-บ้านห้วยโทน-บ้านห้วยหมี เป็นเส้นทางท่องเที่ยวแบบวงกลมตามเข็มนาฬิกา อาจจัดทริป 3 วัน 2 คืนก็ได้ เช่น นอนบ้านสะปัน 1 คืน จากนั้นไปนอนที่บ้านห้วยโทนหรือบ้านห้วยหมีอีก 1 คืน ในรีวิวยังมีข้อมูลการเดินทางทั้งรถยนต์ รถโดยสารประจำทาง และรถขับเคลื่อนสี่ล้อ หากต้องการเที่ยวเป็นวงกลม แนะนำให้เริ่มจากตัวเมืองน่าน-อ.ปัว-ทางหลวงหมายเลข 1256-จุดชมวิวดอยภูคา 1715-อ.บ่อเกลือ-บ้านสะปัน-บ้านห้วยโทน-บ้านห้วยหมี-ทางหลวงหมายเลข 1081-โค้งพับผ้า-ถนนเลข 3-ตัวเมืองน่าน การไปเที่ยวให้ครบทั้ง 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านสะปัน บ้านห้วยโทน และบ้านห้วยหมี ในทริปเดียว แนะนำให้เริ่มที่บ้านสะปันก่อน โดยอาจจัดทริปแบบนอนค้างที่บ้านสะปันสัก 1 คืน จากนั้นวันถัดมาค่อยขึ้นเขาไปเที่ยวและพักที่บ้านห้วยโทนหรือบ้านห้วยหมี รถยนต์ สามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางที่ 1 จากตัวเมืองน่าน ใช้ทางหลวงหมายเลข 101 ผ่าน อ.ท่าวังผา จนถึง อ.ปัว และจากสามแยก อ.ปัว ให้แยกไปทางขวาใช้ทางหลวงหมายเลข 1256 ข้ามดอยภูคา ผ่านอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จนถึงสามแยก อ.บ่อเกลือ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1081 ตรงไปอีก 8 กิโลเมตร จะพบแยกขวามือเลี้ยวเข้าบ้านสะปัน ระยะทางรวมประมาณ 115 กิโลเมตร และตรงขึ้นเข้าในหมู่บ้านสะปันไปอีกประมาณ 5-10 กิโลเมตร จะถึงบ้านห้วยหมีและบ้านห้วยโทน เส้นทางที่ 2 จากตัวเมืองน่าน ใช้ทางหลวงหมายเลข 1169 ผ่าน อ. สันติสุข ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 1081 (ผ่านจุดชมวิวถนนหมายเลข 3) จนถึง อ. บ่อเกลือ (จุดนี้จะมาบรรจบกับเส้นทางที่ 1 ที่มาจากดอยภูคา) และเลยตัว อ.บ่อเกลือไปอีก 8 กิโลเมตร จะพบแยกขวามือเลี้ยวเข้าหมู่บ้านสะปัน ระยะทางรวมประมาณ 95 กิโลเมตร และตรงขึ้นเข้าในหมู่บ้านสะปันไปอีกประมาณ 5-10 กิโลเมตร จะถึงบ้านห้วยหมีและบ้านห้วยโทน พิกัดบ้านสะปัน : https://maps.app.goo.gl/7LXbnuemGnkQjsSq5พิกัดบ้านห้วยโทน : https://maps.app.goo.gl/GD1CrA9WT8uuKPHt9พิกัดบ้านห้วยหมี : https://maps.app.goo.gl/STwDhrevnrbf88zY7 การเดินทางจากตัวเมืองน่าน-บ้านสะปัน โดยรถโดยสารประจำทาง (ต่อที่ 1 ตัวเมืองน่าน-อ.ปัว)จากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดน่าน มีรถสองแถว (สีฟ้า) สายน่าน-ท่าวังผา-ปัว ให้บริการตั้งแต่เช้า 07.00 น. เป็นต้นไปจนถึงช่วงเย็น รถออกจาสถานีขนส่งฯ ทุก 30 นาที ค่าโดยสาร คนละ 50 บ. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง เพราะรถจะวิ่งจอดรับ-ส่งผู้โดยสารไปตลอดทาง ปลายทางรถสองแถวจะไปสุดสายที่ท่ารถซึ่งตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1081 หลังตลาดเทศบาลปัวและข้างสนามกีฬา หากนั่งรถทัวร์มาจากกรุงเทพฯ แนะนำให้ซื้อตั๋วเลือกลงที่สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอปัว (เช่น สมบัติทัวร์, บขส.) จากนั้นนั่งจักรยานยนต์รับจ้าง หรือสองแถวจากตัวเมืองน่านที่จะแวะเข้าไปรับผู้โดยสารในสถานีขนส่งฯ มาลงยังท่ารถสองแถว (สีกรมท่า) สายปัว-บ่อเกลือ (ต่อที่ 2 อ. ปัว – อ.บ่อเกลือ)รถสองแถว (สีกรมท่า) สายปัว-บ่อเกลือ ท่ารถจอดอยู่ข้างกันกับท่ารถสองแถว (สีฟ้า) สายปัว-ท่าวังผา-น่าน ริมทางหลวงหมายเลข 1081 ด้านหลังตลาดเทศบาลปัว ส่วนท่ารถที่ตัว อ.บ่อเกลือ ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1081 เลยจากสามแยกตัว อ.บ่อเกลือ ไปทาง อ.เฉลิมพระเกียรติ ประมาณ 100 เมตร รอบเวลารถ ดังนี้ ปัว – บ่อเกลือเวลา 07.30 น./09.30 น./11.30 น.(รอบสุดท้ายอาจงดวิ่ง หากไม่มีผู้โดยสาร) บ่อเกลือ – ปัวเวลา 09.00 น./10.30 น./12.30 น.(รอบสุดท้ายอาจงดวิ่ง หากไม่มีผู้โดยสาร) ค่าโดยสาร ที่นั่งละ 80 บ.การเดินทางด้วยรถสองแถวจาก อ.ปัว – อ.บ่อเกลือ – บ้านสะปัน ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมงเบอร์โทรรถสองแถว (สีกรมท่า) ปัว-บ่อเกลือ โทร. 08 0794 4893, 08 0913 3554, 08 9835 6884 ทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) ช่วงที่เป็น “ถนนลอยฟ้า” คือเป็นช่วงที่ถนนตัดผ่านบนสันเขา สองข้างทาง มองเห็นทิวทัศน์สวยงาม มุมโดรนจะยิ่งเห็น ถนนลอยฟ้าได้ชัดเจน จุดนี้ (รูปกลาง) ถ้ามาจาก อ.ปัว จะอยู่ประมาณช่วงหลักกิโลเมตรที่ 22 ของทางหลวงหมายเลข 1256 ช่วงที่ถ่ายนี้ คือ กลางเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา เพิ่งเข้าสู่ฤดูฝนได้ไม่นาน ภูเขาและต้นไม้ใบหญ้าจึงยังไม่เขียวเต็มพื้นที่ จุดชมวิว 1715 ดอยภูคา ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1256 เป็นจุดพักรถระหว่างทางจากปัว-บ่อเกลือ มีห้องน้ำให้บริการด้วย และบริเวณถนนอีกฝั่งของจุดชมวิวดอยภูคา

สะปัน-ห้วยโทน-ห้วยหมี Nan in Green Season อ่านเพิ่มเติม

เที่ยว ชม ชิม ของดีถิ่นอีสาน 3 วัน 2 คืน ที่ ขอนแก่น

วันนี้บัดดี้มีเส้นทางท่องเที่ยวที่จะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยว ชม ชิม ของดีถิ่นอีสาน 3 วัน 2 คืน ที่ จ.ขอนแก่น มหานครแห่งภาคอีสาน ที่มีทั้งการกินของอร่อย การชมชุมชนสุดน่ารัก การชมแลนด์มาร์กสวย ๆ และการท่องแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติ หากใครกำลังวางแผนเที่ยววันหยุดอยู่ ลองพิจารณาเส้นทางท่องเที่ยว จ.ขอนแก่น ที่บัดดี้นำเสนอไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกดู รับรองเลยว่าเที่ยวตามได้ไม่ผิดหวัง ✨ 📌 Day 11. สวนสัตว์ขอนแก่น (TTA)2. มีกินฟาร์ม (Mekin Farm)3. พระมหาธาตุแก่นนคร 📌 Day 21. ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ (TTA)2. โจ๊กจั๊บเส้น 📌 Day 31. บ้านเฮง2. ชุมชนสาวะถี

เที่ยว ชม ชิม ของดีถิ่นอีสาน 3 วัน 2 คืน ที่ ขอนแก่น อ่านเพิ่มเติม

ชวนไปไหว้พระ 9 วัด ในเขตตัวเมืองน่าน

✨ ชวนไปไหว้พระ 9 วัด ในเขตตัวเมืองน่าน ที่สามารถเดินทางไปให้ครบได้ภายในวันเดียว บางวัดตั้งอยู่ใกล้กัน สามารถเดินถึงกันได้ บางวัดอาจต้องขับรถออกไปสักเล็กน้อย แต่ไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากตัวเมือง 📌 วัดภูมินทร์ เดิมวัดนี้ชื่อว่า “วัดพรหมมินทร์” ตามพงศาวดารของเมืองน่าน พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่าน ได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2139 หลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี ต่อมาได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยพระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช สันนิษฐานว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงคงจะวาดขึ้นในสมัยที่มีการซ่อมแซมครั้งนี้ วัดภูมินทร์เป็นวัดที่สร้างทรงจัตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย มีประติมากรรมนาคสะดุ้งตัวใหญ่ 2 ตัวเทินพระอุโบสถไว้ ตัวอาคารเป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้เป็นพระอุโบสถ รัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานจตุรทิศ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์ หันพระพักตร์ออกสู่ประตูทั้งสี่ทิศ ผนังด้านในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรม (ฮูปแต้ม) เป็นภาพแสดงเรื่องชาดก ภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และภาพตำนานพื้นบ้านของชาวเมืองน่าน ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน นับเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่มีความสมบูรณ์ หาดูได้ยาก และเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของวัดภูมินทร์ ตั้งอยู่ถนนผากอง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านพิกัด : https://maps.app.goo.gl/VumLFJYN6ijxoZaZ7 📌 วัดศรีพันต้น สร้างโดยพญาพันต้น เจ้าผู้ครองนครน่านแห่งราชวงศ์ภูคา (ครองนครน่านระหว่างปี พ.ศ. 1960-1969) บางสมัยเรียกว่า “วัดสลีพันต้น” คำว่า “สลี” หมายถึง ต้นโพธิ์ ซึ่งในอดีตมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ด้านทิศเหนือและทิศใต้ของวัด ภายในวัดมีพระวิหารสีทองตั้งเด่นเป็นสง่า มีสถาปัตยกรรมปูนปั้นที่สวยงาม โดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียรเฝ้าบันไดหน้าพระวิหาร สีทองเหลืองอร่ามสวยงามตระการตา เป็นฝีมือช่างเมืองน่าน ชื่อนายอนุรักษ์ สมศักดิ์ หรือ “สล่ารง” ภายในพระวิหารมีการเขียนภาพลายเส้นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าและประวัติการกำเนิดเมืองน่าน เป็นผลงานจิตรกรรมของช่างเมืองน่านเช่นกัน ตั้งอยู่ริมถนนเจ้าฟ้า ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านพิกัด : https://maps.app.goo.gl/TZA1cgroBUUFq1wT9 📌 วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เดิมเรียก “วัดหลวง” หรือ “วัดหลวงกลางเวียง” สร้างขึ้นในสมัยเจ้าปู่แข็ง ราวปี พ.ศ. 1949 เป็นวัดหลวงในเขตนครน่าน สำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนาและพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ตามศิลาจารึกหลักที่ 74 ซึ่งถูกค้นพบภายในวัดกล่าวว่า พญาพลเทพฤๅชัย เจ้าเมืองน่าน ได้ปฏิสังขรณ์บูรณะวิหารหลวงเมื่อปั พ.ศ. 2091 ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุช้างค้ำนี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย เช่น เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง) รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5 เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ “ค้ำ” องค์พระเจดีย์ไว้ ลักษณะคล้ายวัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย ภายในวิหารประดิษฐานพระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่ ศิลปะเชียงแสน ฝีมือสกุลช่างเมืองน่านที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง และใกล้กันยังมีอีกพระวิหารหนึ่ง ภายในประดิษฐาน พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางประทานอภัย สูง 1.45 เมตร อายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัยตอนปลาย ส่วนผสมของทองคำร้อยละ 65 พุทธลักษณะงดงามเช่นกัน ตั้งอยู่ถนนสุริยพงษ์ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านพิกัด : https://maps.app.goo.gl/dfLuu2aq94sDQgh77 📌 วัดมิ่งเมือง ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองของจังหวัดน่าน อยู่ในศาลาจัตุรมุขด้านหน้าพระอุโบสถ เสาหลักเมืองมีความสูง 3 เมตร ฐานประดับด้วยไม้แกะลวดลายลงรักปิดทอง ยอดเสาแกะสลักเป็นรูปพรหมพักตร์ มีชื่อว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2400 มีการพบเสาหลักเมืองที่เป็นท่อนซุงขนาดใหญ่สองคนโอบ ต่อมาเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านได้สถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ และตั้งชื่อว่า “วัดมิ่งเมือง” ตามชื่อที่เรียกเสาหลักเมืองว่า “เสามิ่งเมือง” ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 มีการรื้อถอนและสร้างพระอุโบสถหลังใหม่เป็นแบบล้านนาร่วมสมัยดังที่ปรากฎในปัจจุบัน ลักษณะเด่นคือลายปูนปั้นที่ผนังด้านนอกของพระอุโบสถ เป็นฝีมือตระกูลช่างเชียงแสน มีความวิจิตรงดงามมาก ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวเมืองน่าน ฝีมือช่างท้องถิ่นยุคปัจจุบัน ตั้งอยู่ริมถนนสุริยพงษ์ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านพิกัด : https://maps.app.goo.gl/1Jr4cF8uxvv3FMMu9 📌 วัดหัวข่วง วัดนี้ไม่ปรากฏว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยใด มีเพียงหลักฐานว่าได้รับการบูรณะราวปี พ.ศ. 2425 โดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน และมีการบูรณะอีกครั้งราวปี พ.ศ. 2472 ในสมัยเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองน่านองค์สุดท้าย จากนั้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 กรมศิลปากรได้ส่งเจ้าหน้าที่มาบูรณะเจดีย์วัดหัวข่วง และประกาศเป็นโบราณสถานของชาติ สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ หอธรรมหรือหอไตร เป็นอาคารที่มีลักษณะทรงสี่เหลี่ยมจตุรมุขใต้ถุนก่อทึบทรงสี่เหลี่ยมยอดเป็นรูปเต้าสลักลายลงรักปิดทองประดับกระจก ใช้เป็นสถานที่เก็บคัมภีร์โบราณและพระไตรปิฏก พระเจดีย์วัดหัวข่วง ลักษณะของเจดีย์เป็นทรงเรือนธาตุแบบศิลปะล้านนา มีการดัดแปลงของช่างฝีมือของชาวน่าน จากลักษณะสถาปัตยกรรมพออนุมานได้ว่าน่าจะสร้างขึ้นในประมาณปี พ.ศ. 2200 พระวิหารของวัด เป็นอาคารทรงจั่วมีหน้าบันประดับลวดลายไม้จำหลักรูปพรรณพฤกษา ประตูหน้าต่างประดับลายปูนปั้นคล้ายกับใบผักกาด มีการเรียนแบบศิลปะตะวันตก แสดงให้เห็นว่าอดีตนครน่านก็มีการติดกับกลุ่มชาวตะวันตกทำให้วิหารที่นี่ค่อนข้างแตกต่างกับที่อื่น ๆ นอกจากนี้ภายในวิหารยังประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ลักษณะพุทธศิลป์แบบล้านนา และยังเป็นพระประธานเบี่ยงซ้ายแห่งเดียวในประเทศไทยด้วย ตั้งอยู่ริมถนนมหาพรหม ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านพิกัด : https://maps.app.goo.gl/om6Ezqn7qUosXDrR9 📌 วัดสวนตาล วัดนี้สร้างขึ้นโดยพระนางปทุมวดี เมื่อปี พ.ศ. 1770 ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญคือ พระเจ้าทองทิพย์ ซึ่งพระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 1992 เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ปางมารวิชัย มีงานนมัสการและสรงน้ำองค์พระเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้านหลังพระวิหารมีองค์พระเจดีย์ มีสัณฐานงดงาม ชั้นล่างมีซุ้มประตูทั้งสี่ทิศ จากภาพถ่ายในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รูปเจดีย์วัดสวนตาลก่อนการบูรณะในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ (ตรงกับรัชกาลที่

ชวนไปไหว้พระ 9 วัด ในเขตตัวเมืองน่าน อ่านเพิ่มเติม

ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค สระบุรี สัมผัสธรรมชาติ เรียนรู้ชีวิตโคนม ใกล้กรุงเทพฯ แค่เอื้อม!

หากเพื่อน ๆ กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เต็มไปด้วยความรู้ ความสนุกและใกล้ชิดธรรมชาติ…วันนี้บัดดี้เลยขอชวนเพื่อน ๆ ออกเดินทางไปด้วยกัน ณ ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค จ.สระบุรี 🐄✨ ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่เพียงฟาร์มโคนมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาด ที่เหมาะสำหรับทั้งครอบครัว คู่รัก กลุ่มเพื่อนและกลุ่มนักเรียนที่อยากมาทัศนศึกษา มีกิจกรรมหลากหลายให้ร่วมสนุกและเรียนรู้ เช่น🛺 นั่งรถรางชมบรรยากาศภายในฟาร์ม👑 กิจกรรม “ตามรอยศาสตร์พระราชา”🥛 เรียนรู้กระบวนการผลิตนมแบบครบวงจร — ตั้งแต่เลี้ยงโค รีดนม จนถึงการแปรรูป🐄 สนุกกับการรีดนมแม่วัว / ป้อนนมลูกวัว📸 ถ่ายรูปสวย ๆ ท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวขจี🐄 การแสดงคาวบอย🛍️ ชิมและชอปผลิตภัณฑ์นมสดแท้ ส่งตรงจากฟาร์ม✨ ที่นี่คือจุดกำเนิดของ “นมไทย-เดนมาร์ค” แบรนด์นมที่คนไทยภาคภูมิใจ 📌 ติดตามข้อมูลกิจกรรมและรอบให้บริการได้ที่📱 Facebook: ฟาร์มโคนม ไทย-เดนมาร์ค อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี☎️ โทร: 09 1890 6335📱 LINE Official: https://lin.ee/hbX2mBk🚗 การเดินทาง: https://maps.app.goo.gl/MPhGhDkE3kdiHD9D9

ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค สระบุรี สัมผัสธรรมชาติ เรียนรู้ชีวิตโคนม ใกล้กรุงเทพฯ แค่เอื้อม! อ่านเพิ่มเติม

CoCo Tie Dye – เวิร์กชอปผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี

วันนี้บัดดี้ขอพาเพื่อน ๆ มาทำกิจกรรมรัก(ษ์)โลกแบบปล่อยใจจอย ๆ ไปด้วยกันที่ CoCo Tie Dye ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี CoCo Tie Dye ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่บัดดี้อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ไปทำกิจกรรมเวิร์ปชอปด้วยกัน เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์และพื้นที่แห่งแรงบรรดาลใจโดยมี คุณสุดใจ บุญสุข เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวอันน่าประทับใจ จากการทำกิจกรรมเวิร์กชอปผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติด้วยกาบมะพร้าวนั่นเอง 🌴 🥥🌴 บัดดี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สุดใจระหว่างการทำกิจกรรม จึงได้ทราบถึงที่มาของนำกาบมะพร้าวมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำเวิร์กชอป เนื่องจากมะพร้าวได้ชื่อว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของพื้นที่เกาะเต่ามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พี่สุดใจจึงปิ๊งไอเดียในการนำวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมสีจากธรรมชาติที่แต่งแต้มด้วยลวดลายสวยงาม ประกอบด้วย ผ้าเช็ดหน้า ถุงผ้าแคนวาส และเสื้อลายผ้ามัดย้อมอีกมากมาย ซึ่งไอเดียนี้นอกจากจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสังคม (Responsible Tourism) อีกด้วยละ ☎️ สอบถามข้อมูล พี่สุดใจ โทร. 08 0659 6592📱 Facebook: CoCo Tie Dye Koh Tao📌 https://maps.app.goo.gl/uojxoGEt5DDYepWA9

CoCo Tie Dye – เวิร์กชอปผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top