สถานที่ท่องเที่ยว

มหัศจรรย์ธรรมชาติ “กุ้งเดินขบวน” ณ แก่งลำดวน

เกร็ดความรู้: กุ้งที่พบในบริเวณแก่งลำดวนมี 3 ชนิด ได้แก่ กุ้งฝอยหรือกุ้งนา กุ้งชฎา และกุ้งก้ามขน จากการวิจัยพบว่ากุ้งที่มาเดินขบวนที่แก่งลำดวนนั้นคือ “กุ้งก้ามขน” ค่ะ กุ้งมาเดินขบวนทำไม? คำถามนี้แอดคิดว่าเพื่อนๆ หลายคนคงต้องสงสัยเหมือนแอดแน่ๆ และคำตอบก็คือในช่วงน้ำหลาก บริเวณแก่งลำดวนจะมีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวมากค่ะ ด้วยเหตุนี้เหล่าบรรดากุ้งก้ามขนจึงพร้อมใจกันขึ้นมาเดินทวนกระแสน้ำบนลานหิน เพื่อหลบหลีกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวค่ะ กุ้งจะเดินไปไหน? เหล่าบรรดากุ้งจะมุ่งหน้าเดินไปยังพื้นที่ต้นน้ำลำโดมใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ณ เทือกเขาพนมดงรัก ระหว่างทางต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ค่ะ กุ้งเดินขบวนในช่วงใด? ปรากฏการณ์กุ้งเดินขบวนจะเกิดขึ้นในตอนกลางคืนช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปีค่ะ ส่วนจะขึ้นมาเดินมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยทางธรรมชาติ ฤดูกาล และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในบริเวณต้นน้ำลำโดมใหญ่ค่ะ ถ้าปีไหนฝนตกน้อย และน้ำไม่เชี่ยวมากนัก เราก็จะไม่ค่อยเห็นกุ้งขึ้นมาเดินขบวนค่ะ

มหัศจรรย์ธรรมชาติ “กุ้งเดินขบวน” ณ แก่งลำดวน อ่านเพิ่มเติม

เลาะกาฬสินธุ์โลด…ฟินอีหลีเด้อ

เลาะกาฬสินธุ์โลด…ฟินอีหลีเด้อ ตลาดทุ่งนาทอง ไปเที่ยวต่างจังหวัดทั้งที อย่ามัวแต่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงค่ะ ตื่นเช้าออกไปสัมผัสชีวิตของผู้คนบ้างดีกว่า ไปดูว่าเขาทำอะไรและทานอะไรกันบ้างในตอนเช้า  อย่างที่กาฬสินธุ์ก็มีตลาดทุ่งนาทอง เป็นตลาดเช้าที่เปิดขายกันตั้งแต่ 02.00-13.00 น. อาหารที่ขายส่วนใหญ่ก็เหมือนกับตลาดเช้าทั่วๆ ไปของจังหวัดอื่น ไม่ว่าจะเป็นโจ๊ก ปาท่องโก๋ หมูปิ้ง และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย แต่ความพิเศษของตลาดเช้าที่กาฬสินธุ์นั้นก็คือ มีส้มตำขายกันตั้งแต่หกโมงเช้าเลยค่ะ เรียกได้ว่าคนที่นี่ทานส้มตำกันเป็นอาหารเช้าเลยก็ว่าได้ ว่าแล้วแอดก็อดใจไม่ไหว ต้องขอลองชิมสักหน่อย นอกจากส้มตำแล้ว ที่นี่ยังมีไก่ย่างและปลาเผาอีกด้วย ในส่วนของรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งแซ่บทั้งนัวสุดๆ แอดเชื่อว่าถ้าเพื่อนๆ ได้ลองทานแล้วจะต้องร้องว้าวเลยล่ะ  สวนปันบุญ ออร์แกนิคฟาร์ม เป็นศูนย์การเรียนรู้เชิงเกษตรอินทรีย์ ที่สามารถเข้าไปดูได้ทั้งวิธีการปลูกผัก ปลูกข้าว และเลี้ยงไก่ ผักของที่นี่ปลูกตามฤดูกาล อย่างช่วงหน้าฝนแบบนี้ ผักส่วนใหญ่จะเป็นผักชี ต้นหอม ผักกวางตุ้ง ขึ้นฉ่าย ผักบุ้ง สลัดคอส กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เรียกได้ว่ามีผักสดๆ ทานตลอดทั้งปีอย่างแน่นอน ส่วนข้าวที่ปลูก จะเป็นข้าวแดง มะลินิลสุรินทร์ แอดลองชิมแล้ว ทั้งหอม นุ่ม และอร่อยสุดๆ และสุดท้าย ไก่ไข่ของที่สวนปันบุญใหญ่เป็นพิเศษ เพราะเลี้ยงไก่อย่างดี ทำให้ไก่อารมณ์ดีและออกไข่ใบโต ใครที่สนใจอยากจะเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ สามารถมาที่สวนปันบุญได้เลยค่ะ ที่นี่จะให้ความรู้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมดิน การทำปุ๋ยหมักจากใบไม้ และการทำจุลินทรีย์คืนความสาวให้ผักสดกรอบ ในครั้งนี้ แอดได้มีโอกาสลงมือทำกิจกรรม DIY เกี่ยวกับการทำตุ๊กตาไดโนเสาร์ และพวงกุญแจด้วย บอกเลยว่าทั้งสนุกและได้ความรู้มากมายเลยค่ะ  สำหรับแอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสใช้จักรเย็บผ้า วินาทีที่เท้าสัมผัสแป้นเหยียบที่ใช้ควบคุมการเย็บนั้น แอดทั้งตื่นเต้นและกังวลมากเลยค่ะ เพราะกลัวว่าจะทำของเค้าพัง  ตุ๊กตาที่แอดเย็บเองก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย (ฝีมือก็ใช้ได้อยู่นะ) หลังจากทำกิจกรรม DIY เสร็จ เราก็เดินชอปปิงกันต่อเลย ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจของฝากน่ารักๆ และราคาถูก แอดแนะนำที่นี่เลย เพราะจะได้ซื้อสินค้าของฝากในราคาส่ง แหม ถูกและน่ารักขนาดนี้ทำให้แอดอดใจไม่ไหว ซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านหลายชิ้นเลย แต่สำหรับพวกเราจะให้ไปนั่งรอกินกันแบบธรรมดาๆ ก็กระไรอยู่..มา Go Local กันที่ชุมชนบ้านท่าเรือภูสิงห์ทั้งที ก็ต้องลองย่างกุ้งด้วยตัวเองสิ  นอกจากกุ้งและปลาสดๆ แล้ว ที่นี่ยังมีเมนูอื่นๆ อย่างส้มตำปลาร้าแซ่บๆ ปลาส้มใบตองมัดตอกโบราณย่าง ทอดมันปลากราย ปลาเนื้ออ่อนทอด ปลาส้ม แจ่วบอง ปลาตากแห้ง ฯลฯ ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านและผลิตภัณฑ์แปรรูปฝีมือพี่ๆ กลุ่มแม่บ้านท่าเรือภูสิงห์นั่นเอง สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ แอดแอบกระซิบดังๆ ว่า อาหารที่นี่ราคามิตรภาพสุดๆ  ก่อนเดินทางแอดแนะนำให้ติดต่อจองคิวกันล่วงหน้า เนื่องจากกุ้งแม่น้ำจะมีเยอะที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน ส่วนช่วงฤดูอื่นๆ สามารถสอบถามได้ที่☎ คุณไก่ (ผู้ใหญ่บ้านท่าเรือภูสิงห์) โทร.098 532 2258, 096 719 8243☎ ปลัดตั้ง โทร.095 987 4698 เมนูแนะนำ อเมริกาโน่ สเปเชียล เทคนิคในการดื่มคือ ค่อยๆ ชิมให้ได้ 3 ระดับ กาแฟจะมีความหอมและหวานขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ทางร้านยังมีกาแฟอีกหลากหลายเมนู ที่รอให้นักชิมทุกท่าน ได้มาดื่มด่ำรสชาติกาแฟอันเป็นเอกลักษณ์ ทางร้านใช้กาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนที่แอดไปถือว่าโชคดีมาก เพราะเจ้าของร้านได้สาธิตวิธีชงกาแฟแบบ Syphon และ Mokapot ให้ดูด้วย ☕ การชงกาแฟแบบ Syphon เป็นการชงแบบสุญญากาศ รสชาติที่ได้ จะเป็นกาแฟดำ หอม เข้มสะใจ ☕ การชงกาแฟแบบ Mokapot เป็นการใช้แรงดันน้ำที่เดือดจัด กลั่นกาแฟออกมา จะได้กาแฟรสเข้ม และหอม แต่จะเบาบางกว่าการชงแบบ Syphon ใครที่อยากลองมาชิมกาแฟแบบต่างๆ และเรียนรู้วิธีการชงกาแฟ สามารถมาที่ร้านได้เลยค่ะ เจ้าของร้านใจดี ยินดีตอบทุกคำถาม Hung Huang OTOP Life Style เป็นศูนย์ส่งเสริมสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในชุมชน ของฝากของที่ระลึกของที่นี่เก๋ไก๋สไลเดอร์ โดนใจวัยรุ่นมากๆ ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาและหมอนไดโนเสาร์ เสื้อผ้า เสื้อคลุม พวงกุญแจ เครื่องปั้นดินเผา ของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงกระเป๋าถือสำหรับคุณผู้หญิง 

เลาะกาฬสินธุ์โลด…ฟินอีหลีเด้อ อ่านเพิ่มเติม

9 จุด ถ่ายรูปกับ เขา

1. เขาโปกโล้น ร่องเขานครชุม จ.พิษณุโลก เขาโปกโล้น ตั้งอยู่ที่ตำบลนครชุม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เป็นจุดชมวิวธรรมชาติและทะเลหมอก ระยะทางเดินขึ้นไปประมาณ 1-2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที ถ้าโชคดีในช่วงเช้าเราจะเห็นทะเลหมอก ซึ่งในฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกทุกวันเลยนะ แต่ถ้าไม่มีหมอก เราก็ถ่ายรูปกับเขาก็ได้ สวยเหมือนกัน ฮ่าๆ และตามเส้นทางเดินยังมีจุดสำคัญให้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นบ่อเสือตก น้ำบ่อศักดิ์สิทธิ์ และถ้ำผาปอง เป็นต้น  สำหรับที่พัก แอดแนะนำให้พักที่โฮมสเตย์ในอำเภอนครชุม เพราะเราจะต้องตื่นเช้า ประมาณ 05.00 น. เพื่อเดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่เขาโปกโล้นกัน ราคาโฮมสเตย์ 450 บาท/คน มีอาหารให้ 2 มื้อ คือมื้อเย็นและมื้อเช้า  ถ้าหากพร้อมแล้วและสนใจพิชิตทะเลหมอกติดต่อ อบต.นครชุม โทร 055 009 808 การเดินทาง ไปตามเส้นทางพิษณุโลก-นครไทย จากนั้นขับรถไปที่ตำบลนครชุม ประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกประมาณ 100 กิโลเมตรพิกัด : https://goo.gl/maps/qfZa5MPvr8Q2 2.จุดชมวิวบ้านจ่าโบ่ จ.แม่ฮ่องสอน เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินถ่ายรูป ที่ไม่ว่าใครก็ต้องมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ท่ามกลางหุบเขาและวิวทะเลหมอกแบบนี้  นั่งถ่ายรูปสวยๆ กินบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและอากาศบริสุทธิ์ เติมพลังกันให้เต็มที่ไปเลย บ้านจ่าโบ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอปายมากนัก ใช้เวลาเดินทางจากอำเภอปายประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าใครที่ไปเที่ยวปาย ก็อย่าลืมแวะไปด้วยนะครับผม การเดินทางจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนวิ่งตามทางหลวงหมายเลข 1095 ไปทางอำเภอปางมะผ้า จนถึงแยกจุดตรวจแม่ละนา ให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1226 อีก 3.5 กิโลเมตร จะถึงจุดชมวิวบ้านจ่าโบ่พิกัด : https://goo.gl/maps/yvUfLiyGYex 3.เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี หรือที่ใครๆ รู้จักกันดีว่า “เขื่อนเชี่ยวหลาน” อันเป็นชื่อดั้งเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเขื่อนรัชชประภาในปัจจุบัน สำหรับเขื่อนรัชชประภานั้น มีจุดเด่นอยู่ตรงที่ภายในทะเลสาบเหนือเขื่อนเต็มไปด้วยภูเขาหินปูนธรรมชาติที่มีรูปร่างต่างๆ แปลกตา สวยงามลงตัวราวกับบรรจงสร้างมาให้เราเข้าไปชมเลยล่ะ  ไปยืนถ่ายรูปที่หัวเรือ โพสท่าเก๋ๆ คู่กับภูเขาหินปูน เอามาไว้โพสต์อวดเพื่อนๆ ในโซเชียล กิจกรรมที่น่าสนใจ– นอนเล่นกลางแพชมวิวทะเลสาบ อ่านหนังสือเล่มโปรด ฟังเพลงเบา ๆ – ล่องเรือชมธรรมชาติเหนือเขื่อน ชมเขาสามเกลอ หนึ่งในไฮไลท์ของภูเขาหินปูนที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำ– พายเรือคายักหรือแคนู ซึ่งที่พักบางแห่งจะจัดไว้บริการนักท่องเที่ยว– ท่องถ้ำน้ำทะลุ ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ 6 กิโลเมตร เป็นถ้ำใหญ่ที่มีธารน้ำไหล มีหินงอกหินย้อยที่งดงาม การเดินเที่ยวถ้ำจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง การเดินทางจากอำเภอเมืองฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 401 แยกเข้าสู่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ขส.2 (เชี่ยวหลาน) ตรงหลักกิโลเมตรที่ 60 ระยะทาง 14 กิโลเมตรพิกัด : https://goo.gl/maps/kXnARbdFFuv 4.เสม็ดนางชี จ.พังงา มาพังงาทั้งที ถ้าไม่ได้ไปเสม็ดนางชีถือว่าพลาด ถ้ามีโอกาสแอดอยากจะแนะนำให้ขึ้นไปชมวิวสุดประทับใจ ถ่ายรูปคู่กับทิวทัศน์สวยๆ ที่นี่ซักครั้ง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปกางเต็นท์นอนค้างแรมเพื่อรอชมกลุ่มดาวเต็มท้องฟ้า และเมื่อเช้าวันใหม่อันสดใสมาถึง ทิวทัศน์ของตะวันขึ้นที่อ่าวพังงาก็จะติดตาตรึงใจเพื่อนๆ ไปอีกนาน ด้านบนมีร้านอาหาร มีเมนูทั้งอาหารคาวและอาหารหวานให้เราได้เลือกทานอย่างหลากหลาย  หรือจะชมแสงสุดท้ายยามเย็น พร้อมนั่งทานอาหารสุดอร่อย ดื่มด่ำกับวิวธรรมชาติอันสวยงาม ขอบอกเลยว่าจะทำให้มื้ออาหารมื้อนี้ประทับใจไม่รู้ลืมเลยล่ะ การเดินทางจากตัวเมืองพังงา ใช้เส้นทางพังงา-โคกกลอย เข้าสู่อำเภอตะกั่วทุ่งไปยังบ้านท่าอยู่ สังเกตจะมีสะพานลอยอยู่ก่อนถึงทางเข้าบ้านท่าอยู่ และมีซอยเล็กๆ ให้เลี้ยวเข้าไป ขับตรงไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร จะถึงจุดจอดรถพิกัด : https://goo.gl/maps/CFH2LK5vscQ2 5.ม่อนครูบาใส อุทยานแห่งชาติแม่เมย จ.ตาก ม่อนครูบาใส อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นจุดชมทะเลหมอกยามเช้า วิวภูเขา และพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่มองเห็นดาวได้ชัดเจนอีกด้วย สามารถถ่ายรูปสวยๆ กับวิวสุดอลังการเก็บไปชมได้ไม่มีเบื่อเลยล่ะ ข้างบนนี้สามารถกางเต็นท์นอนได้ แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลย เพราะฉะนั้นต้องเตรียมอาหาร น้ำ และสิ่งของจำเป็นต่างๆ ขึ้นไปให้เรียบร้อยนะครับ การเดินทางแนะนำให้ใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะช่วงนี้หน้าฝน ถนนอาจจะมีหลุมมีบ่ออยู่บ้าง และควรสอบถามกับทางอุทยานฯ ก่อนไปนะครับ ว่าเหมาะที่จะขึ้นไปเที่ยวหรือไม่ แต่ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกันหลายวัน ก็สามารถขึ้นได้ครับผม การเดินทางจากตัวเมืองตาก ไปตามทางหลวงหมายเลข 105 (เส้นทางแม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง) ระยะทางประมาณ 114 กิโลเมตร เลี้ยวขวาที่จุดตรวจแม่สลิด ซึ่งเป็นทางที่จะตัดไปสู่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางขึ้นเขาไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานฯ (ทางขึ้นเขาเป็นทางลาดชัน รถบัสใหญ่ไม่สามารถขึ้นได้)พิกัด : https://goo.gl/maps/5nbbC1GW7b42 6.ดอยหัวหมด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จ.ตาก ยอดเขาหัวโล้นที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าและไม้ทนแล้ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น เป็นที่มาของชื่อ “ดอยหัวหมด” บ้างก็เรียกว่า “เขาหัวโล้น” ลักษณะเป็นภูเขาหินปูนทอดตัวเป็นแนวยาวหลายลูกติดต่อกัน สามารถชมวิวได้รอบทิศ  ไฮไลท์เด่นของที่นี่คือ การชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกในยามเช้า ควรเดินทางมาถึงจุดชมวิวในช่วง 05.00-06.00 น.  ดอยหัวหมดเป็นเนินที่ไม่สูงมากและระยะทางเดินไม่ไกลมากนัก เดินกันได้ชิลๆ ถ่ายรูปกันได้เรื่อยๆ เลยล่ะ การเดินทาง จากตัวเมืองตาก ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 (ตาก-แม่สอด) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 96 เปลี่ยนมาใช้ทางหลวงหมายเลข 1090 (แม่สอด-อุ้มผาง) เข้าสู่อำเภออุ้มผาง มุ่งหน้าบ้านปะหละทะ บริเวณกิโลเมตรที่ 10-11 จะมีทางแยกซ้ายไปดอยหัวหมด ประมาณ 700 เมตร จะถึงจุดจอดรถพิกัด : https://goo.gl/maps/V1k4MoZt7FD2 7.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เมื่อมาถึงอำเภอเนินมะปรางกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ การไปชมวิวภูเขาหินปูนล้านปี ที่บ้านมุง บอกเลยว่าภูเขาสวยอลังการมาก ถ่ายรูปออกมาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปในภาพยนตร์เรื่องอวตารกันเลยทีเดียว ถ้าจะให้ดีต้องลองนั่งรถอีแต๊กที่ชาวบ้านบริการ หรือนำจักรยานมาปั่นเองในช่วงยามเย็น จะได้สัมผัสบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกและธรรมชาติที่สวยงามบริเวณนั้น และยังสามารถรอชมฝูงค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำไปหากิน ตอนเวลาประมาณ 18.00-19.00 น. ได้อีกด้วยนะ หากใครอยากลองนั่งรถอีแต๊กชมภูเขาหินปูนล้านปี ติดต่อได้ที่ คุณพิษณุชัย ทรงพุฒิ โทร.

9 จุด ถ่ายรูปกับ เขา อ่านเพิ่มเติม

Go north อัตลักษณ์ผ้าทอมือ เลื่องลือหริภุญชัย

การทอผ้าไหมยกดอกของจังหวัดลำพูนนั้น เริ่มมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ การทอผ้ายกดอกมีจุดเริ่มต้นในคุ้มของเจ้านาย ซึ่งในระยะแรกเป็นการทอผ้าธรรมดาไม่ได้มีลวดลายวิจิตรงดงามมากนัก ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้เสด็จกลับเชียงใหม่ ทรงนำเทคนิคการทอผ้าที่ได้เรียนรู้จากราชสำนักส่วนกลางเมื่อครั้งประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ มาประยุกต์และถ่ายทอดความรู้ด้านการทอผ้าไหมยกดอกที่มีลวดลายสวยงามแปลกตา ให้แก่เจ้าส่วนบุญ ชายาของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย ทำให้การทอผ้าไหมยกดอกเป็นที่แพร่หลายทั่วไป และได้รับการสืบทอดต่อมา กลายเป็นภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำพูนจนถึงปัจจุบัน การทอผ้ายกหรือการยกมุก เป็นวิธีการทอแบบโบราณที่ทำให้เกิดลวดลายที่สวยงาม ซึ่งต้องใช้เวลา ความชำนาญ และความประณีตในการทอเป็นอย่างมากเลยค่ะ.ลักษณะเด่นของผ้าทอยกดอกคือ ในผืนผ้าจะมีลวดลายในตัว โดยผิวสัมผัสจะมีความนูนที่แตกต่างกันไปตามลวดลาย ส่วนใหญ่ลายจะใช้ฝ้ายหรือไหมสีเดียวกันตลอดทั้งผืน เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของจังหวัดลำพูนค่ะ สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน นักท่องเที่ยวสามารถมาชื่นชมผลงานสร้างสรรค์ของคนลำพูนได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.โดยทางสถาบันได้จัดโซนร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลากหลายจากฝีมือคนลำพูนไว้ให้เลือกชมเลือกซื้อเป็นของฝากมากมายเลยค่ะ  สำหรับผู้ที่สนใจวิธีการทำผ้าทอโบราณผ้าไหมยกดอก กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้าเนื่องจากทางสถาบันไม่ได้ทอผ้าทุกวันค่ะ ที่ตั้ง : สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย หมู่ที่ 2 ตำบลต้นธง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน โทร. 053 560 144

Go north อัตลักษณ์ผ้าทอมือ เลื่องลือหริภุญชัย อ่านเพิ่มเติม

ฮาเตียน : Hatien Cafe

Hatien Cafe  การเดินทาง ร้านฮาเตียนคาเฟ่ เป็นร้านเล็กๆ 3 ชั้น คลาสสิกด้วยรูปลักษณ์ของร้านและของเก่าของสะสมสไตล์วินเทจมากมาย ที่ล้วนเข้ากันได้อย่างลงตัว เป็นคาเฟ่น้องใหม่ที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจ มาลองลิ้มชิมรสขนมอร่อยๆ กันมากมาย บริเวณชั้น 2 ประดับด้วยโคมไฟแชนเดอเลียร์ดูหรูหรา บนผนังตกแต่งด้วยกรอบรูปมากมายซึ่งภายในบรรจุภาพประวัติศาสตร์อันมีคุณค่า และยังมีจุดเด่นอยู่ที่ผนังสีเขียวเข้มดูลึกลับน่าค้นหาอีกด้วย สวยทุกมุมเลย มาแล้ววว กาแฟอัญชัน (120 บาท) สีสันอาจจะดูหม่นๆ แต่รสชาติไม่หม่นนะจ๊ะ รสเข้มของกาแฟผสมกับนมอัญชันหอมละมุนที่อยู่ก้นแก้ว สำหรับผู้ที่ชอบทานกาแฟแบบไม่เข้มจนเกินไป แก้วนี้ตอบโจทย์เลย  เมนูขนมเค้กที่ทางร้านแนะนำ คือ Macadamia Cake (180 บาท) อร่อยมากกก ดีงาม เค้กเนื้อนุ่มราดด้วยคาราเมลและถั่วแมคคาเดเมียเม็ดโต เมนูนี้ต้องลอง ขนมของร้านนี้จะเป็นโฮมเมดทั้งหมด ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีเมนูแตกต่างกันออกไป น่าทานทุกอย่างเลย ^^ ขึ้นบันไดเวียนมาดูชั้นที่ 3 กันบ้าง กับบรรยากาศห้องกระจกและดาดฟ้าที่เปิดรับแสงจากภายนอก ตกแต่งด้วยสีขาวคลีนๆ สบายตา ให้สีสันและความรู้สึกแตกต่างจากชั้น 2 อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังคงความวินเทจที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน จากเฟอร์นิเจอร์และของประดับตกแต่งต่างๆ

ฮาเตียน : Hatien Cafe อ่านเพิ่มเติม

Let’s go to ภูสอยดาว : 569 กิโลเมตร จากบ้านไปดูดอกหงอนนาคที่ลานสน

ภูสอยดาว ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เป็นยอดเขาที่สูงอันดับ 4 ของประเทศ โดยยอดสูงสุดของภูสอยดาวมีความสูง 2,102 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ✳ ช่วงหน้าฝน (กรกฎาคม-ตุลาคม) : สามารถเดินขึ้นไปถึงลานสน และไปดูดอกหงอนนาคได้ โดยดอกหงอนนาคจะบานในช่วงหน้าฝนเท่านั้น และจะออกดอกเยอะที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ✳ ช่วงหน้าหนาว (พฤศจิกายน-มกราคม) : สามารถเดินขึ้นไปถึงลานสน ไปดูดาว ดูดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ และใบเมเปิลที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง และเดินขึ้นยอดสูงสุดของภูสอยดาวได้ ⭐อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว⭐ “เราจะซิ่งไปด้วยกัน” การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ถ้าให้แอดพิมพ์อธิบายมันก็จะค่อนข้างยาวสักหน่อย เอาเป็นว่า แอดขอแปะลิงค์แผนที่ไว้ให้แทนละกันนะคะ >>https://goo.gl/maps/e8qDnhAr8Jw สามารถเปลี่ยนจุดเริ่มต้นได้ตามใจชอบเลยค่ะ เมื่อถึงที่ทำการอุทยานฯ เราต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อลงทะเบียนก่อน ✳ถ้าไม่ได้นำเต็นท์ เครื่องนอน และอุปกรณ์ทำอาหารมาเอง สามารถมาเช่าได้ที่นี่ โดยเจ้าหน้าที่จะจดรายการสิ่งของที่เราเช่าเอาไว้ แล้วค่อยขึ้นไปรับของที่ลานสน ✳ถ้าใครแบกสัมภาระทั้งหมดไม่ไหว (แค่เดินให้ถึงก็แย่แล้ว  สิ่งแรกที่เราจะพบก่อนขึ้นไปยังภูสอยดาวก็คือ น้ำตกภูสอยดาว เป็นน้ำตก 5 ชั้น มีน้ำไหลตลอดปี.เอ้า!! เริ่มเดินกันเถอะ แอดและเพื่อนอีก 2 คน เริ่มเดินตอนเที่ยงกว่าๆ ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้า ในใจเริ่มหวั่นแล้วว่าจะถึงกี่โมงกันเนี่ย ช่วงแรกๆ จะเป็นป่าดิบชื้น มีต้นไม้ค่อนข้างสูง สลับกับพื้นที่โล่งมีลำธารน้ำไหล ✳ จะขึ้นไปถึงลานสนสามใบได้ ต้องฝ่าฟันเนินทั้ง 5 เนินไปให้ได้ ได้แก่ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ ✳ กว่าจะถึงเนินแรก “เนินส่งญาติ” ก็เริ่มหอบแล้ว ระหว่างทาง แอดก็เดินไป พักกินข้าวเหนียวไก่ย่างที่หอบหิ้วมาด้วยไปพลางๆ ❓ ถามว่าเนินไหนเดินเหนื่อยที่สุด แอดตอบเลยว่าเหนื่อยทุกเนิน  ในที่สุดก็มาถึงเนินสุดท้าย แค่เห็นชื่อก็ขาสั่นแล้ว “เนินมรณะ” เป็นทางเดินแคบและชัน ต้องใช้กำลังขาในการปีน แนะนำว่าให้เดินเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ จะได้ไม่เหนื่อยมากค่ะ ระหว่างที่แอดกำลังเดิน ก็มีลูกหาบที่เดินสวนลงมาคอยให้กำลังใจเป็นระยะๆ ในที่สุดก็มาถึงลานสนแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์นะคะ (คุณหลอกดาว  ในที่สุดก็ถึงจุดกางเต็นท์ค่ะ พอถึงตรงนี้ให้ทุกคนไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต็นท์และสัมภาระต่างๆ ✳จะเช่าอุปกรณ์ทำอาหาร ขัน ถังน้ำ สามารถเช่าได้ที่จุดนี้เลย แล้วค่อยไปจ่ายเงินด้านล่าง หลังจากลงจากเขาค่ะ ✳ ข้างบนนี้มีห้องน้ำแยกชาย-หญิง ถ้าจะอาบน้ำ ต้องตักจากลำธารใกล้ๆ มาอาบ ส่วนน้ำสำหรับดื่ม จะมีแท็งก์น้ำแยกไว้โดยเฉพาะค่ะ บรรยากาศที่ลานสนค่อนข้างคึกคัก แต่ละคนไม่มีใครยอมใคร นำอาหารสดขึ้นมาปรุงบนเขากันอย่างสนุกสนาน เต็นท์ตรงข้ามแอดมีหมูกระทะ ส่วนข้างๆ มีกุ้งเผา เบคอนย่าง ส่วนแอด…ไม่ไหวแล้ว เดินเหนื่อยมาก ขออะไรก็ได้ที่ได้กินเร็วๆ  หมดแรงจะเดิน ก็หมดแรงจะทำอาหารด้วย แนะนำสำหรับผู้ที่ไม่อยากทำอะไรให้ยุ่งยาก พกอาหารซองสำเร็จรูปขึ้นไปเลยค่ะ แค่จุ่มซองในน้ำร้อน รอจนอาหารร้อนก็ทานได้แล้ว คิดดูไฮโซแค่ไหนมานั่งทานสปาเก็ตตี้บนภูเขา หลังจากนอนพักเอาแรงจนเต็มอิ่ม ตอนเช้าถ้าใครตื่นไหว สามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ค่ะ แต่แอดตื่นไม่ทัน ก็เลยเดินเล่นแถวๆ จุดกางเต็นท์ ไปยืนดูวิวภูเขาและสายหมอกแทน และไฮไลท์ของทริปนี้ก็คือ ดอกหงอนนาค ที่เราอุตส่าห์ปีนป่ายเขาขี้นมาตั้ง 6.5 กิโลเมตรเพื่อมาชม ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ดอกหงอนนาคขึ้นกันอย่างหนาแน่น บานจนเต็มทุ่ง ได้รูปสวยๆ กลับบ้านกันอย่างจุใจ ✳ ดอกหงอนนาคจะบานในช่วงสาย ประมาณ 9 โมงไปจนถึงเที่ยงวัน เรามุ่งหน้าไปทางอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้ทางหลวงชนบทหมายเลข 1268 ผ่านตำบลมะม่วงเจ็ดต้น จากนั้นใช้ทางหลวงชนบทหมายเลข 1241 ผ่านตำบลบ่อเบี้ย จากนั้นตัดเข้าทางหลวงชนบทหมายเลข 1083 ผ่านอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยเส้นทางจะเป็นทางขึ้น-ลงเขา และโค้งเยอะมาก ถ้าใครจะวิ่งเส้นทางนี้ ต้องขับอย่างระมัดระวังด้วยนะคะ จากนั้น เราผ่านตัวอำเภอนาน้อย และถึงจุดหมายปลายทางที่ชายทุ่ง โฮมสเตย์ อำเภอนาหมื่น ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินทาง อำเภอนาหมื่นเป็นอำเภอที่เงียบสงบมาก เหมาะกับการมาพักผ่อนอย่างแท้จริง และวิวทุ่งนาเขียวขจี บริเวณหน้าที่พัก ก็ทำให้พวกเราฟินสุดๆ ถือเป็นการจบทริปอย่างอิ่มเอมใจ 

Let’s go to ภูสอยดาว : 569 กิโลเมตร จากบ้านไปดูดอกหงอนนาคที่ลานสน อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวตามคำขวัญ : ฉะเชิงเทรา

เที่ยวตามคำขวัญ : ฉะเชิงเทรา “แม่น้ำบางปะกงแหล่งชีวิต พระศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อโสธรพระยาศรีสุนทรปราชญ์ภาษาไทย อ่างฤาไนป่าสมบูรณ์” “แม่น้ำบางปะกงแหล่งชีวิต” แม่น้ำบางปะกง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทราที่ไหลผ่านหลายจังหวัด จึงมีชื่อเรียกหลายชื่อตามพื้นที่ เช่นเมื่อไหลผ่านจังหวัดปราจีนบุรี ก็เรียกว่าแม่น้ำปราจีนบุรีผ่านอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็เรียกว่าแม่น้ำบางปะกงนั่นเอง แม่น้ำสายนี้ถือเป็นแหล่งทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งอาชีพที่สำคัญของผู้คนทั้งในด้านการประมงและเกษตรกรรม เสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวฉะเชิงเทรามาช้านาน ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาล่องเรือชมทิวทัศน์และสถานที่สำคัญริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร แนวกำแพงเมืองโบราณ ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทราหลังเก่า ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี และอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ต่างๆ เป็นต้น “พระศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อโสธร” วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าหลวงพ่อโสธรได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา จึงผู้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัดแห่งนี้ เชื่อกันว่าเมื่อได้มาสักการะบูชาหลวงพ่อโสธรแล้ว ก็จะพบแต่ความสุขและสวัสดิมงคลในชีวิต นอกจากนี้ในหมู่ผู้ที่มีบุตรยากก็ยังนิยมมาขอลูกกันอีกด้วย และเมื่อสมดังใจอธิษฐานก็จะถวายละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย ทุกปีวัดโสธรวรารามวรวิหารจะมีการจัดงานประจำปีอย่างยิ่งใหญ่ 3 ครั้งด้วยกัน คือ ในเทศกาลตรุษจีน เทศกาลกลางเดือนห้า และเทศกาลกลางเดือนสิบสอง ตามปฎิทินจันทรคติของไทย ซึ่งทุกครั้งที่มีการจัดงานก็จะมีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เปิดทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 07.00-16.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ 08.00-16.30 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/pWFQzvkPVCs “พระยาศรีสุนทรปราชญ์ภาษาไทย” พระยาศรีสุนทรโวหาร เป็นชาวฉะเชิงเทรา นามเดิมของท่านคือ น้อย อาจารยางกูร เป็นผู้แต่งแบบสอนอ่านหนังสือไทย รวม 6 เล่ม ได้แก่ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์ ไวพจน์พิจารณ์ และกวีนิพนธ์ที่มีคุณค่าอีกหลายเรื่อง งานสำคัญชิ้นหนึ่งของท่านคือ เมื่อครั้งที่มีการปฎิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้มีส่วนร่วมในการแต่งโคลงเรื่องรามเกียรติ์เพื่อจารึกที่ระเบียงรอบพระอุโบสถด้วย ซึ่งจากผลงานในครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น”พระยาศรีสุนทรโวหาร”  นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นพระอาจารย์ถวายอักษร สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ อีกด้วย อนุสาวรีย์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ตั้งอยู่บนถนนศรีโสธรตัดใหม่ เขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา “อ่างฤาไนป่าสมบูรณ์” อ่างฤๅไน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ป่าผืนใหญ่บริเวณรอยต่อของ 5 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และสระแก้ว เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงคือ น้ำตกอ่างฤาไน เป็นน้ำตกที่อยู่ท่ามกลางป่าที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ระหว่างทางจะได้ชมนกชนิดต่างๆ และอาจพบสัตว์ป่าหายากอย่างไก่ฟ้าพญาลออีกด้วย การเดินทางไปยังน้ำตกค่อนข้างลำบาก เนื่องจากบริเวณโดยรอบเป็นป่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่า รักธรรมชาติและการผจญภัย แต่แนะนำว่าไม่ควรไปตามลำพัง ควรไปเป็นกลุ่ม และแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยพิกัด : https://goo.gl/maps/QWXLbVvqabo

เที่ยวตามคำขวัญ : ฉะเชิงเทรา อ่านเพิ่มเติม

มองฟ้า ชมผา ณ ภูหินร่องกล้า

“โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า”  เป็นโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า เพาะชำกล้าไม้ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับราษฎร ภายในโครงการมีการปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ให้เราได้เที่ยวชมพร้อมทั้งได้ความรู้ไปในตัวอีกด้วย การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (สายพิษณุโลก – หล่มสัก) ถึงสามแยกบ้านแยง แยกขวาผ่านบ้านห้วยตีนตั่ง – บ้านห้วยน้ำไซ – ฐานพัชรินทร์ เข้าสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า รวมระยะทางประมาณ 31 กิโลเมตร (เป็นทางผ่านก่อนขึ้นไปภูลมโล) ในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม–กุมภาพันธ์ ที่โครงการฯ จะเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่สวยงาม และยังมีทุ่งดอกกระดาษซึ่งจะบานสะพรั่งเรียงรายไปทั่วริมหน้าผาอีกด้วย  ภายในโครงการฯ ไม่มีที่พักหรือจุดกางเต็นท์ แต่สามารถพักได้ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร อัตราค่าบริการบ้านพักและเต็นท์บ้านหลังเล็ก ราคา 800 บาท พักได้ 2-3 คนบ้านหลังใหญ่ ราคา 1,000 บาท พักได้ 4-5 คน เต็นท์ หลังละ 225 บาท พักได้ 2-3 คน  ติดต่อจองบ้านพัก โทร. 081 596 5977 ไฮไลท์ของเรามาแล้ว…หน้าผาที่เราจะมาเช็คอินกัน แต่ละผาอยู่บรเิวณเดียวกัน ห่างกันประมาณ 5-10 เมตร ซึ่งทางโครงการฯ ได้ตั้งชื่อเก๋ๆ เกี่ยวกับความรักขึ้นมาเพื่อเป็นกิมมิคเล็กๆ ให้ผู้มาเยือนได้มาถ่ายรูปกับชื่อผาต่างๆ กัน  เริ่มที่จุดแรกก็แฮปปี้แล้วค่ะ “ผาพบรัก” ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการพบเจออะไรใหม่ๆ รวมไปถึงความรักด้วย ใครกำลังอินเลิฟ เชิญไปโพสต์ท่ากันรัวๆ เลย  รักใครชอบใครก็บอกเค้าไปเลย ^^ ชมวิวบน “ผาบอกรัก” โรแมนติกไม่เบา หากมาในช่วงฤดูหนาวก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งบานให้เราได้ชมกันด้วย เข้ากับบรรยากาศสุดๆ ถัดมาเป็น “ผาคู่รัก” เมื่อบอกรักกันไปแล้วก็ต้องเป็นคู่รักแล้วล่ะ จะมาเป็นคู่หรือมาเดี่ยวๆ ก็เที่ยวได้หมด มาสัมผัสบรรยากาศหน้าฝนแบบนี้ มันช่างดีต่อใจ “ผารักยืนยง”…แค่ชื่อก็แสดงถึงความมั่นคงแล้ว อย่าพลาดที่จะควงแขนคนที่คุณรักมาแชะภาพกันด้วยนะคะ  “ผาไททานิค” มาถึงผานี้ เชื่อว่าทุกคนต้องจินตนาการภาพแจ็คกับโรสในภาพยนตร์เรื่องไททานิค กำลังยืนกางแขนอยู่บนโขดหินนั้นเหมือนกันแน่ๆ ซึ่งความใหญ่โตของโขดหินก็เปรียบได้กับเรือไททานิคและความรักอันยิ่งใหญ่ของทั้งคู่นั่นเอง จุดสุดท้าย “ผาสลัดรัก” ชื่ออาจจะดูไม่ค่อยแฮปปี้กับความรักสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่มีความรักที่ดีอยู่แล้ว ก็ถือซะว่าเราใช้โอกาสนี้สลัดความทุกข์ ความเศร้า ความกังวล และสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ออกไปจากชีวิตดีกว่า ส่วนคนที่ผิดหวังกับความรัก ก็อย่าได้แคร์ สลัดมันทิ้งไป แล้วรอรับสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตกันเถอะ!!

มองฟ้า ชมผา ณ ภูหินร่องกล้า อ่านเพิ่มเติม

ย้อนรอยตำนานชามไก่ ณ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี

“ย้อนรอยตำนานชามไก่ ณ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี” ที่อยู่: 32 ถ. วัดจองคำ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง 52000 โทร: 054 821 558-9 ต่อ 103, 061 273 3344เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น.ค่าเข้าชม: ชาวไทย ผู้ใหญ่ 60 บาท นักเรียนนักศึกษา 30 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท  การเดินทาง: จากเชียงใหม่ ไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-งาว ถึงสี่แยกสนามบิน เลี้ยวขวาไปตามถนนพระบาท ประมาณ 500 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระบาทซอย 1 ไปตามป้ายบอกทางประมาณ 500 เมตร ถึง The Muse Shop และพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดีพิกัด: https://goo.gl/maps/ndEjvyjAtzG2 ประวัติของอุตสาหกรรมเซรามิคในลำปางนั้นเริ่มมาจาก อาปาอี้ (หรือซิมหยู) แซ่ฉิน ชาวจีนที่อพยพมาอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นช่างผู้เชี่ยวชาญการปั้นและทำเตาเผาจากเมืองจีน ได้พบว่าชาวบ้านอำเภอแจ้ห่มใช้แร่ดินขาวมาทำหินลับมีด ก็เกิดความสนใจ จึงได้ชักชวนเพื่อนๆ เดินทางไปค้นหาแหล่งดินขาวเพื่อนำมาทำถ้วยชาม จนกระทั่งพบแหล่งดินขาวที่บ้านปางค่า อำเภอแจ้ห่ม ซึ่งเป็นดินคุณภาพดี มีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำเครื่องปั้นดินเผา จึงได้เริ่มทดลองผลิตเครื่องปั้นเซรามิค  และต่อมาได้ตั้งโรงงานเซรามิคแห่งแรกของจังหวัดลำปางชื่อว่า “โรงงานร่วมสามัคคี” และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของตำนานการทำชามตราไก่ จนกลายเป็นแหล่งผลิตชามตราไก่ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศค่ะ เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็นชามตราไก่ เหตุผลก็เพราะเดิมลำปางมีชื่อว่าเมือง “กุกกุฏนคร” ซึ่งแปลว่าไก่ขาว ช่างจึงนิยมวาดลวดลายไก่ลงไปในถ้วยชามเซรามิค จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเซรามิคเมืองลำปางมาจนทุกวันนี้ ความพิเศษของชามตราไก่จากโรงงานนี้ก็คือ เป็นชามไก่ต้นตำรับ ที่มีความแข็งแรงทนทาน มีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลายไก่ที่มีลำตัวสีส้ม หางและขาสีดำ เดินบนหญ้าสีเขียว แต้มด้วยดอกไม้ใบไม้ต่างๆ สีสันสวยงาม และที่สำคัญคือวาดด้วยมือทุกใบด้วยค่ะ ปัจจุบันโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาของอาปาอี้ ได้รับการสืบทอดสู่ทายาทรุ่นที่ 2 ภายใต้ชื่อ “โรงงานธนบดีสกุล” ซึ่งชามตราไก่นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อที่ขายดีมากๆ จนมีการพัฒนารูปแบบออกไปหลากหลาย รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากเซรามิคเป็นของประดับตกแต่งและของสะสมอีกมากมาย พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี ก่อตั้งโดยนายพนาสิน ธนบดีสกุล เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่อาปาอี้ ต้นตระกูลธนบดีสกุล ภายในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับต้นกำเนิดชามตราไก่ เตามังกรโบราณ ชามตราไก่จิ๋วที่เล็กที่สุดในโลก ชามไก่ทองคำ ขลุ่ยเซรามิคเลาแรกของโลก และอื่นๆ อีกมากมายที่รอให้เพื่อนๆ ไปชมกันค่ะ นอกจากจะได้ชมนิทรรศการและเลือกซื้อเซรามิคต่างๆ แล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ก็ยังมีการสาธิตการทำชามตราไก่แบบโบราณให้เราได้ชมกันในวันอังคาร–อาทิตย์ (งดสาธิตทุกวันจันทร์) และมีกิจกรรม Workshop ให้ผู้ที่สนใจได้โชว์ฝีไม้ลายมือในการวาดลวดลายต่างๆ ลงบนเซรามิคอีกด้วย ราคาคนละ 60-300 บาท ตามขนาดของเซรามิคค่ะ ว้าววววว ดูแล้วน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยคะ ถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสไปเที่ยวลำปางก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี และวาดลวดลายต่างๆ ลงบนเซรามิคเพื่อนำไปเป็นของที่ระลึกกลับไปฝากที่บ้านกันด้วยนะคะ ^^

ย้อนรอยตำนานชามไก่ ณ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top