สถานที่ท่องเที่ยว

แอ่วเมืองแป้ ชม 7 อาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่

1. บ้านวงศ์บุรี บ้านวงศ์บุรี หรือ คุ้มวงศ์บุรี สร้างเมื่อ พ.ศ.2440 ตามดำริของแม่เจ้าบัวถา มหายศปัญญา ชายาองค์แรกในเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย เพื่อมอบให้เป็นของกำนัลในการเสกสมรสระหว่างเจ้าสุนันตา ธิดาพระยาบุรีรัตน์ (น้อยหนู มหายศปัญญา) บุตรีบุญธรรมของท่าน และหลวงพงษ์พิบูลย์ (เจ้าพรหม วงศ์พระถาง)  บ้านวงศ์บุรีมีลักษณะเป็นเรือนปั้นหยาแบบประยุกต์ทรงยุโรป ตกแต่งลวดลายฉลุตามส่วนต่างๆ ของบ้าน เช่นที่หน้าจั่ว ชายคา ระเบียง ช่องลม หน้าต่าง และประตู ที่ซุ้มประตูด้านหน้า (ด้านถนนคำลือ) ประดับปูนปั้นรูปแพะ เป็นตัวแทนของหลวงพงษ์พิบูลย์และแม่เจ้าสุนันตาซึ่งเกิดในปีแพะ ภายในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ของตระกูลที่ตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคน  พิกัด : https://goo.gl/maps/Es9iuqr8TT62 2. คุ้มเจ้าหลวง คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ เป็นที่ประทับของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมยุโรป หลังคามุงไม้แป้นเกล็ด มีมุขยื่นออกมาทางด้านหน้า หน้าจั่วและชายคาประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายงดงาม ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐถือปูน ไม่มีการลงเสาเข็ม แต่ใช้ท่อนซุงรองรับฐานเสาทั้งหลังแบบโบราณ อาคารสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร ใต้ถุนอาคารเคยใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันเรายังเห็นโครงสร้างต่างๆ ของที่คุมขัง และมีการเจาะพื้นสำหรับให้อาหารนักโทษอีกด้วย  พิกัด : https://goo.gl/maps/RLkRBTFZFRP2 3. บ้านวงศ์พระถาง บ้านวงศ์พระถางเป็นของเจ้าเสาร์ วงศ์พระถาง น้องชายของหลวงพงษ์พิบูลย์ (บุตรเขยของแม่เจ้าบัวถา มหายศปัญญา) เจ้าของบ้านวงศ์บุรี โดยสร้างตามแบบบ้านวงศ์บุรีแต่ดัดแปลงให้มีขนาดเล็กลง แล้วเสร็จในราว พ.ศ.2467 และเป็นบ้านเจ้านายหลังสุดท้ายในจังหวัดแพร่ที่สร้างแบบเรือนขนมปังขิง ปัจจุบันบ้านหลังนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลานและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี  พิกัด : https://goo.gl/maps/jj3ZjGj5VcR2 4. บ้านขัติยะวรา เป็นบ้านของเจ้าน้อยโข้ และเจ้าอ่อน ขัติยะวรา ผู้สืบเชื้อสายมาจากอดีตเจ้าผู้ครองนครแพร่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราว พ.ศ.2466 เป็นอาคารชั้นเดียวใต้ถุนสูง ลักษณะแบบเรือนขนมปังขิง ตกแต่งด้วยลายฉลุที่เชิงชาย หน้าจั่ว และกรอบประตูอย่างสวยงาม พิกัด : https://goo.gl/maps/kLh1L8JXdmN2 6. บ้านเจ้าหนานไชยวงศ์ พระยาบุรีรัตน์ (เจ้าน้อยหนู มหายศปัญญา) เป็นผู้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นราว พ.ศ.2450 เพื่อเป็นเรือนหอให้ธิดาของท่านคือ แม่เจ้าสุธรรมา กับพ่อเจ้าหนานไชยวงศ์ เป็นบ้านไม้โบราณฉลุลายแบบขนมปังขิง สันนิษฐานว่าใช้ช่างชุดเดียวกับบ้านวงศ์บุรี ตัวบ้านทาสีไข่ไก่ขลิบแดง ด้านในไม่ทาสีเพื่อให้เห็นเนื้อไม้ ที่พิเศษคือบ้านหลังนี้มีห้องน้ำอยู่ภายในตัวบ้านมาแต่เดิม ปัจจุบันยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของทายาท และมีโครงการจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ในอนาคต  พิกัด : https://goo.gl/maps/irhrXZvgEs52 7. คุ้มวิชัยราชา คุ้มวิชัยราชา หรือ คุ้มเจ้าโว้ง สร้างราว พ.ศ.2434-2438 โดยพระวิชัยราชา (เจ้าหนานขัติ แสนศิริพันธุ์) มีเรื่องเล่าว่าเมื่อคราวเกิดเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่ ท่านได้ให้การช่วยเหลือข้าราชการที่ถูกพวกเงี้ยวตามล่า โดยพาขึ้นไปหลบซ่อนบนเพดานคุ้มอยู่หลายวันจนปลอดภัย จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระวิชัยราชา” คุ้มวิชัยราชาเป็นเรือนไม้สัก 2 ชั้น หลังคาทรงมะนิลามุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ตัวบ้านทาสีครีมและเขียว มีการประดับส่วนต่างๆ ของบ้านด้วยลายฉลุงดงามอ่อนช้อย แบบเรือนขนมปังขิง หลังจากที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันบ้านหลังนี่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพดี พิกัด : https://goo.gl/maps/irhrXZvgEs52

แอ่วเมืองแป้ ชม 7 อาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่ อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวใกล้กรุง 2 วัน 1 คืน ที่ราชบุรี

“เที่ยวใกล้กรุง 2 วัน 1 คืน ที่ราชบุรี” วันแรก เริ่มต้นทริปกันแบบหิวๆ ยามเช้า กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดราชบุรีที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ “ตลาดน้ำดำเนินสะดวก” ที่มีความเก่าแก่กว่า 100 ปี  ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก เดินทางมาชม ชอป และชิมของอร่อย รวมทั้งซึมซับบรรยากาศของตลาดน้ำแห่งนี้ ถ้าใครอยากมาเที่ยว ขอแนะนำว่าให้มาช่วงเช้า เนื่องจากแดดไม่ร้อนและมีเรือขายสินค้าจำนวนมาก ที่นี่มีอาหารให้เลือกซื้อ เลือกชิมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กุยช่ายโบราณ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยจั๊บ ข้าวหมูแดง ต่อด้วยขนมไทยนานาชนิดก็มีให้ทาน ไม่ว่าจะเป็น ทองม้วน ทองหยิบ ทองหยอด ขนมเบื้อง ขนมถังแตก แล้วปิดท้ายด้วยผลไม้รสชาติอร่อย เช่น ส้มโอ มะม่วง กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม เป็นต้น ใครที่หิวๆ มา สามารถมาฝากท้องฝากพุงไว้ที่นี่ได้เลย นอกจากนี้ที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ยังมีบริการเรือนำเที่ยวพาชมสวน และการทำน้ำตาลสด ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เรือพาย ราคาลำละ 400 บาท เรือหางยาว ราคาคนละ 100 บาท สอบถามข้อมูลได้ที่ ท่าเรือยุวันดา โทร. 032 241 392, 086 668 9471, 089 161 0909 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 – 12.00 น. (ช่วง 08.00 – 11.00 น. จะมีของขายเยอะ) การเดินทางใช้ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านบางแค สวนสามพราน นครชัยศรี นครปฐม เลยกิโลเมตรที่ 83 ไปเล็กน้อยจะพบแยกบางแพ เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 325 ประมาณ 25 กิโลเมตร ข้ามสะพานธนะรัชต์ไปประมาณ 200 เมตร แล้วแยกขวาเข้าไปอีก 1 กิโลเมตรพิกัด : https://goo.gl/maps/iVJ2nWB6iiA2 ที่ต่อมา เราพามาเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมกันที่ “พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน” ตั้งอยู่ในวัดขนอน อำเภอโพธาราม เป็นอาคารเรือนไทย ภายในจัดแสดงหนังใหญ่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สวยงามจำนวน 313 ตัว โดยส่วนใหญ่เป็นตัวละครจากเรื่องรามเกียรติ์ พิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.30 น.นอกจากนี้ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00 น. จะมีการแสดงหนังใหญ่ ณ โรงละครหนังใหญ่ให้ชมฟรีด้วย  สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 089 555 4195, 032 234 834 เปลี่ยนแนวมาชมธรรมชาติกันบ้างกับ “อุทยานหินเขางู” เดิมที่นี่เป็นแหล่งระเบิดหินและย่อยหินที่สำคัญของประเทศไทย แต่หลังจากที่ได้มีการยกเลิกสัมปทานและปรับปรุงภูมิทัศน์ ก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของจังหวัดราชบุรีไปแล้ว มีจุดให้พักผ่อนหย่อนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น สะพานแขวนซึ่งเป็นไฮไลท์ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเก๋ๆ หรือจะออกกำลังกายน่องโดยการถีบเรือเป็ด กินลมชมวิวก็ชิลล์ไม่แพ้กัน บริเวณอุทยานหินเขางูยังเป็นที่ตั้งของถ้ำหลายแห่ง ที่สำคัญได้แก่ ถ้ำฤาษี ถ้ำฝาโถ ถ้ำจาม และถ้ำจีน ซึ่งแต่ละถ้ำมีภาพสลักหินที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยทวารวดี นับเป็นร่องรอยศิลปะทวารวดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง (ในภาพคือภายในถ้ำฤาษี ซึ่งมีพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท ปางแสดงธรรม ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง) อุทยานหินเขางู เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น.ไม่เสียค่าเข้าชม การเดินทางจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 3087 (ราชบุรี-จอมบึง-สวนผึ้ง) ห่างจากตัวเมืองราชบุรีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 8 กิโลเมตร เมื่อถึงสี่แยกให้เลี้ยวขวาจากนั้นขับไปประมาณ 1 กิโลเมตร อุทยานหินเขางูจะอยู่ทางซ้ายมือ หรือจากวัดหนองหอย ใช้ทางหลวงหมายเลข 3089 อุทยานหินเขางูจะอยู่ทางขวามือพิกัด https://goo.gl/maps/48ywbyKGNR62 คืนนี้นอนนี่นะ…”ไฮซีน รีสอร์ท” ที่พักบนเนินเขาท่ามกลางขุนเขากับวิวหลักล้าน มองเห็นทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา พักกายพักใจกันในคืนนี้ ชาร์จแบตกันให้เต็มที่ ก่อนที่จะไปลุยกันต่อในวันต่อไป  ที่ตั้ง : 250 หมู่ 2 ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี โทร. 084 343 7434พิกัด : https://goo.gl/maps/eJwUq5ovtZo  เช้าวันที่สอง แฮปปี้ดี๊ด๊ากันที่ “The Scenery Vintage Farm” สถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิตในอำเภอสวนผึ้ง รับรองว่าถูกอกถูกใจผู้ที่ชื่นชอบแกะเล็กแกะใหญ่แน่นอน มาได้ทั้งวัยรุ่น วัยเรียน หรือจะมาเป็นครอบครัวก็ยิ่งดี มีกิจกรรมให้ทำมากมายเลยล่ะ.เปิดวันพุธ-จันทร์ (ปิดวันอังคาร)– วันจันทร์ และวันพุธ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.00 น.– วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น..ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็กสูงไม่ถึง 120 ซม. 30 บาท.ที่ตั้ง : 234 หมู่ 7 ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีโทร. 098 263 1236พิกัด : https://goo.gl/maps/6CKfUtnCQDL2 ถ้าอยากเปลี่ยนอารมณ์จากการชมฟาร์มชมไร่ ให้อาหารแกะ มาทำอะไรสนุกๆ ตื่นเต้น ท้าทาย ที่เดอะ

เที่ยวใกล้กรุง 2 วัน 1 คืน ที่ราชบุรี อ่านเพิ่มเติม

วัดนิเวศธรรมประวัติ

วัดนิเวศธรรมประวัติ ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังบางปะอิน ถ้าขับรถยนต์ส่วนตัวไปสามารถจอดได้ที่ลานจอดรถเดียวกับพระราชวังบางปะอิน และจากนั้นก็นั่งกระเช้าข้ามที่วัด กระเช้าจะสามารถขึ้นได้แค่ไม่เกิน 10 คนเท่านั้น (แค่ 10 คนก็แอบหวิวๆแล้ว) ภายนอกของโบสถ์วัดนิเวศธรรมประวัติ ที่มาที่ไปเกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เมื่อ พ.ศ. 2421 แม้แต่ที่ประดิษฐานองค์พระประทานก็ทำเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ พระพุทธนฤมลธรรโมภาส และพระสาวก 

วัดนิเวศธรรมประวัติ อ่านเพิ่มเติม

หนีดำจากเมืองกรุง..มุ่งไปดำน้ำที่เมืองชล

หนีดำจากเมืองกรุง..มุ่งไปดำน้ำที่เมืองชล ช่วงนี้ ใครๆก็บ่นร้อน บ่นดำ เพราะแดดแรง! แอดมินเลยมีทริปหนีร้อน 2 วัน 1 คืน ที่เดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มานำเสนอ นั่นคือที่ “อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี” ใครสนใจก็ปักหมุด กดแชร์ วางแผนเที่ยวตามกันได้เลย!! อ.สัตหีบ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเหล่าราชนาวีไทย ไม่ว่าจะเป็น เกาะขาม หาดน้ำใส เกาะแสมสาร ฯลฯ ต่างพร้อมใจต้อนรับนักเดินทาง ให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ ดำน้ำทักทายฝูงปลา ชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศใต้โลกสีคราม ดินแดนแห่งนี้ยังเปี่ยมล้นเรื่องราวน่าประทับใจ และอีกหลากหลาย แง่มุมน่าค้นหา… มีเวลาวันหยุดพักผ่อนเมื่อไหร่ อย่าลืมชวน แก๊งเพื่อนสนิทมาเริงร่าท้าฟองคลื่น ซึมซับวิถีชีวิตเรียบง่าย ของผู้คนในชุมชนชาวประมงเก่าแก่ ลิ้มรสบรรดากุ้ง ปู เนื้อสดหวาน ฯลฯ คอนเฟิร์มทริปนี้คุ้มค่า หรรษาตลอดการเดินทางแน่นอน Day 107.30 น. เตรียมชุดตัวเอง แว่นกันแดดสวยๆ หยิบกล้องประจำตัว ออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯ 09.00 – 10.00 น. Surf & Turf Beach Club & Restaurant ร้านบรรยากาศสุดชิลนั่งเพลินริมทะเล ทานอาหารรสชาติอร่อย หลากหลายแบบ ฟังเสียงคลื่นทะเล มีมุมให้เลือกนั่งหลายมุม และมีความเป็นส่วนตัวผ่อนคลายสุดๆ เปิด: ทุกวัน 09.00-23.00 นโทร.091 758 3895 10.30 – 11.30 น. ทานอาหารจนอิ่มแล้ว ก็ไปเที่ยวต่อที่ “เขาพระตำหนัก” ซึ่งสามารถชื่นชมทัศนียภาพเวิ้งอ่าวพัทยาสวยเต็มตาแล้ว ยังสามารถแวะสักการะ อนุสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บิดาแห่งกองทัพเรือไทยขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลได้อีกด้วย  12.00-13.30 น. เมื่อถึงเวลาเที่ยง ก็แวะร้าน “The Glass House The Glass House” ร้านอาหารริมทะเลบรรยากาศสุดชิลล์ ตัวร้านเป็นเรือนกระจกใสที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เหมาะกับการนั่งรับประทานอาหารพร้อมชมวิวทะเลไปด้วย หรือใครที่อยากรับลมเย็นๆ ก็สามารถนั่งโซนด้านนอกที่เป็นหาดทรายเนียน สำหรับอาหารของที่นี่มีหลากหลาย ให้เลือกทาน  เปิดบริการ : ทุกวัน เวลา 11.00 – 23.59 น.โทรศัพท์ : 038 255 922, 081 266 6110 14.30 -17.30 น. หนังท้องตึง ก็ไปเที่ยวต่อกันที่ “หาดทรายแก้ว” เป็นหาดที่สวยงาม อยู่ในความดูแลของหหารเรืออยู่ใกล้โรงเรียนชุมพลทหารเรือ เป็นหาดทรายขาวละเอียด และสวยงามมาก มีน้ำทะเลใส เหมาะแก่การดำน้ำและพักผ่อนหย่อนใจ หรือใครอยากเล่นห่วงยาง พายเรือคายัค ฯลฯ ก็พร้อมบริการอย่างครบครัน และบริเวณนี้ ห้ามก่อไฟ ห้ามประกอบอาหาร ห้ามเล่นการพนัน ห้ามส่งเสียงดังรบกวน หากฝ่าฝืนปรับ 1,000 บาทเชียวนะ 18.00-19.00 น. เที่ยวมาทั้งวันแล้ว ทานอาหารเย็นกันที่ “ร้านอาหารบ้านเพื่อนทะเล” ซึ่งตัวร้านยื่นออกไปในทะเลบรรยากาศชิลล์ๆ สามารถรับลมทะเลได้อย่างเต็มที่ พร้อมอร่อยกับอาหารทะเลสดๆ ที่ขนมาเสิร์ฟหลากหลายเมนู  เปิดบริการ : ทุกวัน เวลา 10.00 – 23.00 น.โทรศัพท์ : 09-9623-5693 19.15 น. เข้าพักที่ บ้านสัตหีบ ที่พักสัตหีบบรรยากาศดี สีขาวทำให้เข้ากับบรรยากาศทะเล มีที่พักให้เลือกสองกลุ่ม คือ ‘ลมทะเล’ ที่สามารถเห็นบรรยากาศทะเลสัตหีบได้แบบ 180 องศา และ ‘ลมบก’ ที่พักราคาย่อมเยา แต่ใช้ห้องน้ำรวมและเห็นวิวทะเลสวยๆเช่นกัน โดยห้องน้ำและสุขาแยกออกจากเพื่อความสะดวกของผู้เข้าพัก  ติดต่อที่พักสัตหีบ : 089 929 7807 หรือ 038 439 304 Day 207.00-08.00 น. ทานมื้อเช้าเช็คเอาท์ออกจากที่พัก 08.30-14.00 น. เช้านี้รับประทานอาหารให้อิ่มท้อง เช็คเอาท์แล้วแตะคันเร่งไปจับจองตั๋วเรือรอบ 9 หรือ 10 โมง ที่ท่าเทียบเรือหมาจอ เพื่อมุ่งหน้าสู่ “อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม” เกาะสวรรค์สำหรับนักเดินทาง ซึ่งถูกจัดให้เป็นพื้นที่แห่งการอนุรักษ์ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเล บริเวณอ่าวฝั่งทิศเหนือ เหมาะแก่การเปลือยเท้าเปล่าสัมผัสผืนทรายเนียนละเอียด สูดอากาศ บริสุทธิ์ลงเล่นน้ำ สนุกสนานกับการพายคายัค  ส่วนทิศใต้นั้น แม้เต็มไปด้วย ทรายหยาบและโขดหิน ทว่าก็มีมุมสวยๆ บนสะพานไม้ให้กดชัตเตอร์ ถ่ายรูปจนหนำใจที่สำคัญมาแล้วห้ามพลาด สวมชูชีพใส่สน็อกเกิ้ล ตื่นตา กับความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการังเขากวาง ปะการังโต๊ะ ปะการังสมอง ดอกไม้ทะเล หยิบกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ ตามบันทึกความน่ารักของ ฝูงปลาผีเสื้อ เจ้าสลิดหิน ปลาอมไข่ หอยมือเสือ ฯลฯ  แต่ถ้าใครไม่สันทัด การดำน้ำ คุณก็สามารถใช้บริการเรือท้องกระจก เพลิดเพลินกับความ สวยงามได้เช่นกัน 14.00 – 14.45 น. นั่งเรือกลับ 15.30 – 17.00 น. ทานอาหารเย็นก่อนกลับที่ ร้าน “ลุงไสว ซีฟู้ด” ร้านอาหารบนหาดจอมเทียน บรรยากาศดีริมชายหาด มองเห็นทะเลสวยๆ ระหว่างรับประทานอาหาร ที่นี่มีอาหารทะเลสดใหม่คอยบริการ และมีให้เลือกหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นกุ้งอบวุ้นเส้น หมึกผัดไข่เค็ม กรรเชียงปูนึ่ง แกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว

หนีดำจากเมืองกรุง..มุ่งไปดำน้ำที่เมืองชล อ่านเพิ่มเติม

สืบสาวราวเรื่องเมืองราชบุรี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี อยู่ริมถนนวรเดช ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี เดิมเป็นศาลากลางจังหวัดราชบุรี สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกสวยงาม  ภายในอาคารจัดแสดงเรื่องราวเมืองราชบุรีในด้านธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ร่องรอยอารยธรรม และความหลากหลายชาติพันธุ์และกลุ่มชนที่สุดแห่งหนึ่ง เช่น ลาวโซ่งกะเหรี่ยง และไทย-ยวน รวมทั้งงานหัตถกรรมศิลปะพื้นบ้าน เช่น เครื่องปั้นดินเผาเครื่องหล่อ ผ้าทอ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี จัดแสดงเป็นห้องในช่วงยุคสมัยต่าง ๆ ประกอบด้วย  ห้องที่ 1 ธรณีวิทยา แหล่งกำเนิดทรัพยากรธรรมชาติประเภทดิน หิน แร่ และตัวอย่างของซากดึกดำบรรพ์ หิน แร่ อัญมณี จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีกำเนิด ในจังหวัดราชบุรี และรูปจำลองภูมิประเทศของจังหวัดราชบุรี ห้องที่ 2 ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จัดแสดงร่องรอยหลักฐานของมนุษย์ในยุคแรก ๆ ที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยในจังหวัดราชบุรี โดยโบราณวัตถุที่พบในจังหวัด เช่น เครื่องมือหิน ภาชนะดินเผา เครื่องประดับจากหินสี และโลหะ และโครงกระดูกมนุษย์  ห้องที่ 3 สมัยทวารวดี ร่องรอยวัฒนธรรมทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-15 เมืองโบราณคูบัว และทิวเขางู ห้องที่ 4 สมัยลพบุรี พบหลักฐานศิลปวัฒนธรรมเขมร ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-19 หลักฐานทางด้านโบราณคดี เช่น พระปรางค์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองโบราณโกสินารายณ์ ในท้องที่อำเภอบ้านโป่ง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เปล่งรัศมี เป็นโบราณวัตถุที่โดดเด่นของพิพิธภัณฑ์ พบที่บริเวณจอมปราสาท เมืองโบราณโกสินารายณ์ อันเป็นจำนวน 1 ใน 5 องค์ ซึ่งพบในดินแดนประเทศไทย  ห้องที่ 5 สมัยอยุธยา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18-24 ชื่อเมืองราชบุรีมีปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หลักที่ 1 เป็นเมืองท่าสำคัญด้านตะวันตก และเมืองหน้าด่านปราการชั้นในของกรุงศรีอยุธยา เป็นสมรภูมิรบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในห้องนี้จัดทำฉากจำลองโบราณวัตถุประเภทเครื่องปั้นดินเผาชนิดต่าง ๆ ที่จมอยู่ใต้ลำน้ำแม่กลอง ห้องที่ 6 สมัยรัตนโกสินทร์ เรื่องราวในช่วง พ.ศ. 2325-2485 แสดงถึงความสำคัญของเมืองราชบุรีซึ่งเกี่ยวข้องกับพระบรมราชจักรีวงศ์ในด้านต่างๆ เช่น การเมือง การปกครอง สังคมเศรษฐกิจ การพัฒนาท้องถิ่น และกิจการเสือป่า และมีพระแสงราชศาสตราประจำมณฑลราชบุรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์แก่ราษฎรจังหวัดราชบุรี และภาพถ่ายเก่าจังหวัดราชบุรีสมัยรัชกาลที่ 5-6  ห้องที่ 7 ราชบุรีในวันนี้ จัดแสดงสภาพในปัจจุบันของจังหวัดราชบุรี ทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ประชากร การประกอบอาชีพ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ทั้งทางด้านวัฒนธรรม และธรรมชาติ งานศิลปหัตถกรรมพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของจังหวัดราชบุรี  ห้องที่ 8 วัฒนธรรมพื้นบ้าน จัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต และสิ่งของเครื่องใช้ที่สำคัญของชนกลุ่มต่างๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยในจังหวัดราชบุรี โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายลาวโซ่ง ชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และชาวไทยเชื้อสายไทยวน โดยนำลักษณะเด่นทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชนมาจัดแสดง ได้แก่ ภาพถ่ายสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ในพิธี เซ่น ผีเฮือนของชาวไทยเชื้อสายลาวโซ่ง หุ่นจำลองบ้านเรือนพักอาศัยของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง เครื่องมือเครื่องใช้ ผ้าซิ่นตีนจก ลวดลายต่างๆ ทอมาแต่โบราณของชาวไทยเชื้อสายไทยวน ห้องที่ 9 จัดแสดงผลิตภัณฑ์และกรรมวิธีการผลิตโอ่งมังกร ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สัญลักษณ์สำคัญ และเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของเมืองราชบุรีมาจนถึงปัจจุบัน  ห้องที่ 10 จัดแสดงเรื่องราวของนักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้จังหวัดราชบุรีและประเทศไทย ในการแข่งขันกีฬาประเภทและระดับต่าง ๆ โดยสื่อในการจัดแสดงเป็นรางวัลที่นักกีฬาได้รับ เช่น โล่และถ้วยเกียรติยศ เหรียญรางวัล และธงกีฬา รวมทั้งภาพถ่ายกิจกรรมการกีฬาและนักกีฬาที่มีชื่อเสียง พิพิธภัณฑ์ฯ เปิดให้บริการวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. (ปิดวันจันทร์-วันอังคาร) ค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท เด็กไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 30 บาท  สอบถามข้อมูล โทร. 032 321 513, 032 338 964

สืบสาวราวเรื่องเมืองราชบุรี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี อ่านเพิ่มเติม

เก็บสตางค์แล้วไปสตูล

เก็บสตางค์แล้วไปสตูล…ทะเลแหวก สันหลังมังกร จังหวัดสตูล การเดินทางมาเที่ยวสันหลังมังกรนี้ จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและระดับขึ้น-ลงของน้ำทะเล แนะนำให้โทรเช็คกับทางชุมชนก่อนเดินทางจะดีกว่าค่ะ แต่เท่าที่สอบถามกับไกด์แจ้งว่าน้ำทะเลจะลดระดับวันละ 2 รอบ นั่นก็คือ ช่วงเช้าและช่วงเย็น แต่ช่วงเวลาอาจจะต่างกันในแต่ละวัน ส่วนกลุ่มเราเลือกที่จะมาช่วงเย็นกันค่ะ เพราะจะได้เห็นแสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ อีกอย่างคือไม่ร้อนด้วยค่ะ แหะๆ  เรือพร้อมแล้ว ไปกันเลยค่ะ! ลืมบอกไปว่า เดินทางรอบนี้ไม่ได้ไปที่สันหลังมังกรที่เดียวนะคะ ยังมีจุดให้แวะจอดเที่ยวด้วยค่ะ อย่างที่นี่คือ หาดหินเหล็ก มองไกลๆ คล้ายโขดหินธรรมดา แต่เข้าไปดูใกล้ๆแล้วมันคือเหล็กจริงๆ ค่ะ ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินชมมาก ไม่งั้นจะโดนบาดได้ค่ะ  นอกจากหาดหินเหล็กแล้ว เกาะนี้ยังมีจุดชมวิว ที่เรียกว่า ผานางคอย เดินขึ้นเนินเขามา ก็พอเรียกเหงื่อได้นิดหน่อยมองเห็นบรรยากาศรอบๆได้ 360 องศาเลยค่ะ จากนั้นไกด์ก็พาเรามุ่งหน้าไปที่สันหลังมังกรกันค่ะ เวลาที่เราไปช่วงนั้นก็ประมาณ 5 โมงเย็น น้ำทะเลลดระดับ สันหลังมังกรโผล่พ้นน้ำมาแล้ว ยิ่งเจอแสงแดดอ่อนๆ กระทบกับเปลือกหอย ทำให้ยิ่งดูเหมือนเกล็ดมังกร และช่วงที่เราไปถึงมีแต่กลุ่มพวกเราเอง ไม่มีคนอื่นเลย เหมือนเป็นชายหาดส่วนตัวของพวกเราเลยค่ะ บรรยากาศดีมากๆ นั่งถ่ายภาพ กินลม ชมบรรยากาศกันซักพักนึง ก่อนกลับ ปิดท้ายด้วยภาพมุมสูง แบบกรุ๊ปช็อต ดูแล้วมันสตรองมากค่ะ เห็นส่วนหางของสันหลังมังกรได้ไกลเลย…. พอได้เวลาอันสมควร ใกล้มืดแล้ว ก็นั่งเรือกลับท่าเรือบากันเคย เป็นอันจบทริปสั้นๆ….. โปรดติดตามตอนต่อไป ว่าเราจะพาไปที่ไหนนะคะ

เก็บสตางค์แล้วไปสตูล อ่านเพิ่มเติม

นครสวรรค์ in heaven … กราบไหว้องค์พระ สักการะเทพเจ้า

นครสวรรค์ หรือเมืองปากน้ำโพ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งวิถีชีวิตชาวไทย และพี่น้องเชื้อสายจีน ดังจะเห็นได้จากประเพณีแห่เจ้าที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัด เริ่มต้นสายบุญกันที่ “วัดคีรีวงศ์” ด้วยพื้นที่กว่า 280 ไร่ ตั้งอยู่บนเขาดาวดึงส์ อำเภอเมือง โดดเด่นด้วยพระจุฬามหาเจดีย์สีทองอร่าม ภายในฐานพระเจดีย์ชั้น 4 มีพระพุทธรูปจำลองที่สำคัญของไทยไว้ให้สักการะบูชา ทั้งพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต) พระพุทธชินราชจำลอง พระพุทธโสธรจำลอง และพระพุทธรูปหล่อหลวงพ่อวัดไร่ขิง จากจุดดังกล่าวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองนครสวรรค์ได้ในระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นเขากบ บึงบอระเพ็ด ตลาดปากน้ำโพ อุทยานสวรรค์ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม้แต่ภูเขาน้อยใหญ่ทางทิศตะวันตกที่ทอดตัวตระหง่าน ยิ่งยามเย็นเมื่อตะวันลับเหลี่ยมยอดเขาหลวง ทำให้รู้สึกว่าสวรรค์นั้นอยู่ไม่ไกล วัดศรีอุทุมพร หรือ วัดวังเดื่อ อยู่ที่ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง เป็นวัดที่ชาวนครสวรรค์ให้ความเคารพศรัทธา โดยเฉพาะหลวงพ่อจ้อย จนฺทสุวณฺโณ อดีดเจ้าอาวาส ผู้ได้รับสมญานามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเมืองปากน้ำโพ เนื่องจากเป็นพระนักพัฒนาผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ภายในวัดตกแต่งด้วยศิลปกรรมปูนปั้นที่อ่อนช้อยสวยงาม เป็นรูปช้างสามเศียร พญานาค และพญายักษ์อยู่ระหว่างประตูทางเข้า ภายในพระอุโบสถประดิษฐานองค์หลวงพ่อพระประธานและพระสรีรสังขารของหลวงพ่อจ้อยที่ไม่เน่าเปื่อยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สักการบูชา พระพุทธชินสีห์ วัดศรีอุทุมพร วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ หรือวัดพระพี่นาง เป็นวัดในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งอยู่ที่ตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก โดดเด่นด้วยเจดีย์ศรีพุทธคยาอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยจำลองแบบสถาปัตยกรรมและงานพุทธศิลป์มาจากเจดีย์พุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย และสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่แฝงแนวความคิดไว้ด้วยปริศนาธรรม และธรรมคติให้เป็นแหล่งเรียนรู้แก่เยาวชนและสาธุชนทั้งหลาย  เจดีย์ศรีพุทธคยา เฉลิมพระเกียรติ ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์- เจ้าแม่ทับทิม หรือศาลเจ้าพ่อแควใหญ่ ถือเป็นศูนย์รวมศรัทธาไทย-จีน ที่สร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน และเป็นต้นกำเนิดของงานประเพณีแห่เจ้าที่เลื่องชื่อของชาวปากน้ำโพ ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามตลาดปากน้ำโพ เป็นอาคารตึกครึ่งไม้สีแดงรูปทรงมีลักษณะเป็นเก๋งจีน หลังคาประดับด้วยมังกรคู่ชูลูกแก้วปลายสันหลังคาที่ทอดยาวลงมาสร้างเป็นหัวมังกร ภายในประดิษฐานองค์เทพเจ้าปึงเถ่ากง ด้านขวาเป็นเทพเจ้ากวนอู ด้านซ้ายประดิษฐานเจ้าแม่ทับทิม ชาวนครสวรรค์มักแวะเวียนมากราบไหว้ขอพรบารมีจากเจ้าแม่ให้คุ้มครอง และขอให้มีโชคลาภตลอดทั้งปี เทพเจ้ากวนอู ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์- เจ้าแม่ทับทิม ปิดท้ายการทำบุญไหว้พระด้วยการถ่ายภาพร่วมกับรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ ทอดตัวยาวตัดกับท้องฟ้าสีสดดูน่าเกรงขาม สัญลักษณ์แห่งเมืองนครสวรรค์ที่สวนสาธารณะ “หนองสมบุญ” หรือที่รู้จักกันในนาม “อุทยานสวรรค์” เพื่อเป็นสิ่งให้ระลึกนึกถึง ว่าครั้งหนึ่งเคยได้แวะมาเมืองแห่งสวรรค์แห่งนี้ … “นครสวรรค์”

นครสวรรค์ in heaven … กราบไหว้องค์พระ สักการะเทพเจ้า อ่านเพิ่มเติม

10 สถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตก สุดแจ่ม!

1.หาดทรายรี เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เกาะสวรรค์สำหรับนักดำน้ำ ไม่ต้องพูดถึงน้ำทะเลและปะการัง เพราะสวยงามมากมายเคยติดอันดับโลกมาแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างคือการรอชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลบริเวณหาดทรายรี วันไหนฟ้าเปิด เมฆน้อยๆรับรองจะได้เห็นไข่แดงกลมโตตกกลางทะเลให้ได้ถ่ายภาพสวยๆกันอย่างแน่นอน ช่วงเวลาที่น่าเที่ยวเกาะเต่าตั้งแต่เมษายน-ตุลาคมของทุกๆปี 2.สะพานแขวนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จ.ตาก ถือว่าเป็นจุดชมวิวริมแม่น้ำปิงที่สวยงามที่สุดของ จ.ตาก เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก บริเวณโดยรอบสะพานยังมีสวนเฉลิมพระเกียรติ มีทั้งสวนสุขภาพ สนามกีฬาหลากหลายชนิดทอดขนานไปกับลำน้ำปิง รวมทั้งอาคารกิตติคุณสำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ในปัจจุบันสะพานแขวนและสวนเฉลิมพระเกียรติฯ แห่งนี้คือสถานที่ที่จังหวัดตากใช้จัดงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง ซึ่งเป็นงานประเพณีประจำท้องถิ่นของจังหวัดตากที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร 3.ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ บรรยากาศยามเย็นที่นี่ดูดีไม่น้อย ชมวิถีชีวิตของชาวนครสวรรค์ริมสายน้ำแหล่งต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา นั่งกินลมชมวิวหรือรับประทานอาหารเย็นอร่อยๆกับร้านอาหารริมแม่น้ำหลากหลายร้าน 4 ชั่วโมงจากรุงเทพฯ ว่างๆลองมาสัมผัสสักครั้งไม่ผิดหวังแน่นอน 4.อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เมืองเก่าโบราณของประเทศไทย จะนั่งรถราง หรือปั่นจักรยานชมรอบๆอุทยานฯก็ได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตก บรรยากาศช่างสวยงามน่าหลงใหล ยิ่งถ้าเจอมุมดีๆ รับรองได้ภาพสวยๆไปอวดเพื่อนๆในโซเชี่ยลอย่างแน่นอน 5.อ่างเก็บน้ำห้วยเสนง จ.สุรินทร์ ใครว่าอีสานแห้งแล้ง ปัจจุบันบ่แม่นแล้วเด้ออ โดยเฉพาะเมืองสุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย หนึ่งในนั้นคืออ่างเก็บน้ำห้วยเสนง แนะนำมาตอนเช้าๆ รอชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนืออ่างเก็บน้ำอันกว้างใหญ่ วันไหนท้องฟ้าสดใส อากาศเป็นใจ จะได้เจอพระอาทิตย์ดวงโตๆ แสงสะท้อนน้ำสีทองอร่าม รับรองว่าได้กดซัตเตอร์กันแบบรัวๆเลยแหล่ะ 6.ริมแม่น้ำโขง อ.เชียงคาน จ.เลย บรรยากาศยามเย็นที่นี่บอกเลยว่า ฟิน!! สองฝั่งโขงไทย-ลาว เทือกเขาสุดสายตา หลังพระอาทิตย์ตกเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนโปรดปราน เดินเล่น ถ่ายรูป เสร็จแล้วไปหาของกินอร่อยๆที่ถนนคนเดินเชียงคาน โดยเฉพาะช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จะคึกคักเป็นพิเศษ พี่พัก ร้านอาหาร ริมฝั่งโขง เก๋ๆเพียบ หน้าร้อนมานอนรับลมเล่นริมโขงสักวันวองวัน ก็ไม่เลวทีเดียว 7.สถานตากอากาศบางปู จ.สุทรปราการ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมใกล้กรุงเทพฯ ใครๆก็มาดูนกนางนวลที่นี่โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ของทุกๆปี นกนางนวลจะบินอพยบหนีหนาวมาจำนวนมาก ช่วงเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกหลายคนตั้งตารอชมแสงสีทองสะท้อนน้ำทะเล พระอาทิตย์ดวงกลมโต พร้อมกับฝูงนกนางนวลโบยบินกลับรัง ชมวิวเสร็จสามารถไปทานอาหารเย็นต่อได้ที่ร้านอาหารศาลาสุขใจ นั่งทานข้าวชมวิวเพลินๆ แล้วถ้าอยากนอนค้างสักคืนต่อ ปัจจุบันมีรีสอร์ทเปิดบริการแล้วหลายที่บริเวณใกล้เคียงสถานตากอากาศบางปู 8.อ่าวประจวบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แสงเช้าที่อ่าวประจวบ..ใครตื่นเช้าออกมารับลมทะเลเย็นๆรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน ช่วงนี้หน้าร้อนท้องฟ้าเปิด ยามเช้านี่แหล่ะตอบโจทย์ที่สุด บรรยากาศสวย อากาศไม่ร้อนมาก สายๆไปเล่นน้ำทะเลที่อ่าวมะนาว บริเวณอ่าวประจวบมีที่พัก ร้านอาหาร พร้อมบริการเพียบ 4 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ น่าสนใจมากๆกับอีกหนึ่งตัวเลือกการท่องเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ 9.หนองทะเล จ.กระบี่ หนองทะเล เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ไม่ไกลจากอ่าวนางมากนัก เป็นที่เที่ยวใหม่สำหรับนักถ่ายภาพเลยก็ว่าได้ ลักษณะเป็นหนองน้ำ มีภูเขาหินปูนล้อมรอบ ดวงอาทิตย์ขึ้นจากด้านหลังแนวเทือกเขา เมื่อแสงอาทิตย์พ้นแนวภูเขากระทบกับหมอกและน้ำอันสงบนิ่งยามเช้าสวยงามมากๆ เพราะฉะนั้นต้องไปสัมผัสด้วยตาสักครั้งนึงในชีวิต 10.สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.พัทลุง รู้หรือไม่..สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.พัทลุง เป็นสะพานที่ยาวที่สุดของประเทศไทยตอนนี้ ตัวสะพานนี้ทอดยาวบนทะเลน้อย เชื่อมระหว่างอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ทำให้ทัศนียภาพโดยรอบเป็นเวิ้งน้ำกว้างไกล สามารถเห็นทะเลบัวแดงในช่วงเช้า ในช่วงสายก็จะพบกับเหล่าควายน้ำ นกน้ำ ออกมาหากิน และไฮไลท์คือช่วงเย็นเส้นทางนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นจุดถ่ายภาพพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้

10 สถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตก สุดแจ่ม! อ่านเพิ่มเติม

หนีร้อน มาพึ่งเย็นที่ท่าปอมคลองสองน้ำ จังหวัดกระบี่

หนีร้อน มาพึ่งเย็นที่ท่าปอมคลองสองน้ำ ท่าปอมคลองสองน้ำ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ระยะทางห่างจากตัวเมืองกระบี่ประมาณ 24 กิโลเมตรท่าปอมคลองสองน้ำถือเป็นป่าพรุที่มีความอุดมสมบูรณ์และร่มรื่นมาก น้ำที่นี่ใสกริ๊ก แต่ที่เห็นเป็นสีเขียวอ่อนๆ เพราะมีสารละลายหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนต และกำมะถันปนอยู่ บางช่วงเวลาจะมีน้ำทะเลหนุนเข้ามารวมกับน้ำจืดในคลองท่าปอม และเกิดเป็นน้ำกร่อย จึงเป็นที่มาของชื่อ ท่าปอมคลองสองน้ำ รากไม้ที่แตกแขนงคดเคี้ยวไปมา ดูแปลกตาแต่ก็สวยงามไปอีกแบบ นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ต้องเสียค่าบริการคนละ 20 บาท จุดเล่นน้ำมีจุดเดียว อยู่ใกล้กับจุดเสียค่าบริการ บอกเลยว่าน้ำเย็นเจี๊ยบ จนอยากจะนอนแช่ไปทั้งวัน แต่ๆๆ ที่นี่เขามีกฎในการลงเล่นน้ำ ห้ามน้ำอาหาร เครื่องดื่ม สบู่ ยาสระผมเข้าไป ห้ามกระโดดเล่นน้ำเสียงดัง ขอความร่วมมือทุกคนควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยนะ จุดอื่นๆถึงจะลงเล่นน้ำไม่ได้ แต่ก็สามารถนั่งชิวเอาเท้าจุ่มน้ำ ถ่ายรูปเล่นได้ตามอัธยาศัย มีทางเดินเป็นสะพานยกระดับโดยรอบ และยังเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติอีกด้วย

หนีร้อน มาพึ่งเย็นที่ท่าปอมคลองสองน้ำ จังหวัดกระบี่ อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top