อาหารท้องถิ่น

ของดีสิงห์บุรี…ปลาช่อนแม่ลา

พูดถึงของฝากขึ้นชื่อประจำถิ่น ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อดใจไม่ไหวหรอกเหมือนแอดนี่ละค่ะ ไปเที่ยวไหนก็ต้องสอยติดไม้ติดมือกลับมาเสมอ . วันนี้แอดมีของดีจังหวัดสิงห์บุรีมาแนะนำ นั่นคือ ปลาช่อนแม่ลา . แม่ลา คือชื่อแม่น้ำซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำน้อยในเขตจังหวัดสิงห์บุรี แม่น้ำแม่ลามีความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ดินก้นลำน้ำเป็นโคลนตม เหมาะสมกับธรรมชาติของปลาช่อนยิ่งนัก . ปลาช่อนแม่ลานั้นมีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนปลาช่อนที่อื่น คือจะมีครีบหู หรือครีบอกสีชมพู หางมน ลำตัวอ้วน หัวหลิม และมีรสชาติดีกว่าปลาช่อนจากแหล่งอื่น ๆ ตอนนี้ปลาช่อนแม่ลากำลังขึ้นทะเบียน GI (Geographical Indications) เพื่อเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์และแสดงถึงความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดสิงห์บุรี . ปัจจุบัน มีการนำปลาช่อนแม่ลามาประกอบอาหาร แปรรูป รวมทั้งพัฒนาต่อยอดให้มีรูปแบบที่แปลกใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปลาช่อนแดดเดียว น้ำพริกเผาปลาช่อน เค้กปลาช่อน ไอศกรีมกะทิปลาช่อน คุกกี้ปลาช่อน และข้าวเกรียบปลาช่อน เป็นต้น . ได้ยินแบบนี้ อยากลองขึ้นมาเลยใช่ไหม อย่ารอช้า จดจำพิกัดร้านของฝากที่แอดเอามาฝากนี้ไว้ มีโอกาสแล้ว จะได้ไปช้อปกันค่ะ 1.เกษราเบเกอรี่ เปิดทุกวัน เวลา 07.00-21.00 น. โทร. 09 5639 9779 พิกัด : https://goo.gl/maps/jv3c3JcyooAMJ6YEA 2.แม่ลา กาหลง เปิดทุกวัน เวลา 08.00-19.00 น. โทร. 08 6552 4562 พิกัด : https://goo.gl/maps/JKoexr9fUDMc24MZ6 3.ร้านอรวรรณปลาช่อนแม่ลา สิงห์บุรี เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. โทร. 08 9744 2523 พิกัด : https://goo.gl/maps/qMppbG1mEmVc9jgN8 4.ร้านแม่วันเพ็ญสิงห์บุรี ปลาช่อนแดดเดียว เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. โทร. 08 9540 8647 พิกัด : https://goo.gl/maps/9kWJTUFm6947gf4TA

ของดีสิงห์บุรี…ปลาช่อนแม่ลา อ่านเพิ่มเติม

นครสวรรค์…สวรรค์ความอร่อย

ถ้าเอ่ยถึงของอร่อยนครสวรรค์ ใคร ๆ คงนึกถึงขนมโมจิ แต่ที่จริงแล้ว นครสวรรค์มีของอร่อยขึ้นชื่อให้ลิ้มลองมากมายกว่านั้น ไปดูกันว่าแอดเลือกอะไรมาฝาก . แต่เชื่อเถอะ แม้ว่าเมนูเหล่านี้จะมีให้กินทั่วไทย แต่จะฟินเท่ากับไปกินถึงถิ่นได้ยังไงกัน จริงไหม ลูกชิ้นปลากราย.เรียกว่าเป็นเมนูขึ้นชื่อแห่งปากน้ำโพเลยก็ว่าได้ ด้วยภูมิประเทศที่มีลำน้ำสี่สาย ปิง วัง ยม น่าน ไหลมาบรรจบกัน เป็นแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นแหล่งรวมปลาน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของไทย โดยเฉพาะปลากรายที่มีอยู่ชุกชุม ประกอบกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการประกอบอาหารของคนไทยเชื้อสายจีนแห่งเมืองปากน้ำโพ จึงได้นำเอาเนื้อปลากรายมาแปรรูปเป็นลูกชิ้นปลากราย.จุดเด่นลูกชิ้นปลากรายที่นี่ คือใช้เนื้อปลากรายแท้ 100% เพื่อความเหนียวนุ่ม และอร่อยน่ากิน แกงนอกหม้อ.เมนูนี้เป็นอาหารถิ่นที่ชาวนครสวรรค์คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่คนต่างถิ่นอย่างเรา ๆ คงสงสัยกันอยู่ว่า ทำไมถึงชื่อแกงนอกหม้อ แล้วเขาทำกันยังไง.แกงนอกหม้อของนครสวรรค์โดดเด่นไม่เหมือนแกงอื่น เพราะเป็นแกงกะทิที่ใส่เครื่องเทศ เครื่องเทศที่ใช้ก็คือ ลูกจันทน์เทศ ลูกกระวาน โป๊ยกั้ก ยี่หร่า และเม็ดผักชี นำมาคั่วแล้วโขลกรวมกับหอม กระเทียม และพริกแห้ง เวลาผัดเครื่องแกง กลิ่นเครื่องเทศจะหอมฟุ้งเป็นเอกลักษณ์.ขั้นตอนการทำก็ต่างจากแกงทั่วไป หลังจากทำเครื่องแกงแล้ว ก็จะรวนเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ให้สุกแล้วตักขึ้นพัก จากนั้นก็ตั้งไฟเคี่ยวกะทิให้แตกมันแล้วพักไว้ ตอนปรุงจะเริ่มจากผัดเครื่องแกงกับเนื้อที่รวนไว้จนสุก แล้วค่อยเทกะทิที่เคี่ยวไว้ลงไป ปรุงรสให้กลมกล่อมด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำกระเทียมดอง เป็นอันเสร็จ.คำว่า “แกงนอกหม้อ” หมายถึงการแยกปรุงส่วนเนื้อและเครื่องแกงให้สุกไปทีละอย่าง แล้วค่อยนำทุกอย่างที่สุกแล้วมาแกงรวมกันอีกทีนั่นเอง ขอบคุณรูปภาพจาก Steve Cafe & Cuisine Dhevet Branch https://www.facebook.com/stevecafeandcuisine/ .แอบบอกใบ้ให้นิดนึง ร้านนี้เป็นร้านในกรุงเทพฯ ที่มีทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สาขาเทเวศร์ สาขาพระรามหกและสาขาผ่านฟ้า ใครอดใจไม่ไหวก็ไปทานที่ร้านนี้กันได้เลย เมนูไหลบัว.นอกจากอาหารถิ่นอย่างแกงนอกหม้อและลูกชิ้นปลากรายแล้ว ยังมีวัตถุดิบท้องถิ่นอีกอย่างหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบอาหาร นั่นคือ “ไหลบัว”.“ไหลบัว” คือหน่ออ่อนของบัวหลวง ในบึงบอระเพ็ดซึ่งเป็นบึงน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้น้ำต่าง ๆ รวมทั้งบัวหลวง ชาวบ้านจึงนำวัตถุดิบที่มีอยู่แล้วและเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างมูลค่า และเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน.เมนูที่นิยมนำไหลบัวมาทำอาหารถิ่นของนครสวรรค์ได้แก่ ยำไหลบัว ก๋วยเตี๋ยวไหลบัว ขนมโมจินครสวรรค์.ขนมขึ้นชื่อของนครสวรรค์ที่บอกเลยว่า ใครไปเที่ยวก็ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับมาบ้างล่ะ.แท้จริงแล้วเป็นขนมเปี๊ยะที่มีการดัดแปลงตามแบบขนมโมจิ และปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทย นับว่าเป็นต้นตำรับโมจิแห่งแรกของไทยเลยทีเดียว.โมจิของญี่ปุ่น คือขนมที่ทำจากข้าวเป็นส่วนผสมหลัก โดยผ่านกรรมวิธีการตำให้เหนียวนุ่ม มีรูปแบบและรสชาติที่หลากหลายกันไป ส่วนของขนมโมจินครสวรรค์จะมีหน้าตาและรสชาติคล้าย ๆ กับขนมเปี๊ยะนมข้น ที่มีรสหวาน มีไส้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น ไส้ถั่ว ไส้มะพร้าว ไข่เค็ม เป็นต้น.ขอบคุณรูปภาพจาก  โมจิวัฒนพร ของฝากนครสวรรค์ ขนมข้าวโปง.ขนมข้าวโปงเป็นขนมไทยโบราณที่น้อยคนจะรู้จัก เดิมทีเป็นขนมที่ชาวนานิยมทำในประเพณีรับขวัญข้าว ทำจากแป้งข้าวเหนียว นำมานึ่ง เนื้อสัมผัสเหนียว นุ่ม กลิ่นหอม มีรสหวานนำ เค็มนิด ๆ นำมาห่อไส้ถั่วแล้วคลุกงาดำป่นหยาบ.ฟังดูแล้วก็ดูเหมือนขนมไทยทั่วไป แต่ในปัจจุบันนับว่าเป็นขนมที่หากินได้ยากมาก ๆ ถ้ามีโอกาสได้ไปนครสวรรค์ แอดขอแนะนำให้ไปลองสักครั้ง

นครสวรรค์…สวรรค์ความอร่อย อ่านเพิ่มเติม

ร้านใบบัว อาหารเหนือ-เชียงตุง

ร้านนี้ขายอาหารเหนือและอาหารเชียงตุง แล้วอาหารเชียงตุงกับอาหารเหนือเกี่ยวข้องกันยังไง แอดจะเล่าให้ฟัง ในอดีตพ่อค้าทางภาคเหนือนิยมใช้เส้นทางเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย แม่สาย เชียงตุงในการค้าขาย บางทีก็ยาวไปถึงยูนนาน หรืออาจถึงสิบสองปันนาเลยก็ได้ จึงมีการผสมผสานวัฒนธรรมการกินอาหารของท้องถิ่นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และมีการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบหลายอย่างให้เข้ากับยุคสมัย แต่ร้านใบบัวยังคงใช้สูตรเชียงตุงดั้งเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง . แอดเลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์การกินอาหารกับเพื่อน ๆ ให้รู้ว่ารสชาติที่มีมาตั้งแต่อดีตจะเป็นยังไง แต่ถ้ายังลังเลอยู่ว่าจะไปลองดีไหม? ลองอ่าน ลองดูความฟินของอาหารที่แอดจะนำเสนอกันก่อน . ที่ตั้ง : ซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 9 แขวง ห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310เปิด 11.00 – 21.30 น.โทร. 02-690-3166, 02-690-3167พิกัด : https://www.facebook.com/BaibuaNorthernThaifood/.วิธีเดินทาง : ใช้ MRT ห้วยขวาง ทางออกที่ 1 เดินเข้าซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 9 ร้านจะอยู่ซ้ายมือ ถ้าไม่อยากเดิน สามารถใช้บริการมอเตอร์ไซค์ (15 บาท) “ร้านใบบัว” เป็นร้านอาหารเชียงตุงขนาด 2 คูหา เปิดมาแล้วกว่า 30 ปี แอดมาถึงร้าน 11:00 ตรงเป๊ะ ร้านเพิ่งจะเปิด ระหว่างรอให้ร้านพร้อม เจ้าของร้านเลยมานั่งคุยด้วย พร้อมแนะนำรสชาติและอาหารเมนูต่าง ๆ ให้เราได้รู้จักอย่างเป็นกันเอง นับเป็นเสน่ห์ที่น่ารักของร้านที่แอดประทับใจ เจ้าของร้านชื่อพี่อร เป็นชาวไทยเขิน จากเมืองเชียงตุง แต่มาอยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย สูตรอาหารส่วนใหญ่จึงมีความเป็นเชียงตุงอยู่มาก และวัตถุดิบต่าง ๆ ก็นำเข้ามาจากเชียงตุง โดยผ่านทางญาติเจ้าของร้านที่อยู่ที่แม่สายนั่นเอง.พี่อรบอกว่า ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ต้องมาเร็วหน่อย เพราะอาหารจะหมดไวมาก โดยเฉพาะอุ๊บไก่ (แกงไก่ที่เคี่ยวจนเปื่อย) ทางร้านแนะนำให้กินอุ๊บไก่คู่กับข้าวเหลือง ข้าวเหนียวที่นึ่งกับชาดอกกุ๊ด (密蒙花) ดอกไม้ป่าคล้าย ๆ กับดอกราชาวดีที่ต้องนำเข้าจากเชียงตุงเท่านั้น เมื่อนำมานึ่งกับข้าวเหนียว จะได้สีเหลืองสวย มีกลิ่นน้ำผึ้งอ่อน ๆ.ในแต่ละวัน ที่นี่จะเปลี่ยนเมนูไปเรื่อย ๆ ไม่ต่ำกว่า 40 เมนูเลยทีเดียว ใช่แล้วเพื่อน ๆ ไม่ได้อ่านผิด 40 เมนูจริง ๆ !!.ตามไปดูเมนูที่แอดสั่งวันนี้กันเลยยย ข้าวซอยน้อย มีแบบธรรมดา และแบบทรงเครื่อง แอดเลือกแบบธรรมดา ร้านนี้เขาทำกันสด ๆ ที่หน้าร้านเลย วิธีทำคือ นำแป้งผสมน้ำใส่ถาด จุ่มถาดลงในหม้อน้ำร้อน ไม่กี่นาทีแป้งก็สุก ตลบแป้งพับเป็นสามเหลี่ยม เนื้อแป้งสัมผัสหยุ่นนิ่ม กินกับน้ำจิ้มรสเผ็ดแต่อร่อย . ถ้าเป็นข้าวซอยน้อยทรงเครื่อง เพื่อน ๆ สามารถเลือกใส่เครื่องเพิ่มเติม ทั้งหมูสับ ผักต่าง ๆ ไส้กรอก ปูอัด ไข่ ฯลฯ น้ำเงี้ยว น้ำเงี้ยวถ้วยนี้ รสชาติแบบว่า…เหนือถูกใจแอดมาก หมูสับเอย ซี่โครงเอย เคี่ยวจนเปื่อยสุด ๆ น้ำซุปกระดูกหมูหอมถั่วเน่ากำลังดี ยิ่งบีบมะนาวแล้วใส่กะหล่ำซอยฝอยยิ่งฟิน  ข้าวซอยไก่ เส้นหมี่เหนียวนุ่มกำลังดี น่องไก่เนื้อนุ่มชิ้นใหญ่ ราดน้ำซุปหอมเครื่องเทศ หวานน้อย กะทิไม่มันเลี่ยน รสชาติเผ็ดกำลังดี กินกับผักกาดฮ่อ (ผักดองแบบจีนยูนนาน รสหวานสดชื่น มีทั้งแบบเผ็ดและไม่เผ็ด) แถมโรยหน้าด้วยหมี่กรอบ ฟินมาก ยำข้าวแรมฟืน (ยำข้าวฟืน) สำหรับแอด หากไม่ไป อ.แม่สาย จ.เชียงราย ก็ไม่รู้จะไปหากินข้าวฟืนจากที่ไหน แต่ร้านนี้มีให้กิน ข้าวฟืน หรือข้าวแรมฟืนเป็นอาหารถิ่นของชาวไทลื้อ ไทเขิน และไทใหญ่ ที่แพร่หลายมาจนถึงภาคเหนือของไทย และกลายเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวเชียงราย โดยเฉพาะที่ อ.แม่สาย.ทางร้านใบบัวใช้แป้งข้าวเจ้ามาทำข้าวฟืนสีขาว มีกลิ่นควันไฟหอมอ่อน ๆ นวล ๆ ข้าวฟืนสีเหลืองคือแป้งถั่วชิคพี รสชาติจะเข้มข้นขึ้นมาหน่อย บางสูตรใช้ถั่วเหลืองและข้าวโพดมาทำ ส่วนข้าวฟืนสีม่วงอ่อน, สีเทา ทำมาจากถั่วลิสง หอมถั่วมาก และมีรสมันของถั่ว.ข้าวฟืนจะมีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ลักษณะคล้ายเยลลี่ ปกติสามารถหั่นแล้วจิ้มน้ำจิ้มกินได้เลย แต่วันนี้แอดสั่งยำข้าวฟืน ทางร้านจึงนำมายำใส่พริก ถั่ว งา น้ำส้มสายชู น้ำสู่ (น้ำหมักจากผลไม้) น้ำมะเขือเทศ ถั่วเน่า ฯลฯ รสชาติอร่อยล้ำเต็มปากเต็มคำสุด ๆ กินไปได้สักพัก พี่อรก็นำข้าวฟืนถั่วลิสงทอดมาให้ชิม ข้าวฟืนทอดร้อน ๆ จิ้มน้ำจิ้มถั่ว อร่อยมาก จานนี้เป็นเมนูใหม่ หาทานไม่ได้จากที่ไหน เพราะแม้แต่ร้านที่แม่สาย ส่วนใหญ่ก็จะใช้ข้าวฟืนแบบทั่วไปสีเหลืองนำมาทอดเท่านั้น ถ้าจะบรรยายความอร่อย เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ ลองจินตนาการถึงเฟรนช์ฟรายทอดสดใหม่เวอร์ชั่นกินแล้วรู้สึกสุขภาพดีดู นั่นแหละคำจำกัดความของข้าวฟืนทอดจานนี้ น้ำพริกอ่อง รสชาติเหนือแบบออริจินัลเลย ไม่ออกหวานเหมือนร้านทั่วไปในกรุงเทพฯ กินคู่กับผักสดอร่อยมาก ลาบหมู รสชาติเผ็ด เค็มเข้มข้น หอมพริกลาบชัดเจน เข้าปากที กลิ่นพริกแห้ง มะแขว่น เม็ดผักชี และพริกไทยดำฟุ้งขึ้นจมูก เป็นจานที่เผ็ดร้อนเครื่องเทศ แต่กินกับข้าวเหนียวแล้วหยุดไม่ได้เลย แกงหอย ใครที่เคยดูเรื่อง “กลิ่นกาสะลอง” แล้วเจอฉากที่มีประโยคเด็ด “น้องไค่กิ๋นแก๋งหอย” แล้วนึกอยากกินขึ้นมา ที่ร้านใบบัว มีแกงหอยสูตรของทางเหนือให้มาลองชิมกันนะ.ตัวน้ำแกงเป็นสีใส ไม่ใส่กะทิแบบแกงคั่วหอยขมทั่วไป รสออกเค็มนิด ๆ เผ็ดเล็กน้อย วิธีกินก็คือดูด หรือไม่ก็เอาไม้จิ้มฟันจิ้มตัวหอยออกมา

ร้านใบบัว อาหารเหนือ-เชียงตุง อ่านเพิ่มเติม

สุขใจใกล้กรุง เที่ยวอ่างทอง-สิงห์บุรี 2 วัน 1 คืน

ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวใกล้กรุง แอดอยากชวนให้ไปเที่ยวจังหวัดอ่างทองและสิงห์บุรี เพราะเดินทางง่าย ขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ก็ถึงแล้ว . หลายคนอาจคิดว่าสองจังหวัดนี้มีแต่วัดให้เที่ยว แอดไม่เถียงค่ะ ก็มีวัดเยอะจริง ๆ ด้วย แต่วัดของอ่างทองและสิงห์บุรีเป็นวัดที่สวยงามน่าเที่ยว และยังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาชนิดที่ใคร ๆ ต่างก็เดินทางไปขอพรกันนะคะ แต่ทริปนี้เราไม่ได้เที่ยวแต่วัดแน่นอน เพราะแอดมีตลาดย้อนยุคเก๋ ๆ กับคาเฟ่น่ารัก ๆ มาเอาใจสายกินกันด้วย #TravelLikeaLocal อ่างทอง1. บ้านหุ่นเหล็ก2. พิพิธภัณฑ์ตำนานเมืองอ่างทอง3. วัดม่วง4. ตลาดศาลเจ้าโรงทอง5. อินทร์โตฟาร์ม สิงห์บุรี6. Inkit Cafe Analog7. อุทยานวีรชนค่ายบางระจัน8. ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน9. วัดพิกุลทอง วันที่ 1.บ้านหุ่นเหล็ก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ คุณไพโรจน์ ถนอมวงษ์ ที่นำเศษเหล็กและอะไหล่รถยนต์เก่า ๆ มาประดิษฐ์เป็นประติมากรรมหุ่นยนต์หลายแบบจนโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ เมื่อเข้าไปด้านในบ้านหุ่นเหล็กจะพบกับอาณาจักรหุ่นยนต์และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ไม่ว่าเป็น หุ่นยนต์ซุปเปอร์ฮีโร่จากภาพยนตร์ดังอย่าง ไอรอนแมน ฮัลค์ สไปเดอร์แมน หุ่นทรานส์ฟอเมอร์ส กันดั้ม และยังมีหุ่นสัตว์ประหลาด รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ ยานอวกาศ สัตว์ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ เป็นความคิดและฝีมือการประดิษฐ์ที่น่าทึ่งมาก ๆ.ที่ตั้ง: 41/2 หมู่ 6 ตำบลตลาดกรวด อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทองพิกัด: https://goo.gl/maps/hhvXzsxyqLwcNJ9p9 เปิดทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น.โทร. 08 1339 3345 พิพิธภัณฑ์ตำนานเมืองอ่างทอง ถ้าอยากรู้จักอ่างทองให้มากขึ้น แอดขอแนะนำพิพิธภัณฑ์ตำนานเมืองอ่างทองค่ะ เป็นทางลัดที่จะทำความรู้จักได้ในเวลาแสนสั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ ตำนานในแง่มุมต่าง ๆ ประวัติบุคคลสำคัญของจังหวัด ศิลปวัฒนธรรม เทศกาลงานประเพณี และอาหารการกินของเมืองอ่างทอง. ที่ตั้ง: ถ.อยุธยา-อ่างทอง ต.บางแก้ว อ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทองพิกัด: https://goo.gl/maps/95YP6oU2TyQV4GP86เปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.โทร. 0 3561 1484 จากอำเภอเมืองอ่างทอง เราไปเที่ยวต่อกันที่อำเภอวิเศษชัยชาญ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที.วัดม่วง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ นามว่า พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อใหญ่ ซึ่งถือเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามความเชื่อ ถ้าใครอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ให้มาขอพรและสัมผัสที่ปลายพระหัตถ์หลวงพ่อใหญ่ สักการะหลวงพ่อใหญ่แล้ว อย่าลืมชมความสวยงามส่วนอื่น ๆ ของวัด เช่น อุโบสถที่ล้อมรอบไปด้วยกลีบดอกบัวปูนปั้นขนาดยักษ์ วิหารแก้วที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อเงิน” พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่สร้างด้วยเนื้อเงินแท้ และสวนรูปปั้นที่จำลองภาพของนรกภูมิ เป็นต้น.ที่ตั้ง: ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทองพิกัด: https://goo.gl/maps/U2zrBfGxTG7DqQJK7 ไปหาของกินอร่อย ๆ กันดีกว่า มาถึงอำเภอวิเศษชัยชาญทั้งที ต้องไปเดินตลาดเก่าวิเศษชัยชาญ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ตลาดศาลเจ้าโรงทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย ที่นี่เป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งรวมอาหารคาวหวานที่สายกินต้องถูกใจอย่างแน่นอน.แอดขอพาไปชิมขนมไทยกันก่อน ที่นี่มีร้านขายขนมเยอะมาก เมื่อมาถึงตลาดนี้ ต้องมาชิมขนมเกสรลำเจียก ขนมขึ้นชื่อของจังหวัดอ่างทอง นอกจากนี้ยังมีขนมบ้าบิ่น ขนมลูกเต๋า ขนมไข่ปลาโบราณ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และอีกสารพัดขนมที่แอดบรรยายได้ไม่หมด อยากให้เพื่อน ๆ ไปชิมด้วยตัวเองจะดีกว่า.ทางฝั่งของอาหารคาวก็ไม่น้อยหน้า มีร้านอาหารที่ต้องห้ามพลาดคือ ร้านป้าแสง ก๋วยเตี๋ยวโต๊ะเดียว เป็นร้านบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงรสเด็ด ที่คนต่อแถวยาวววว และด้วยความที่ทั้งร้านมีโต๊ะเพียงโต๊ะเดียว ดังนั้นถ้าใครอยากลิ้มรสความอร่อย ต้องอดใจรอกันหน่อยนะคะ.ที่ตั้ง: ซ.วัดนางใน ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทองพิกัด: https://goo.gl/maps/YP8oeGvao3FGdaUQ6เปิดทุกวัน เวลา 04.00-16.00 น. เราเดินหน้าตามหาของกินกันต่อที่ อินทร์โตฟาร์ม ฟาร์มเมล่อนบรรยากาศสุดชิล มีแปลงเมล่อนญี่ปุ่นหลายสายพันธุ์กว่า 40 โรงเรือน มีสวนดอกไม้น่ารัก ๆ ให้ถ่ายรูป.ที่ตั้ง: 5/9 หมู่ 1ต.ศรีพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง พิกัด:  https://goo.gl/maps/HjhgUJ9DDQh4p5ZG7เปิดทุกวัน เวลา 09.00-17.30 น.โทร. 08 2649 7929 นอกจากบรรยากาศจะดีแล้ว อาหารก็อร่อยไม่แพ้กัน เกือบทุกเมนูจะมีเมล่อนเป็นส่วนประกอบ เช่น เค้กเมล่อน บิงซูเมล่อน ไอศกรีมเมล่อน สลัดกุ้งทอดเมล่อน และยำเมล่อน เป็นต้นขอบอกเลยว่าเมล่อนของที่นี่หอมหวานจนต้องหิ้วกลับบ้านไปทานต่อ สัก 2-3 ลูกเลยค่ะ.ขอบคุณรูปภาพจาก ร้านอินทร์โตฟาร์ม หลังจากเที่ยวจังหวัดอ่างทองกันอย่างสนุกสนานแล้ว ก่อนจะไปเที่ยวต่อที่จังหวัดติด ๆ กันอย่างสิงห์บุรี เราจะมานอนพักค้างคืนกันก่อนที่ตัวเมืองสิงห์บุรี เพราะมีที่พักให้เลือกหลากหลาย ใช้เวลาเดินทางจากจังหวัดอ่างทองประมาณ 30 นาทีค่ะ วันที่ 2 สวัสดีวันที่ 2 ที่สิงห์บุรีค่ะ กินอาหารเช้าแล้วก็ขอเอาใจคอกาแฟกันสักหน่อยด้วยการพาไปที่ร้าน Inkit Café Analog ร้านกาแฟเล็ก ๆ สไตล์วินเทจที่พิถีพิถันในการชงกาแฟ เมื่อเข้าไปในร้านเราจะได้กลิ่นหอมอบอวลของกาแฟ พร้อมเสียงเพลงย้อนยุคที่คลอเบา ๆ ทางร้านใช้กาแฟสายพันธุ์ไทยเป็นหลัก และมีหลายชนิดให้เลือก แถมเจ้าของร้านคั่วเองกับมือ เพื่อน ๆ อยากดื่มกาแฟดริป กาแฟ cold brew กาแฟคั่วอ่อน หรือคั่วกลาง ที่นี่มีให้ชิมแน่นอน.ที่ตั้ง: 255/7 ถ.ธรรมโชติ ต.บางพุทรา อ.เมืองสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรีพิกัด: https://goo.gl/maps/Rt5r3horpNGEb3DQ9เปิดทุกวัน เวลา 10.00-16.00 น.โทร. 08 9459 4009.ขอบคุณรูปภาพจาก ร้าน Inkit Café Analog พูดถึงจังหวัดสิงห์บุรี เราก็นึกถึงชาวบ้านบางระจันขึ้นมาทันที ในอดีต

สุขใจใกล้กรุง เที่ยวอ่างทอง-สิงห์บุรี 2 วัน 1 คืน อ่านเพิ่มเติม

ป่าสนวัดจันทร์ Go Green

ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ไปสัมผัสบรรยากาศอันเขียวขจีและชุ่มฉ่ำที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ จังหวัดเชียงใหม่กันดีกว่า ที่นี่บรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนกายและใจเป็นที่สุด.โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)  ที่ตั้ง : ต.บ้านจันทร์ กม.40 หมู่บ้านห้วยอ้อ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่พิกัด : https://goo.gl/maps/Mgf8gxcX67f9DWGMAเปิดทำการทุกวัน : 08.00 – 22.00 น.เบอร์โทรศัพท์จองที่พัก : 053 249 349เบอร์โทรศัพท์เจ้าหน้าที่ : 086 181 3388Facebook : FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป..การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง 1. จากขนส่งอาเขต นั่งรถสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน รถออกเวลา 07.00 น. / 09.00 น. / 10.30 น. / 12.30 น. / 14.30 น. และ 16.00 น. (สำหรับค่าโดยสารสามารถสอบถามได้ที่ บ.เปรมประชา โทร.053 304 748) จากนั้นนั่งรถสองแถวบริเวณตลาดแสงทอง อ.ปาย ไปที่บ้านวัดจันทร์ รถมีวันละ 1 เที่ยว เวลา 13.00 น 2. จาก บขส.(ช้างเผือก) นั่งรถสองแถวป้ายบ้านวัดจันทร์ (รถสีเหลือง) รถออกเวลา 09.00 น. และ 11.00 น. ราคาคนละ 150 บาท ถ้าให้ส่งที่ อ.อ.ป. คิดเพิ่มคนละ 40 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง  โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นป่าสนที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่อำเภอปาย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอสะเมิง และบางส่วนของอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่กว่า 150,000 ไร่.สามารถเที่ยวได้ทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะที่สุดคือ เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ถ้ามาเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ จะได้พบกับความเขียวขจีและสดชื่นในแบบกรีนซีซั่น แต่ถ้ามาช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์จะเป็นช่วงใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีสวยงาม เหมาะสำหรับถ่ายภาพมากๆ เลยล่ะ ที่นี่มีบ้านพักกว่า 30 หลัง และมีหลายแบบ พักได้ตั้งแต่ 2 – 10 คน ราคาหลังละ 800 – 2,000 บาท.ค่าบริการเสริม– ค่าเช่าที่นอนเสริม (ราคา 200 บาท)– ค่าเช่าจักรยาน (ราคา 100 บาท/วัน/คัน)– ค่าอาหารเช้า (ราคา 100 บาท/คน)– ค่าอาหารกลางวัน (ราคา 120 บาท/คน)– ค่าอาหารเย็น (ราคา 150 บาท/คน) มีบริการพื้นที่กางเต็นท์ สามารถรองรับได้ประมาณ 300 หลัง แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง โดยมีค่าธรรมเนียม 50 บาท/คน/คืน และต้องนำอาหารมาเอง แต่ถ้าไม่ได้เตรียมมา ก็สามารถแจ้งทางศูนย์ฯ ให้เตรียมอาหารให้ได้ค่ะ ไฮไลท์ของโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์คงจะหนีไม่พ้นป่าสนที่สวยงาม และบรรยากาศชิลๆ ริมอ่างเก็บน้ำ ถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว จะได้เห็นวิวอ่างเก็บน้ำและหมอกสวยๆ แบบนี้ สะพานไม้ท่ามกลางป่าสนเป็นอีกจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาด ถ้าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ในตอนกลางคืน เพื่อนๆ จะได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้า บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เหมาะกับการพาแฟนไปนั่งดูดาว แต่คนโสดก็ไม่ต้องกลัวเหงา พาแก๊งเพื่อนมาถ่ายรูปดาว รับรองได้รูปสวยๆ กลับไปแน่นอน ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากชาวบ้าน โมบายที่ทำจากไม้แกะสลัก ผ้าทอของชาวปกาเกอะญอ โปสการ์ด เสื้อยืด ฯลฯ.ขอบคุณรูปภาพจาก เพจ FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป. อยู่กลางป่ากลางเขาก็ไม่ต้องกลัวหิว เพราะที่นี่เลี้ยงเราดีมากๆ อาหารแม้จะเป็นเมนูทั่วไป แต่รสชาติอร่อยจนต้องขอเติมรอบสอง กระซิบไว้หน่อยว่า ห้ามพลาดน้ำพริกกะปิ เพราะรสชาติจัดจ้าน เข้มขัน ทานกับผักสดและแคบหมูยิ่งอร่อย เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 ตุลาคม 2562

ป่าสนวัดจันทร์ Go Green อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ Life Community Museum Buengkan.ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดบึงกาฬ เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ แต่มีแนวคิดสุดยิ่งใหญ่ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต” โดยคุณขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์ชื่อดังของเมืองไทย .ด้วยความที่คุณขาบเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะและการออกแบบ จึงได้นำเอาศิลปะร่วมสมัยเข้ามาผสมผสานเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้แก่ชุมชน ทั้งยังให้คำแนะนำในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้จากการขายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร นำไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้ในอนาคต.บรรยากาศภายในชุมชนจะเป็นยังไง ตามแอดมาดูกันเลย!! พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ ที่ตั้ง: ชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต.หนองพันทา อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬพิกัด: https://goo.gl/maps/nBxfdciSLnAPHjyt9เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.Facebook : พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จ.บึงกาฬโทร. 086 229 7626, 081 612 8853 กิจกรรมต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ– พักค้างคืนที่โฮมสเตย์ ราคา 300 บาท/คน (พักได้ 20 คน มีแอร์ทุกห้อง)– ท่องเที่ยวจังหวัดบึงกาฬแบบ One day trip ราคา 599 บาท/คน (รับตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป)– เช่าจักรยานปั่นชมภาพวาดพญานาคภายในชุมชน ราคา 20 บาท/คัน– เช่าชุดพื้นบ้านอีสานใส่เที่ยวเก๋ๆ (โสร่งสำหรับผู้ชาย และผ้าซิ่นสำหรับผู้หญิง) ราคา 100 บาท/คน– ชมศูนย์อาชีพชุมชนยั่งยืน ได้แก่ เครื่องจักสาน ลูกประคบสมุนไพร และยาหม่องกลิ่นตะไคร้หอม– นอกจากนี้ยังมีบริการให้เช่าสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งศึกษาดูงานด้วย เงื่อนไขการเข้าชม– จ่ายเงินก่อนเข้าชม (คนละ 50 บาท)– ไม่หยิบจับเคลื่อนย้ายสิ่งของ– ถ่ายภาพให้เต็มที่– สำรวมกายใจเมื่ออยู่ในห้องพระ  เมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เราจะเห็นภาพวาดพญานาคตามผนังบ้านหลายหลังตลอดสองข้างทาง เมื่อเข้าไปจนสุดทาง ก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัด บึงกาฬ ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทยอีสานหลังเก่าแก่กว่า 60 ปี ของคุณขาบ ที่ได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ บริเวณด้านข้างของตัวบ้านที่ต่อเติมออกมาเป็นลานอเนกประสงค์นั้น ก็มีผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านในชุมชนมาวางจำหน่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋ารูปทรงต่างๆ กระติ๊บข้าวเหนียว เสื้อผ้า ฯลฯ รวมทั้งยังมีเวทีให้ศิลปิน นักออกแบบ และนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ มาจัดแสดงผลงานอีกด้วย  หากเพื่อนๆ ลองสังเกตดูตามตัวบ้าน จะเห็นบันไดและประตูหน้าต่างทาด้วยสีเขียว “ตั้งแช” ซึ่งเป็นสีเขียวน้ำทะเลที่สบายตา สื่อความหมายถึงต้นไม้และธรรมชาติ เพิ่มสีสันให้บ้านหลังนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น  ชั้นบนของบ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดับอยู่ทุกห้อง เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีมุมจัดแสดงเครื่องแต่งกายเวลาไปวัดของชาวอีสานในสมัยก่อนให้ชมด้วย โดยชาวบ้านนิยมสวมเสื้อขาว ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นไหมและผู้ชายนุ่งโสร่ง อีกด้านของตัวบ้าน มีห้องครัวพื้นบ้านแบบอีสาน ที่มีเครื่องครัวต่างๆ ที่เคยใช้งานจริงจัดแสดงไว้ให้ชมด้วย ที่สำคัญมีไหปลาร้าที่คุณขาบบอกให้แอดลองเปิดดมดูด้วยนะ ถ้าอยากรู้ว่ากลิ่นเป็นยังไง เพื่อนๆ ต้องไปลองดมเอง  พื้นที่ด้านนอกตรงข้ามบ้านเป็นลานวัฒนธรรมกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีแคร่ไม้ให้นั่งพัก ด้านบนมีโคมไฟสุ่มไก่สุดเก๋ไก๋ และยังมีภาพวาดสีสันสดใสบนกำแพงสังกะสีด้วย สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลย เพราะมีพร็อพของจริงให้ถ่ายได้อย่างเต็มที่ ทั้งสุ่มไก่ สุ่มปลา เชือกจูงควาย ใครไปแล้วได้ภาพสวยๆ มาโพสอวดแอดได้เลยนะ ใกล้ๆ กับบ้านมียุ้งข้าว ซึ่ง “Alex Face” ศิลปิน Graffiti Street Art ชื่อดังระดับโลก เพิ่งมาสร้างสรรค์ผลงานสุดเจ๋งเอาไว้!! คราวนี้มาในธีม “น้องมาร์ดี กับ พี่นาค” น่ารักน่าชังมาก ใครชอบน้องมาร์ดีต้องมาให้ได้นะ  หากเพื่อนๆ มีเวลา แอดแนะนำให้เดินชมภาพพญานาคที่กระจายอยู่รอบชุมชนให้ทั่วเลยนะ ภาพวาดมากมายเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ได้ปรับให้มีความทันสมัยแต่ก็ยังสะท้อนความเป็นชุมชนได้เป็นอย่างดี  ภาพพญานาคส่วนใหญ่ที่ปรากฏจะเกี่ยวข้องกับอาชีพและความชอบของเจ้าของบ้านหลังนั้นๆ เช่น พญานาคกับไอศกรีมซันเดย์ พญานาคตำส้มตำ พญานาคกำลังตัดผม พญานาคกับจักรยาน เป็นต้น ถ้าเดินกันเหนื่อยแล้ว สามารถมาแวะเติมพลังกันได้ที่พิพิธภัณฑ์ (แต่ต้องจองล่วงหน้านะ) ที่นี่เค้ามี “พาแลง” ที่นำเอาอาหารถิ่นมาจัดรวมกันเป็นชุด สำหรับแอดแล้วไม่มีคำไหนที่ไม่อร่อยเลย รสมือแม่ครัวนัวและวัตถุดิบดีมาก ที่สำคัญได้รับรางวัลเกียรติยศชนะเลิศของโลก Local Table จากเวที Gourmand Awards ประเทศฝรั่งเศสมาแล้วด้วย .หากเพื่อนๆ มาตรงกับวันเสาร์ สามารถมาเดินเล่นที่ตลาดชุมชนพอเพียง บริเวณลานวัฒนธรรมตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ มาอุดหนุนอาหารและพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านได้ด้วย การเดินทาง  เครื่องบิน: จากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี มีบริการรถเช่าทั้งรถยนต์และรถตู้   รถยนต์ : จากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 สู่จังหวัดหนองคาย จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ไปจนถึงแยกโพนพิสัย เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2267 ไปจนถึงแยกบ้านตูม เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทหมายเลข 4022 ขับไปตามทางเรื่อยๆ จะเห็นป้ายบอกทางไป อ.โซ่พิสัย ทางขวามือ ระยะทางรวม 146 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ – จาก อ.เมืองบึงกาฬ ใช้เส้นทางลัดผ่านวัดป่าดานวิเวก (ทางหลวงชนบทหมายเลข 3013) และทางหลวงหมายเลข 2095 ระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที – จากสถานีรถไฟหนองคาย นั่งรถขนส่งประจำจังหวัดไปยัง อ.โซ่พิสัย ระยะทาง 80 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 9 ตุลาคม 2562

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ อ่านเพิ่มเติม

เส้นทางท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2 วัน 1 คืน

เส้นทางท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2 วัน 1 คืน วันที่ 1– วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จ.สุราษฎร์ธานี– พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี– ชุมชนบางใบไม้ จ.สุราษฎร์ธานี– ศาลหลักเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี วันที่ 2– อุทยานธรรมเขานาในหลวง จ.สุราษฎร์ธานี– ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด จ.สุราษฎร์ธานี– เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี วันที่ 1.เริ่มต้นทริปกันที่ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี.วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 ในช่วงที่อาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่.พระวิหารหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมธาตุไชยา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 แทนพระวิหารหลังเดิมที่ชำรุด ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ พระบรมธาตุไชยา.เป็นเจดีย์ทรงปราสาท สูง 24 เมตร ผังเป็นรูปกากบาท มีมุขทั้ง 4 ด้าน มุขด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีบันไดให้ขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปภายในได้ เหนือเรือนธาตุมีลักษณะเป็นหลังคาซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 3 ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยสถูปจำลองที่มุมและด้าน ถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอด ที่ฐานล่างมีเจดีย์บริวารทั้ง 4 มุม.สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุไชยาถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยที่สมบูรณ์ที่สุดที่เหลืออยู่ในประเทศไทย.เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระบรมธาตุไชยา จะเป็นสิริมงคลสูงสุด ช่วยให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแคล้วคลาดปราศจากอันตราย ระเบียงคด.พระบรมธาตุล้อมรอบด้วยระเบียงคด ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ รวม 180 องค์ พระอุโบสถ.พระอุโบสถตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระบรมธาตุ สร้างขึ้นแทนพระอุโบสถหลังเก่าเมื่อ พ.ศ.2498 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาทรายแดงปางมารวิชัย พระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์.พระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์ หรือที่เรียกกันว่า “พระพุทธรูป 3 พี่น้อง” ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระวิหารหลวง.สันนิษฐานว่าเดิมคงมีอาคารครอบ ซึ่งภายหลังชำรุดหักพังจึงถูกรื้อออกไป มีเรื่องเล่าว่าเคยมีการสร้างศาลาครอบถึง 3 ครั้ง แต่เกิดเหตุฟ้าผ่าศาลาทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้องค์พระจึงยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้งมาจนถึงปัจจุบัน.วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. แวะมาชมโบราณวัตถุกันต่อที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 2 อาคาร โดยอาคารหลังแรกจัดแสดงประติมากรรมจำลองจากโบราณวัตถุที่ค้นพบในอำเภอไชยา.ประติมากรรมจำลองที่สำคัญ ได้แก่ พระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร ที่เหลือเพียงพระวรกายท่อนบน ได้รับยกย่องว่าเป็นรูปเคารพที่งามที่สุดองค์หนึ่ง สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 14 ในศิลปะศรีวิชัย สันนิษฐานว่าคือพระโพธิ์สัตว์ปัทมปาณิ มีสองกร พระหัตถ์ขวาแสดงปางประทานพร ส่วนพระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัว ซึ่งองค์จริงจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ส่วนอาคารหลังที่สอง จัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ไปจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ รวมทั้งงานประณีตศิลป์ และเครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการวันพุธ-อาทิตย์ ตั้งแต่ 09.00-16.00 น. (หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)ค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาทสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 077 431 066 ที่ต่อมาเรามาล่องเรือชิล ๆ กันที่ ชุมชนบางใบไม้ ต.บางใบไม้ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี.“ชุมชนบางใบไม้” หรือ “ในบาง” เป็นชุมชนริมคลองที่ยังคงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย บริเวณนี้มีคลองเล็กคลองน้อยเชื่อมต่อกันนับร้อยสายก่อนไหลลงสู่แม่น้ำตาปี จึงได้ชื่อว่าเป็น “คลองร้อยสาย”.กิจกรรมที่ได้รับความนิยมของชุมชนแห่งนี้คือการล่องเรือชมความอุดมสมบูรณ์ของสองฝั่งคลอง ซึ่งเราจะเห็นต้นจากและต้นมะพร้าวเรียงรายสุดลูกหูลูกตา พี่คนขับเรือเล่าให้ฟังว่า ต้นจากที่เราเห็นนั้นสามารถนำไปทำประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใบจากนำไปห่อขนม หรือทำเป็นตับจาก ก้านจากนำไปทำเป็นไม้กวาด และลูกจากนำไปทำเป็นขนมหวาน เป็นต้น นอกจากนั้นยังมี อุโมงค์จาก ที่เกิดจากต้นจากสองฝั่งคลองโน้มเข้าหากัน เป็นจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมมาก ๆ เลยล่ะ.ชุมชนบางใบไม้ ต.บางใบไม้ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น.ค่าล่องเรือคนละ 100 บาท นั่งได้ 5 คน หรือเหมาเรือลำละ 500 บาท ใช้เวลาล่องประมาณ 2 ชั่วโมงกลุ่มท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บางใบไม้ โทร. 077 292 903 หรือ คุณจรัญญา โทร. 081 607 4935 หากต้องการล่องเรือเป็นหมู่คณะ แนะนำให้ติดต่อล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน แวะสักการะศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี.ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 รวมทั้งเพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวสุราษฎร์ธานี.ศาลหลักเมืองแห่งนี้ ได้รับการออกแบบโดยกรมศิลปากร ที่นำเอาพระบรมธาตุไชยามาเป็นต้นแบบ แต่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ลักษณะอาคารเป็นทรงจตุรมุข มีบันไดทางขึ้นสี่ด้าน หน้าบันประดับลายปูนปั้น และได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี มาประดับไว้ทั้ง 4 ด้านด้วย ภายในศาลหลักเมืองประดิษฐานเสาหลักเมืองซึ่งทำจากไม้ราชพฤกษ์ลงรักปิดทอง ส่วนยอดสลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือพรหมสี่หน้า ล้อมรอบด้วยเสาหลักเมืองจำลองซึ่งมีขนาดย่อมกว่าจำนวน 4 เสา โดยทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยมซึ่งประดับด้วยประติมากรรมรูปช้างอยู่ภายในซุ้ม ทุกวัน ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่างแวะเวียนมาสักการะบูชาศาลหลักเมืองกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเย็นถึงค่ำ จะมีการเปิดไฟส่องสว่างรอบศาลหลักเมืองด้วย สวยงามมากเลยล่ะ.ศาลหลักเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานีต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. วันที่ 2.วันนี้ต้องตื่นเช้าซักหน่อย เพราะเราจะไปชมทะเลหมอกกันที่ อุทยานธรรมเขานาในหลวง ต.ต้นยวน

เส้นทางท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2 วัน 1 คืน อ่านเพิ่มเติม

เส้นทางท่องเที่ยว ระนอง-ชุมพร 3 วัน 2 คืน

ระนอง – ชุมพร 3 วัน 2 คืน  วันที่ 1– ภูเขาหญ้า– ศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาการร่อนแร่ ชุมชนหาดส้มแป้น– น้ำนองฮอทสปา วันที่ 2 – วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลม่วงกลวง คลองลัดโนด– บ้านไร่ไออรุณ– จุดชมวิวเขามัทรี– บาติกผาแดง ครูอนงค์ วันที่ 3– จุดชมวิวป่าเขาเขียว– เจียฟาร์ม– หาดทุ่งวัวแล่น วันที่ 1.สถานที่แรกที่แอดไปก็คือ ภูเขาหญ้าตั้งอยู่ใน อ.เมือง มีลักษณะเป็นภูเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น มีแต่ต้นหญ้าปกคลุม จึงเป็นที่มาของชื่อภูเขาหญ้า มีทางเดินเท้าขึ้นสู่สันเขาเพื่อชมวิวได้ 360 องศา ภูเขาแต่ละลูกไม่สูงมาก สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้.ภูเขาหญ้าสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน-เมษายน) ภูเขาหญ้าจะเป็นสีน้ำตาลทอง แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม) ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว หลายคนจึงนิยมเรียกว่า “ภูเขาหญ้าสองสี”.ที่ตั้ง ม.1 ต.หงาว อ.เมือง จ.ระนองเปิดทุกวันไม่เสียค่าธรรมเนียม ศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาการร่อนแร่ ชุมชนหาดส้มแป้น.หาดส้มแป้น อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 10 กิโลเมตร เป็นตำบลเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขา ที่ยังคงเสน่ห์เฉพาะตัวของความเป็นหมู่บ้านที่มีแหล่งแร่ดีบุกเอาไว้ ที่สำคัญหากไปเที่ยวที่นี่ เราสามารถทำกิจกรรมร่อนแร่ได้ด้วยนะ.ที่ตั้ง ต.หาดส้มแป้น อ.เมือง จ.ระนองเปิดทุกวัน 09.00-16.00 น. (นัดล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน)โทร. 080 040 2425, 090 424 8513 (พี่สมโชค)Facebook : https://www.facebook.com/BaanHatsompaen/ “หาดส้มแป้น” เป็นชุมชนทำเหมืองเก่าที่สำคัญของ จ.ระนอง มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การทำเหมืองของที่นี่เป็นลักษณะของเหมืองฉีด (คือใช้กระบอกสูบน้ำ สูบดินทรายและแร่ขึ้นมาจากเหมือง) และเหมืองแล่น (ใช้น้ำฉีดไปที่หน้าดินเพื่อหาแร่) มีเพียงส่วนน้อยที่มีการทำแบบเหมืองหาบ (ใช้คนขุดและหาบแร่ไปล้าง) ชื่อ “หาดส้มแป้น” เพี้ยนมาจากคำว่า “ห้วยซัมเปียน” ในภาษาจีน ที่แปลว่าลึกเข้าไปในหุบเขา เนื่องจากการค้นหาแร่ดีบุกจะต้องเดินลึกเข้าไปเพื่อหาแร่ในหุบเขา ปัจจุบันแม้แร่ดีบุกจะลดน้อยลง แต่ก็มีการค้นพบแร่ดินขาวคุณภาพดีอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ที่มีชื่อเสียงด้านความโปร่งใสของเนื้อดิน สามารถส่งออกขายทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย ปิดท้ายวันแรกด้วย น้ำนองฮอทสปา.สปาน้ำแร่ร้อนธรรมชาติแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำแร่ร้อนรักษะวาริน จุดเด่นของที่นี่คือ การใช้น้ำแร่ที่ต่อตรงมาจากบ่อน้ำร้อนรักษะวาริน ซึ่งถือเป็นน้ำแร่คุณภาพดีอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว มีคุณสมบัติพิเศษคือ ไม่มีกลิ่นกำมะถัน สามารถใช้ดื่มได้และอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย.ที่ตั้ง ต.เขานิเวศน์ อ.เมือง จ.ระนองเปิดทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.โทร. 084 625 3444, 077 828 388, 081 666 2285 ประโยชน์ของการแช่น้ำแร่– กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและช่วยขยายหลอดเลือด– คลายความปวดเมื่อย– บำรุงผิวพรรณ– กระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย. ที่นี่ยังมีบริการอื่น ๆ อีก เช่น– นวดคลายกล้ามเนื้อ-คลายเส้น– นวดแผนไทย– นวดหน้า– นวดเท้า– ขัดผิว วันที่ 2.วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลบ้านม่วงกลวง คลองลัดโนด.หากใครอยากสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิดและทำกิจกรรมที่หลากหลาย แอดแนะนำให้มาที่นี่ เพราะมีทั้งล่องเรือชมวิว ปลูกป่าชายเลน กินอาหารทะเลสดอร่อยบนกระชังปลา และล่องแพเปียก.ที่ตั้ง ม.3 ต.ม่วงกลวง อ.กะเปอร์ จ.ระนองเปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น.โทร. 087 885 7965 (พี่ปรีชา), 082 278 6099 (ผู้ใหญ่ทวน) กิจกรรมแรกคือการนั่ง “เรือพรีส” ชมวิว เรือนี้มีลักษณะคล้ายเรือหางยาวลำเล็ก ๆ นั่งได้ไม่เกิน 3 คน รวมคนขับ.วันที่แอดไปมีฝนตกลงมา สมกับที่เป็น “เมืองฝนแปดแดดสี่” จริง ๆ เพราะฉะนั้นใครมาเที่ยวระนองต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะ เช็คสภาพอากาศล่วงหน้าด้วย แต่จริง ๆ นั่งเรือกลางสายฝนก็สนุกไปอีกแบบเลยล่ะ อีกจุดของที่นี่ ที่แอดชอบมากก็คือ กระชังปลา หรือเรียกว่าศูนย์เรียนรู้ลอยน้ำ ซึ่งเป็นจุดรับประทานอาหารกลางวันของเรา มาถึงระนองทั้งที ถ้าไม่กินอาหารทะเลก็อาจถูกแซวว่ามาไม่ถึง ขอบอกเลยว่าอาหารที่นี่อลังการมาก กุ้ง หอย ปู ปลา ละลานตาไปหมด แถมรับประกันความสดและความอร่อย เมนูที่ไม่อยากให้เพื่อน ๆ พลาดเลยก็คือ “แกงกุ้งใส่ใบส้มป่อย” ซุปใสรสชาติคล่องคอ อมเปรี้ยวนิด ๆ เนื้อกุ้งก็หวานเด้ง รสชาติเข้ากันมาก ๆ ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า อย่ากินเพลินจนลืมชมวิวนะ เพราะถึงแม้ว่าตอนล่องเรือฝนจะตก แต่พอฝนหยุดแล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเป็นอะไรที่สุดยอดมากกก หมอกจาง ๆ บนภูเขา น้ำใส ๆ สะท้อนภาพท้องฟ้าที่เริ่มเปิด ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ และอาหารอร่อย ๆ วางเต็มโต๊ะ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม กิจกรรมถัดไปตามโปรแกรมก็คือ การล่องแพเปียกชมสันหลังปึ้งกือ(สันหลังกิ้งกือ) ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อให้คล้องกับทะเลแหวกสันหลังมังกรที่ จ.สตูล และไฮไลท์สำคัญก็คือ การปลูกป่าชายเลน ที่นอกจากจะสนุกแล้ว ยังเป็นการช่วยเพิ่มทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย.แต่น่าเสียดายที่ฝนตกอีกรอบ ไม่สามารถล่องแพเปียกและปลูกป่าชายเลนได้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ แอดหาภาพมาให้เพื่อน ๆ ดูแล้ว.แพ็กเกจ 1 วัน สำหรับ 2 – 60 คน เดินทางเอง ราคา 1,350 ต่อคนบริการรับ-ส่ง เมืองระนอง 1,900 ต่อคน.โปรแกรมกิจกรรม ณ คลองลัดโนดจุดนัดพบ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ท่าเรือคลองลัดโนด–

เส้นทางท่องเที่ยว ระนอง-ชุมพร 3 วัน 2 คืน อ่านเพิ่มเติม

เส้นทางท่องเที่ยวสุพรรณบุรี 2 วัน 1 คืน

เส้นทางท่องเที่ยวสุพรรณบุรี 2 วัน 1 คืน วันที่ 1– ตลาดบางลี่– สุ่มปลายักษ์ ตลาดน้ำสะพานโค้ง– คาเฟ่ เจดีย์– วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร.วันที่ 2– พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผา)– ร้านอาหาร Three of us– วัดเขาดีสลัก– ตลาดสีเขียว ณ สวนสวรรค์สุพรรณบุรี ตลาดบางลี่.ตลาดบางลี่เป็นตลาดเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ตั้งอยู่ริมคลองสองพี่น้อง ภายในมีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ.ตลาดเปิดตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึง 5 ทุ่ม โดยในตอนเช้าจะเป็นตลาดสด พ่อค้าแม่ค้าจะเริ่มตั้งแผงขายกันตั้งแต่ตี 4 พอช่วงสาย ร้านรวงต่างๆ ก็จะเปิดให้บริการ มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของชำ ส่วนตอนเย็นตลาดแห่งนี้ก็จะกลายเป็นตลาดโต้รุ่งที่มีอาหารหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารตามสั่ง ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว และของหวาน ถึงแม้ว่าตลาดบางลี่จะดูเหมือนตลาดธรรมดาทั่วๆ ไป แต่ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจ.เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นแอ่งกระทะ ในอดีตเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำในคลองสองพี่น้องจะมีระดับสูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดบางลี่มีน้ำท่วมสูงตลอดทุกปี ชาวบ้านจึงต้องอพยพขึ้นไปอยู่อาศัยและค้าขายบนชั้นสองของบ้าน รวมทั้งใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจรเพื่อติดต่อและซื้อขายสินค้ากัน และเมื่อถึงช่วงหน้าแล้งชาวบ้านก็จะกลับมาขายสินค้าที่ชั้นล่างเหมือนเดิม ตลาดแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “ตลาดสองฤดู” .แต่ภายหลังได้มีการปรับพื้นที่บริเวณตลาดให้สูงขึ้น และปรับปรุงบ้านเรือนใหม่เกือบทั้งหมด ภาพตลาดดังกล่าวจึงกลายเป็นเพียงความทรงจำ.ที่มารูปภาพ: https://www.facebook.com/songpeenongmuni/ นอกจากนี้ บริเวณท่ารถในตลาด ยังมีอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ให้ประชาชนได้กราบสักการะอีกด้วย .ถนนราษฎร์ดำรง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเปิดทุกวัน เวลา 04.00-23.00 น.  ที่ต่อมาแอดจะพาเพื่อนๆ ไปเดินหาของกินอร่อยๆ พร้อมชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศากัน.สุ่มปลายักษ์ ตลาดน้ำสะพานโค้ง.ตลาดน้ำสะพานโค้ง เป็นตลาดที่มีทางเดินที่ทำจากไม้ไผ่ลัดเลาะไปมาตามแนวริมคลองสองพี่น้อง และมีสะพานโค้งที่ทอดข้ามไปยังฝั่งวัดทองประดิษฐ์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ตลาดน้ำสะพานโค้ง” นั่นเอง.ตำบลต้นตาล อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. ภายในตลาดมีทั้งอาหาร ขนมไทย ขนมหวาน เครื่องดื่มสมุนไพร และของฝากจากฝีมือของคนในชุมชน  ไฮไลต์ของตลาดน้ำแห่งนี้ก็คือ “สุ่มปลายักษ์”.สุ่มปลายักษ์ เป็นหอชมวิวขนาดใหญ่ สูง 20 เมตร มีรูปทรงแบบสุ่มจับปลา เกิดจากความร่วมมือของคนในชุมชนที่นำไม้ไผ่จำนวนมากมาใช้ในการก่อสร้าง ด้านในสุ่มมีบันไดไม้ไผ่ให้เดินขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดเพื่อชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศา.สุ่มจับปลา เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำมาหากินที่บ่งบอกถึงความเป็นชุมชนเกษตรกรรมของชาวอำเภอสองพี่น้องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน สมกับเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำอีกด้วย เมื่อเดินมาจนสุดตลาดน้ำ ก็จะมีสะพานไม้ข้ามไปยังอีกฝั่งของคลอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดทองประดิษฐ์ และยังมีคาเฟ่ที่แอดจะพาเพื่อนๆ ไปกัน คาเฟ่ เจดีย์ .ริมคลองสองพี่น้อง ตำบลบางเลน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีโทร. 086 537 7761เปิดวันพฤหัสบดี-อังคาร เวลา 08.00-17.00 น. (ปิดทุกวันพุธ) คาเฟ่ เจดีย์ เป็นคาเฟ่เล็กๆ ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย มีที่นั่งทั้งด้านในร้านและระเบียงริมน้ำ คาเฟ่ เจดีย์ ให้บริการของหวานและเครื่องดื่ม น่าทานทั้งนั้น .เมนูแนะนำต้องนี่เลย “เค้กมะพร้าวอ่อน” รสชาติหวานกำลังดี กลิ่นหอม เนื้อเค้กก็นุ่มมากๆ  เครื่องดื่มของที่นี่ก็มีหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้โซดา ก็มีครบเลยจ้า บอกเลยว่าบรรยากาศของร้านดีมาก นอกจากอากาศจะดี ลมพัดเย็นสบายแล้ว ยังเป็นจุดที่สามารถชมวิวตลาดน้ำและสุ่มปลายักษ์ได้อย่างสวยงามอีกด้วย ออกเดินทางไปที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรีกัน .วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร.หากใครได้มาจังหวัดสุพรรณบุรีแล้วล่ะก็ ต้องไม่พลาดที่จะมากราบสักการะหลวงพ่อโต ณ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร.วัดเก่าแก่แห่งนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ และประดับตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปพระมหาพิชัยมงกุฏไว้ที่หน้าบันของพระวิหารด้วย ภายในพระวิหารประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางป่าเลไลยก์ ศิลปะอู่ทอง มีความสูงถึง 23.47 เมตร ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สันนิษฐานว่าเดิมหลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา แต่ภายหลังชำรุดจึงได้บูรณะซ่อมแซมใหม่ให้เป็นปางป่าเลไลยก์ นับเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี วัดแห่งนี้ ยังมีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดีเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” โดยเป็นวัดที่ตามเรื่องกล่าวว่าขุนแผนเคยเล่าเรียน ซึ่งที่ระเบียงคดรอบพระวิหารก็มีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องขุนช้างขุนแผนเอาไว้อย่างสวยงาม.นอกจากนี้ ภายในวัดยังมี “เรือนขุนช้าง” เป็นเรือนไทยประยุกต์หลังใหญ่ สร้างจำลองให้เป็นเรือนของขุนช้างตามในวรรณคดี บนเรือนมีภาพวาดเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน และมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัยก่อนให้ได้ชม.ที่ตั้ง 249 ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรีโทร. 092 590 9595 เริ่มต้นการเดินทางในวันที่สอง แอดจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวกันที่อำเภออู่ทอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณในวัฒนธรรมทวารวดี อันเป็นยุคเริ่มแรกของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิ.พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ (พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผา).“พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ” หรือ “หลวงพ่ออู่ทอง” เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักบนหน้าผา อยู่ในบริเวณวัดเขาทำเทียม ซึ่งเดิมพื้นที่นี้เป็นเหมืองหินเก่าที่หมดสัมปทานไปแล้ว ต่อมา พ.ศ.2557 เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหารได้เข้ามาพัฒนาและสร้างเป็นพุทธมณฑลของจังหวัดสุพรรณบุรี.องค์หลวงพ่ออู่ทองนั้นเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะอู่ทอง มีความสูงถึง 108 เมตร ฐานกว้าง 88 เมตร และหน้าตักกว้าง 65 เมตร นับว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณด้านหลังองค์พระ มีการเจาะอุโมงค์เข้าไปในหน้าผาเป็นถ้ำ เรียกว่า “ถ้ำมังกรบิน” ภายในมีรอยพระพุทธบาท และพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่.แอดได้ยินมาว่า เร็วๆ นี้ทางวัดจะมีการสร้างสกายวอล์กสำหรับชมทัศนียภาพรอบหน้าผาด้วย ซึ่งในช่วงเวลาที่มีการก่อสร้าง พื้นที่บริเวณนี้ก็จะปิดชั่วคราวนะคะ ต้องรีบไปชมกันแล้วล่ะ.ที่ตั้ง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี ร้านอาหาร Three of us .เป็นร้านอาหารเล็กๆ ตกแต่งสไตล์อิงลิช คอทเทจ ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวนอันร่มรื่น ใครเห็นเป็นต้องอยากถ่ายรูปเช็คอินก่อนเข้าร้านแน่นอน ร้านนี้มีที่นั่งให้เลือก 2 โซน ด้านในร้านจะให้อารมณ์เหมือนอยู่ในบ้านสไตล์อังกฤษ หรือถ้านั่งในสวนก็จะชิลๆ เก๋ๆ ไปอีกแบบ นอกจากบรรยากาศจะดีแล้ว อาหารของร้านนี้ก็น่าทานมากเช่นกันค่ะ ที่ร้านให้บริการอาหารไทย-ยุโรป ของหวาน และเครื่องดื่มหลากหลายเมนู.เมนูที่แอดสั่งมาได้แก่ ไก่อบ Three of us ซึ่งเป็นเมนู Signature ของร้าน เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ฟินมากกก ยำมะม่วงปลาทับทิมทอด รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ตามด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ ชื่นใจเลยจ้า.ที่ตั้ง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีโทร

เส้นทางท่องเที่ยวสุพรรณบุรี 2 วัน 1 คืน อ่านเพิ่มเติม

คำมี สตูดิโอ : KUMMEE STUDIO

คำมี KUMMEE STUDIO : Ceramics pottery ที่ตั้ง : 1 ม.11 ต.แม่คำมี อ.เมือง จ.แพร่เปิดวันวันพฤหัสบดี-จันทร์ เวลา 10.00-16.00 น. (ปิดวันอังคาร-พุธ)โทร.085 867 9358พิกัด : https://goo.gl/maps/j5XBU5YH3GDdr1V3A คำมี สตูดิโอ เป็นสถานที่ที่รวบรวมผลงานการปั้นเซรามิกหลากหลายรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ รูปร่างแปลกตาไม่เหมือนใคร และยังเป็นสตูดิโอสอนปั้นเซรามิกแห่งแรกของเมืองแพร่ ที่ให้คนทั่วไปได้มาเรียนรู้การปั้นดินและเพนท์งานเซรามิก ภายในคำมี เราจะเห็นเซรามิกรูปแบบต่างๆ ทั้งแก้ว ชาม จาน ตุ๊กตา เป็นต้น แบ่งเป็นโซนปั้นและโซนจำหน่ายเซรามิกสวยๆ ให้เราเลือกซื้อกลับบ้านได้ด้วย กิจกรรม Workshop สามารถเข้าไปทำกิจกรรมได้โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า ค่าบริการ– Workshop ปั้นดินดินดำ ก้อนละ 180 บาทดินขาว ก้อนละ 150 บาท – Workshop งานเพนท์มีภาชนะสำเร็จรูป เช่น แก้ว จาน ชาม ให้เลือกลงลาย ลงสี เพนท์เองได้ ราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท ราคารวมค่าเคลือบและเผาเรียบร้อยแล้ว นอกจากจะได้เรียนรู้การปั้นเซรามิกแล้ว ที่คำมียังมีโซนคาเฟ่ด้วยนะ ภายใต้คอนเซ็ปต์ปั้นดินกินพิซซ่า ที่ห้ามพลาดเลยก็คือ พิซซ่าโฮมเมดจากเตาร้อนๆ และเมนูเครื่องดื่มที่ต้องมาลอง ปั้นดินไปกินพิซซ่าไป เพลินสุดๆ เลยค่ะ พิซซ่ารสชาติอร่อยถูกใจทุกเพศทุกวัยเลยล่ะ แป้งหนานุ่ม มีให้เลือกหลายหน้า ไม่ว่าจะเป็นฮาวายเอี้ยน ผักโขมชีส ครีมเห็ดคาโบนาร่า ฯลฯ ราคาเริ่มต้นถาดละ 200 บาทเท่านั้น ใครอยากได้สองหน้าใน 1 ถาดก็สามารถสั่งได้ด้วยนะ ใครชอบชีสเยอะๆ ก็สั่งเพิ่มชีสได้ ดีงามไปอีก workshop เพนท์จาน เราสามารถวาดลายและลงสีได้เองเลยนะ บอกเลยว่าสนุกมากๆ หากใครอยากหาสถานที่ทำกิจกรรมแบบนี้ ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562

คำมี สตูดิโอ : KUMMEE STUDIO อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top