สถานที่ท่องเที่ยว

Go north อัตลักษณ์ผ้าทอมือ เลื่องลือหริภุญชัย

การทอผ้าไหมยกดอกของจังหวัดลำพูนนั้น เริ่มมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ การทอผ้ายกดอกมีจุดเริ่มต้นในคุ้มของเจ้านาย ซึ่งในระยะแรกเป็นการทอผ้าธรรมดาไม่ได้มีลวดลายวิจิตรงดงามมากนัก ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้เสด็จกลับเชียงใหม่ ทรงนำเทคนิคการทอผ้าที่ได้เรียนรู้จากราชสำนักส่วนกลางเมื่อครั้งประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ มาประยุกต์และถ่ายทอดความรู้ด้านการทอผ้าไหมยกดอกที่มีลวดลายสวยงามแปลกตา ให้แก่เจ้าส่วนบุญ ชายาของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย ทำให้การทอผ้าไหมยกดอกเป็นที่แพร่หลายทั่วไป และได้รับการสืบทอดต่อมา กลายเป็นภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำพูนจนถึงปัจจุบัน การทอผ้ายกหรือการยกมุก เป็นวิธีการทอแบบโบราณที่ทำให้เกิดลวดลายที่สวยงาม ซึ่งต้องใช้เวลา ความชำนาญ และความประณีตในการทอเป็นอย่างมากเลยค่ะ.ลักษณะเด่นของผ้าทอยกดอกคือ ในผืนผ้าจะมีลวดลายในตัว โดยผิวสัมผัสจะมีความนูนที่แตกต่างกันไปตามลวดลาย ส่วนใหญ่ลายจะใช้ฝ้ายหรือไหมสีเดียวกันตลอดทั้งผืน เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของจังหวัดลำพูนค่ะ สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน นักท่องเที่ยวสามารถมาชื่นชมผลงานสร้างสรรค์ของคนลำพูนได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.โดยทางสถาบันได้จัดโซนร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลากหลายจากฝีมือคนลำพูนไว้ให้เลือกชมเลือกซื้อเป็นของฝากมากมายเลยค่ะ  สำหรับผู้ที่สนใจวิธีการทำผ้าทอโบราณผ้าไหมยกดอก กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้าเนื่องจากทางสถาบันไม่ได้ทอผ้าทุกวันค่ะ ที่ตั้ง : สถาบันผ้าทอมือหริภุญชัย หมู่ที่ 2 ตำบลต้นธง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน โทร. 053 560 144

Go north อัตลักษณ์ผ้าทอมือ เลื่องลือหริภุญชัย อ่านเพิ่มเติม

ฮาเตียน : Hatien Cafe

Hatien Cafe  การเดินทาง ร้านฮาเตียนคาเฟ่ เป็นร้านเล็กๆ 3 ชั้น คลาสสิกด้วยรูปลักษณ์ของร้านและของเก่าของสะสมสไตล์วินเทจมากมาย ที่ล้วนเข้ากันได้อย่างลงตัว เป็นคาเฟ่น้องใหม่ที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจ มาลองลิ้มชิมรสขนมอร่อยๆ กันมากมาย บริเวณชั้น 2 ประดับด้วยโคมไฟแชนเดอเลียร์ดูหรูหรา บนผนังตกแต่งด้วยกรอบรูปมากมายซึ่งภายในบรรจุภาพประวัติศาสตร์อันมีคุณค่า และยังมีจุดเด่นอยู่ที่ผนังสีเขียวเข้มดูลึกลับน่าค้นหาอีกด้วย สวยทุกมุมเลย มาแล้ววว กาแฟอัญชัน (120 บาท) สีสันอาจจะดูหม่นๆ แต่รสชาติไม่หม่นนะจ๊ะ รสเข้มของกาแฟผสมกับนมอัญชันหอมละมุนที่อยู่ก้นแก้ว สำหรับผู้ที่ชอบทานกาแฟแบบไม่เข้มจนเกินไป แก้วนี้ตอบโจทย์เลย  เมนูขนมเค้กที่ทางร้านแนะนำ คือ Macadamia Cake (180 บาท) อร่อยมากกก ดีงาม เค้กเนื้อนุ่มราดด้วยคาราเมลและถั่วแมคคาเดเมียเม็ดโต เมนูนี้ต้องลอง ขนมของร้านนี้จะเป็นโฮมเมดทั้งหมด ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีเมนูแตกต่างกันออกไป น่าทานทุกอย่างเลย ^^ ขึ้นบันไดเวียนมาดูชั้นที่ 3 กันบ้าง กับบรรยากาศห้องกระจกและดาดฟ้าที่เปิดรับแสงจากภายนอก ตกแต่งด้วยสีขาวคลีนๆ สบายตา ให้สีสันและความรู้สึกแตกต่างจากชั้น 2 อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังคงความวินเทจที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน จากเฟอร์นิเจอร์และของประดับตกแต่งต่างๆ

ฮาเตียน : Hatien Cafe อ่านเพิ่มเติม

Let’s go to ภูสอยดาว : 569 กิโลเมตร จากบ้านไปดูดอกหงอนนาคที่ลานสน

ภูสอยดาว ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เป็นยอดเขาที่สูงอันดับ 4 ของประเทศ โดยยอดสูงสุดของภูสอยดาวมีความสูง 2,102 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ✳ ช่วงหน้าฝน (กรกฎาคม-ตุลาคม) : สามารถเดินขึ้นไปถึงลานสน และไปดูดอกหงอนนาคได้ โดยดอกหงอนนาคจะบานในช่วงหน้าฝนเท่านั้น และจะออกดอกเยอะที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ✳ ช่วงหน้าหนาว (พฤศจิกายน-มกราคม) : สามารถเดินขึ้นไปถึงลานสน ไปดูดาว ดูดอกกระดุมเงิน กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ และใบเมเปิลที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง และเดินขึ้นยอดสูงสุดของภูสอยดาวได้ ⭐อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว⭐ “เราจะซิ่งไปด้วยกัน” การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ถ้าให้แอดพิมพ์อธิบายมันก็จะค่อนข้างยาวสักหน่อย เอาเป็นว่า แอดขอแปะลิงค์แผนที่ไว้ให้แทนละกันนะคะ >>https://goo.gl/maps/e8qDnhAr8Jw สามารถเปลี่ยนจุดเริ่มต้นได้ตามใจชอบเลยค่ะ เมื่อถึงที่ทำการอุทยานฯ เราต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อลงทะเบียนก่อน ✳ถ้าไม่ได้นำเต็นท์ เครื่องนอน และอุปกรณ์ทำอาหารมาเอง สามารถมาเช่าได้ที่นี่ โดยเจ้าหน้าที่จะจดรายการสิ่งของที่เราเช่าเอาไว้ แล้วค่อยขึ้นไปรับของที่ลานสน ✳ถ้าใครแบกสัมภาระทั้งหมดไม่ไหว (แค่เดินให้ถึงก็แย่แล้ว  สิ่งแรกที่เราจะพบก่อนขึ้นไปยังภูสอยดาวก็คือ น้ำตกภูสอยดาว เป็นน้ำตก 5 ชั้น มีน้ำไหลตลอดปี.เอ้า!! เริ่มเดินกันเถอะ แอดและเพื่อนอีก 2 คน เริ่มเดินตอนเที่ยงกว่าๆ ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้า ในใจเริ่มหวั่นแล้วว่าจะถึงกี่โมงกันเนี่ย ช่วงแรกๆ จะเป็นป่าดิบชื้น มีต้นไม้ค่อนข้างสูง สลับกับพื้นที่โล่งมีลำธารน้ำไหล ✳ จะขึ้นไปถึงลานสนสามใบได้ ต้องฝ่าฟันเนินทั้ง 5 เนินไปให้ได้ ได้แก่ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ ✳ กว่าจะถึงเนินแรก “เนินส่งญาติ” ก็เริ่มหอบแล้ว ระหว่างทาง แอดก็เดินไป พักกินข้าวเหนียวไก่ย่างที่หอบหิ้วมาด้วยไปพลางๆ ❓ ถามว่าเนินไหนเดินเหนื่อยที่สุด แอดตอบเลยว่าเหนื่อยทุกเนิน  ในที่สุดก็มาถึงเนินสุดท้าย แค่เห็นชื่อก็ขาสั่นแล้ว “เนินมรณะ” เป็นทางเดินแคบและชัน ต้องใช้กำลังขาในการปีน แนะนำว่าให้เดินเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ จะได้ไม่เหนื่อยมากค่ะ ระหว่างที่แอดกำลังเดิน ก็มีลูกหาบที่เดินสวนลงมาคอยให้กำลังใจเป็นระยะๆ ในที่สุดก็มาถึงลานสนแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์นะคะ (คุณหลอกดาว  ในที่สุดก็ถึงจุดกางเต็นท์ค่ะ พอถึงตรงนี้ให้ทุกคนไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต็นท์และสัมภาระต่างๆ ✳จะเช่าอุปกรณ์ทำอาหาร ขัน ถังน้ำ สามารถเช่าได้ที่จุดนี้เลย แล้วค่อยไปจ่ายเงินด้านล่าง หลังจากลงจากเขาค่ะ ✳ ข้างบนนี้มีห้องน้ำแยกชาย-หญิง ถ้าจะอาบน้ำ ต้องตักจากลำธารใกล้ๆ มาอาบ ส่วนน้ำสำหรับดื่ม จะมีแท็งก์น้ำแยกไว้โดยเฉพาะค่ะ บรรยากาศที่ลานสนค่อนข้างคึกคัก แต่ละคนไม่มีใครยอมใคร นำอาหารสดขึ้นมาปรุงบนเขากันอย่างสนุกสนาน เต็นท์ตรงข้ามแอดมีหมูกระทะ ส่วนข้างๆ มีกุ้งเผา เบคอนย่าง ส่วนแอด…ไม่ไหวแล้ว เดินเหนื่อยมาก ขออะไรก็ได้ที่ได้กินเร็วๆ  หมดแรงจะเดิน ก็หมดแรงจะทำอาหารด้วย แนะนำสำหรับผู้ที่ไม่อยากทำอะไรให้ยุ่งยาก พกอาหารซองสำเร็จรูปขึ้นไปเลยค่ะ แค่จุ่มซองในน้ำร้อน รอจนอาหารร้อนก็ทานได้แล้ว คิดดูไฮโซแค่ไหนมานั่งทานสปาเก็ตตี้บนภูเขา หลังจากนอนพักเอาแรงจนเต็มอิ่ม ตอนเช้าถ้าใครตื่นไหว สามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ค่ะ แต่แอดตื่นไม่ทัน ก็เลยเดินเล่นแถวๆ จุดกางเต็นท์ ไปยืนดูวิวภูเขาและสายหมอกแทน และไฮไลท์ของทริปนี้ก็คือ ดอกหงอนนาค ที่เราอุตส่าห์ปีนป่ายเขาขี้นมาตั้ง 6.5 กิโลเมตรเพื่อมาชม ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ดอกหงอนนาคขึ้นกันอย่างหนาแน่น บานจนเต็มทุ่ง ได้รูปสวยๆ กลับบ้านกันอย่างจุใจ ✳ ดอกหงอนนาคจะบานในช่วงสาย ประมาณ 9 โมงไปจนถึงเที่ยงวัน เรามุ่งหน้าไปทางอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้ทางหลวงชนบทหมายเลข 1268 ผ่านตำบลมะม่วงเจ็ดต้น จากนั้นใช้ทางหลวงชนบทหมายเลข 1241 ผ่านตำบลบ่อเบี้ย จากนั้นตัดเข้าทางหลวงชนบทหมายเลข 1083 ผ่านอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยเส้นทางจะเป็นทางขึ้น-ลงเขา และโค้งเยอะมาก ถ้าใครจะวิ่งเส้นทางนี้ ต้องขับอย่างระมัดระวังด้วยนะคะ จากนั้น เราผ่านตัวอำเภอนาน้อย และถึงจุดหมายปลายทางที่ชายทุ่ง โฮมสเตย์ อำเภอนาหมื่น ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินทาง อำเภอนาหมื่นเป็นอำเภอที่เงียบสงบมาก เหมาะกับการมาพักผ่อนอย่างแท้จริง และวิวทุ่งนาเขียวขจี บริเวณหน้าที่พัก ก็ทำให้พวกเราฟินสุดๆ ถือเป็นการจบทริปอย่างอิ่มเอมใจ 

Let’s go to ภูสอยดาว : 569 กิโลเมตร จากบ้านไปดูดอกหงอนนาคที่ลานสน อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวตามคำขวัญ : ฉะเชิงเทรา

เที่ยวตามคำขวัญ : ฉะเชิงเทรา “แม่น้ำบางปะกงแหล่งชีวิต พระศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อโสธรพระยาศรีสุนทรปราชญ์ภาษาไทย อ่างฤาไนป่าสมบูรณ์” “แม่น้ำบางปะกงแหล่งชีวิต” แม่น้ำบางปะกง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทราที่ไหลผ่านหลายจังหวัด จึงมีชื่อเรียกหลายชื่อตามพื้นที่ เช่นเมื่อไหลผ่านจังหวัดปราจีนบุรี ก็เรียกว่าแม่น้ำปราจีนบุรีผ่านอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็เรียกว่าแม่น้ำบางปะกงนั่นเอง แม่น้ำสายนี้ถือเป็นแหล่งทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งอาชีพที่สำคัญของผู้คนทั้งในด้านการประมงและเกษตรกรรม เสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวฉะเชิงเทรามาช้านาน ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาล่องเรือชมทิวทัศน์และสถานที่สำคัญริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร แนวกำแพงเมืองโบราณ ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทราหลังเก่า ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี และอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ต่างๆ เป็นต้น “พระศักดิ์สิทธิ์หลวงพ่อโสธร” วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าหลวงพ่อโสธรได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา จึงผู้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัดแห่งนี้ เชื่อกันว่าเมื่อได้มาสักการะบูชาหลวงพ่อโสธรแล้ว ก็จะพบแต่ความสุขและสวัสดิมงคลในชีวิต นอกจากนี้ในหมู่ผู้ที่มีบุตรยากก็ยังนิยมมาขอลูกกันอีกด้วย และเมื่อสมดังใจอธิษฐานก็จะถวายละครชาตรี ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัย ทุกปีวัดโสธรวรารามวรวิหารจะมีการจัดงานประจำปีอย่างยิ่งใหญ่ 3 ครั้งด้วยกัน คือ ในเทศกาลตรุษจีน เทศกาลกลางเดือนห้า และเทศกาลกลางเดือนสิบสอง ตามปฎิทินจันทรคติของไทย ซึ่งทุกครั้งที่มีการจัดงานก็จะมีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เปิดทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 07.00-16.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ 08.00-16.30 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/pWFQzvkPVCs “พระยาศรีสุนทรปราชญ์ภาษาไทย” พระยาศรีสุนทรโวหาร เป็นชาวฉะเชิงเทรา นามเดิมของท่านคือ น้อย อาจารยางกูร เป็นผู้แต่งแบบสอนอ่านหนังสือไทย รวม 6 เล่ม ได้แก่ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์ ไวพจน์พิจารณ์ และกวีนิพนธ์ที่มีคุณค่าอีกหลายเรื่อง งานสำคัญชิ้นหนึ่งของท่านคือ เมื่อครั้งที่มีการปฎิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้มีส่วนร่วมในการแต่งโคลงเรื่องรามเกียรติ์เพื่อจารึกที่ระเบียงรอบพระอุโบสถด้วย ซึ่งจากผลงานในครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น”พระยาศรีสุนทรโวหาร”  นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นพระอาจารย์ถวายอักษร สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ อีกด้วย อนุสาวรีย์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ตั้งอยู่บนถนนศรีโสธรตัดใหม่ เขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา “อ่างฤาไนป่าสมบูรณ์” อ่างฤๅไน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ป่าผืนใหญ่บริเวณรอยต่อของ 5 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และสระแก้ว เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงคือ น้ำตกอ่างฤาไน เป็นน้ำตกที่อยู่ท่ามกลางป่าที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ระหว่างทางจะได้ชมนกชนิดต่างๆ และอาจพบสัตว์ป่าหายากอย่างไก่ฟ้าพญาลออีกด้วย การเดินทางไปยังน้ำตกค่อนข้างลำบาก เนื่องจากบริเวณโดยรอบเป็นป่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่า รักธรรมชาติและการผจญภัย แต่แนะนำว่าไม่ควรไปตามลำพัง ควรไปเป็นกลุ่ม และแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยพิกัด : https://goo.gl/maps/QWXLbVvqabo

เที่ยวตามคำขวัญ : ฉะเชิงเทรา อ่านเพิ่มเติม

มองฟ้า ชมผา ณ ภูหินร่องกล้า

“โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า”  เป็นโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า เพาะชำกล้าไม้ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับราษฎร ภายในโครงการมีการปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ให้เราได้เที่ยวชมพร้อมทั้งได้ความรู้ไปในตัวอีกด้วย การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (สายพิษณุโลก – หล่มสัก) ถึงสามแยกบ้านแยง แยกขวาผ่านบ้านห้วยตีนตั่ง – บ้านห้วยน้ำไซ – ฐานพัชรินทร์ เข้าสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า รวมระยะทางประมาณ 31 กิโลเมตร (เป็นทางผ่านก่อนขึ้นไปภูลมโล) ในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม–กุมภาพันธ์ ที่โครงการฯ จะเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่สวยงาม และยังมีทุ่งดอกกระดาษซึ่งจะบานสะพรั่งเรียงรายไปทั่วริมหน้าผาอีกด้วย  ภายในโครงการฯ ไม่มีที่พักหรือจุดกางเต็นท์ แต่สามารถพักได้ที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร อัตราค่าบริการบ้านพักและเต็นท์บ้านหลังเล็ก ราคา 800 บาท พักได้ 2-3 คนบ้านหลังใหญ่ ราคา 1,000 บาท พักได้ 4-5 คน เต็นท์ หลังละ 225 บาท พักได้ 2-3 คน  ติดต่อจองบ้านพัก โทร. 081 596 5977 ไฮไลท์ของเรามาแล้ว…หน้าผาที่เราจะมาเช็คอินกัน แต่ละผาอยู่บรเิวณเดียวกัน ห่างกันประมาณ 5-10 เมตร ซึ่งทางโครงการฯ ได้ตั้งชื่อเก๋ๆ เกี่ยวกับความรักขึ้นมาเพื่อเป็นกิมมิคเล็กๆ ให้ผู้มาเยือนได้มาถ่ายรูปกับชื่อผาต่างๆ กัน  เริ่มที่จุดแรกก็แฮปปี้แล้วค่ะ “ผาพบรัก” ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการพบเจออะไรใหม่ๆ รวมไปถึงความรักด้วย ใครกำลังอินเลิฟ เชิญไปโพสต์ท่ากันรัวๆ เลย  รักใครชอบใครก็บอกเค้าไปเลย ^^ ชมวิวบน “ผาบอกรัก” โรแมนติกไม่เบา หากมาในช่วงฤดูหนาวก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งบานให้เราได้ชมกันด้วย เข้ากับบรรยากาศสุดๆ ถัดมาเป็น “ผาคู่รัก” เมื่อบอกรักกันไปแล้วก็ต้องเป็นคู่รักแล้วล่ะ จะมาเป็นคู่หรือมาเดี่ยวๆ ก็เที่ยวได้หมด มาสัมผัสบรรยากาศหน้าฝนแบบนี้ มันช่างดีต่อใจ “ผารักยืนยง”…แค่ชื่อก็แสดงถึงความมั่นคงแล้ว อย่าพลาดที่จะควงแขนคนที่คุณรักมาแชะภาพกันด้วยนะคะ  “ผาไททานิค” มาถึงผานี้ เชื่อว่าทุกคนต้องจินตนาการภาพแจ็คกับโรสในภาพยนตร์เรื่องไททานิค กำลังยืนกางแขนอยู่บนโขดหินนั้นเหมือนกันแน่ๆ ซึ่งความใหญ่โตของโขดหินก็เปรียบได้กับเรือไททานิคและความรักอันยิ่งใหญ่ของทั้งคู่นั่นเอง จุดสุดท้าย “ผาสลัดรัก” ชื่ออาจจะดูไม่ค่อยแฮปปี้กับความรักสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่มีความรักที่ดีอยู่แล้ว ก็ถือซะว่าเราใช้โอกาสนี้สลัดความทุกข์ ความเศร้า ความกังวล และสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ออกไปจากชีวิตดีกว่า ส่วนคนที่ผิดหวังกับความรัก ก็อย่าได้แคร์ สลัดมันทิ้งไป แล้วรอรับสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตกันเถอะ!!

มองฟ้า ชมผา ณ ภูหินร่องกล้า อ่านเพิ่มเติม

ย้อนรอยตำนานชามไก่ ณ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี

“ย้อนรอยตำนานชามไก่ ณ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี” ที่อยู่: 32 ถ. วัดจองคำ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง 52000 โทร: 054 821 558-9 ต่อ 103, 061 273 3344เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น.ค่าเข้าชม: ชาวไทย ผู้ใหญ่ 60 บาท นักเรียนนักศึกษา 30 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท  การเดินทาง: จากเชียงใหม่ ไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-งาว ถึงสี่แยกสนามบิน เลี้ยวขวาไปตามถนนพระบาท ประมาณ 500 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระบาทซอย 1 ไปตามป้ายบอกทางประมาณ 500 เมตร ถึง The Muse Shop และพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดีพิกัด: https://goo.gl/maps/ndEjvyjAtzG2 ประวัติของอุตสาหกรรมเซรามิคในลำปางนั้นเริ่มมาจาก อาปาอี้ (หรือซิมหยู) แซ่ฉิน ชาวจีนที่อพยพมาอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นช่างผู้เชี่ยวชาญการปั้นและทำเตาเผาจากเมืองจีน ได้พบว่าชาวบ้านอำเภอแจ้ห่มใช้แร่ดินขาวมาทำหินลับมีด ก็เกิดความสนใจ จึงได้ชักชวนเพื่อนๆ เดินทางไปค้นหาแหล่งดินขาวเพื่อนำมาทำถ้วยชาม จนกระทั่งพบแหล่งดินขาวที่บ้านปางค่า อำเภอแจ้ห่ม ซึ่งเป็นดินคุณภาพดี มีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำเครื่องปั้นดินเผา จึงได้เริ่มทดลองผลิตเครื่องปั้นเซรามิค  และต่อมาได้ตั้งโรงงานเซรามิคแห่งแรกของจังหวัดลำปางชื่อว่า “โรงงานร่วมสามัคคี” และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของตำนานการทำชามตราไก่ จนกลายเป็นแหล่งผลิตชามตราไก่ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศค่ะ เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็นชามตราไก่ เหตุผลก็เพราะเดิมลำปางมีชื่อว่าเมือง “กุกกุฏนคร” ซึ่งแปลว่าไก่ขาว ช่างจึงนิยมวาดลวดลายไก่ลงไปในถ้วยชามเซรามิค จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเซรามิคเมืองลำปางมาจนทุกวันนี้ ความพิเศษของชามตราไก่จากโรงงานนี้ก็คือ เป็นชามไก่ต้นตำรับ ที่มีความแข็งแรงทนทาน มีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลายไก่ที่มีลำตัวสีส้ม หางและขาสีดำ เดินบนหญ้าสีเขียว แต้มด้วยดอกไม้ใบไม้ต่างๆ สีสันสวยงาม และที่สำคัญคือวาดด้วยมือทุกใบด้วยค่ะ ปัจจุบันโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาของอาปาอี้ ได้รับการสืบทอดสู่ทายาทรุ่นที่ 2 ภายใต้ชื่อ “โรงงานธนบดีสกุล” ซึ่งชามตราไก่นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อที่ขายดีมากๆ จนมีการพัฒนารูปแบบออกไปหลากหลาย รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากเซรามิคเป็นของประดับตกแต่งและของสะสมอีกมากมาย พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี ก่อตั้งโดยนายพนาสิน ธนบดีสกุล เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่อาปาอี้ ต้นตระกูลธนบดีสกุล ภายในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับต้นกำเนิดชามตราไก่ เตามังกรโบราณ ชามตราไก่จิ๋วที่เล็กที่สุดในโลก ชามไก่ทองคำ ขลุ่ยเซรามิคเลาแรกของโลก และอื่นๆ อีกมากมายที่รอให้เพื่อนๆ ไปชมกันค่ะ นอกจากจะได้ชมนิทรรศการและเลือกซื้อเซรามิคต่างๆ แล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ก็ยังมีการสาธิตการทำชามตราไก่แบบโบราณให้เราได้ชมกันในวันอังคาร–อาทิตย์ (งดสาธิตทุกวันจันทร์) และมีกิจกรรม Workshop ให้ผู้ที่สนใจได้โชว์ฝีไม้ลายมือในการวาดลวดลายต่างๆ ลงบนเซรามิคอีกด้วย ราคาคนละ 60-300 บาท ตามขนาดของเซรามิคค่ะ ว้าววววว ดูแล้วน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยคะ ถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสไปเที่ยวลำปางก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี และวาดลวดลายต่างๆ ลงบนเซรามิคเพื่อนำไปเป็นของที่ระลึกกลับไปฝากที่บ้านกันด้วยนะคะ ^^

ย้อนรอยตำนานชามไก่ ณ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี อ่านเพิ่มเติม

ลองมอง…มุมใหม่ : บุรีรัมย์

ลองมอง…มุมใหม่ : บุรีรัมย์ แอดจะพาไปมองมุมใหม่กันที่ไหนบ้าง ตามมาเลย เริ่มกันที่ สถานีรถไฟ จังหวัดบุรีรัมย์ หลายคนอาจจะสงสัยว่าสถานีรถไฟมีอะไรให้เที่ยว? จริงๆ ก็ไม่มี ฮ่าๆๆ แต่เราก็ทำให้มันมีอะไรสิ ด้วยการไปยืนถ่ายรูปกับป้ายชื่อสถานีจังหวัดนั้นๆ เก๋ๆ เท่ๆ โพสต์ลงโซเชียล บอกเพื่อนให้รู้ว่าเรามาถึงบุรีรัมย์แล้ว หรือจะเป็นรางรถไฟ มุมสุดคลาสสิกที่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายมักจะมาถ่ายรูปชุดครุยกันในช่วงรับปริญญา พิกัด : https://goo.gl/maps/5FRZrhvQozF2 แฟนเพจคนไหนเคยถ่ายรูปกับสถานีรถไฟ มาสารภาพด้วยการโพสต์รูปให้แอดดูเดี๋ยวนี้เลยนะ นิวยอร์กซิตีมีสะพานบรูคลินทอดข้ามแม่น้ำอีสต์ บุรีรัมย์ซิตีก็มีสะพานแขวนลาวาทอดข้ามปากปล่องภูเขาไฟเหมือนกันนะจ๊ะ ธรรมดาที่ไหนล่ะ สะพานแขวนแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “สะพานแขวนลาวา” ตั้งอยู่ที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ใน อ.เมืองบุรีรัมย์นั่นเอง ลองไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปสวยๆ เท่ๆ กับสะพาน มีฉากหลังเป็นวิวปากปล่องภูเขาไฟ เก๋ไก๋ไม่เหมือนใครเลยนะจะบอกให้ พิกัด : https://goo.gl/maps/aCU54YvohaT2 ใครเคยไปมาแล้วบ้าง เอารูปมาโชว์หน่อย ว่าจะสวยสู้สะพานบรูคลินได้หรือเปล่า ที่ถัดมาก็คือที่ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน หรือวัดระหาน ภายในวัดประดิษฐานพระมหาธาตุรัตนเจดีย์ เป็นปูชนียสถานที่ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แต่!! ที่นี่ยังมีจุดเด่นอีกอย่างที่วัดแห่งอื่นไม่มี ที่อื่นอาจจะมีน้องหมาน้องแมว แต่ที่นี่มีนกยูงสุดสวยอยู่เป็นจำนวนมาก!! นอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ยังได้เห็นเจ้านกยูงสวยๆ เดินไปเดินมาอวดโฉมให้เราดูด้วยนะ พิกัด : https://goo.gl/maps/jB4h3igFmc92 ใครเคยไปมาแล้ว มีรูปสวยๆ เก๋ๆ เอามาแบ่งกันชมได้นะครับผม มาต่อกันที่ปราสาทหินเมืองต่ำ  ปราสาทแห่งนี้เต็มไปด้วยภาพสลักที่งดงามมากมาย ลองนึกภาพเราแต่งชุดไทยสวยๆ หรืออาจจะจินตนาการว่าตัวเองเป็นเจ้าแม่นาคีที่สง่างาม เดินเฉิดฉายถ่ายรูปในปราสาทแห่งนี้ รูปคงจะออกมางดงามอลังการ ไม่แพ้กับโบราณสถานอื่นๆ ที่เค้านิยมไปถ่ายรูปกันแน่นอน พิกัด : https://goo.gl/maps/QhVhN6seBto ถ้าเมืองอยุธยามีแม่หญิงการะเกด แล้วเมืองบุรีรัมย์ล่ะ มีแม่หญิงงามสู้แม่หญิงการะเกดได้หรือไม่ ข้าอยากชมนัก ผู้ใดมีรูปถ่ายที่ปราสาทหินเมืองต่ำสวยๆ แบ่งปันให้ชมกันได้หนา รอดูตะวันลับฟ้า ส่งท้ายวันกันที่ปราสาทหินพนมรุ้ง หลายๆ คนอาจจะรอชมปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ลอดทะลุ 15 ช่องประตู ซึ่งใน 1 ปีจะเกิดขึ้นเพียง 4 ครั้งเท่านั้น แต่วันนี้แอดอยากจะบอกว่า ไม่ต้องรอช่วงปรากฎการณ์นั้น เราก็มีรูปสวยๆ ไปอวดเพื่อนๆ ได้เหมือนกัน อย่างรูปนี้ รอถ่ายตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ให้เงาของปราสาทบดบังดวงอาทิตย์ทีคล้อยลงต่ำ แล้วเราก็จะได้รูปปราสาทหินที่ดูลึกลับเต็มไปด้วยมนต์ขลัง แบบนี้เลย รูปนี้ถ่ายตอนประมาณ 17.30 น. ซึ่งถ่ายเสร็จปุ๊บก็ต้องรีบกลับ เพราะปราสาทจะปิดตอน 18.00 น. ฮ่าๆๆๆ พิกัด : https://goo.gl/maps/1EDAwwvaFr62 อ่ะ ไหน ใครมีรูปปราสาทหินที่สวย ล้ำ ไม่ซ้ำใคร แอดขอชมหน่อยจะได้ไหมครับ!

ลองมอง…มุมใหม่ : บุรีรัมย์ อ่านเพิ่มเติม

ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต

เกร็ดความรู้ :  ในสมัยอยุธยาพิกัดเดิมตรงนี้ก็คือ “ตลาดผ้าเหลือง” ซึ่งขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ผ้าไตรจีวร เครื่องทองเหลือง เป็นต้น ดังที่ปรากฏอยู่ในละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” นั่นเองค่ะ มาเยือน จ.อยุธยา ทั้งทีเราต้องไม่พลาดที่จะทานกุ้งเผาอยุธยานะคะ เพราะกุ้งเผาอยุธยานั้นสด เนื้อแน่น หวานอร่อย แถมยังมีมันกุ้งเยิ้มๆ ด้วย ถ้าได้ทานพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสแซ่บ แอดรับรองว่าเพื่อนๆ จะติดใจ (บรรยายเองแอดยังแอบน้ำลายไหลเลย) เรามาต่อกันที่เมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสแซ่บ ที่เด็ดถึงทรวงดวงฤทัยกันค่ะ ดูจากรูปเพื่อนๆ ก็คงจะเดาได้ว่ารสชาติต้องเข้มข้นแน่ๆ แต่แอดบอกเลยว่าของจริงเข้มข้นกว่าในรูปเยอะค่ะ ยิ่งเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเลที่ใส่กุ้งและปลาหมึกตัวโตๆ พร้อมไข่ต้มยางมะตูม พอได้ลองทานแล้วฟินสุดๆ เลยค่ะ กุ้งอบวุ้นเส้นเป็นอีกหนึ่งเมนูที่แอดแนะนำเลยค่ะ ที่อื่นอาจจะใช้กุ้งตัวเล็กทำให้เราฟินไม่สุด แต่ที่นี่นอกจากวุ้นเส้นที่มีรสชาติกลมกล่อมไปด้วยเครื่องเทศต่างๆ แล้ว ยังให้กุ้งตัวใหญ่อีกด้วยค่ะ แถมน้ำจิ้มซีฟู๊ดยังแซ่บ ซี๊ด จี๊ดสะใจอย่าบอกใครเชี่ยว พักเรื่องกุ้ง แล้วมาต่อกันที่ไก่บ้างนะคะ ไก่ทอดของที่นี่ทำเอาแอดไม่สามารถเดินผ่านไปโดยที่ไม่แวะไม่ได้เลย เพราะกลิ่นของไก่ทอดช่างหอมอบอวล เย้ายวนใจสุดๆ มีความกรอบนอกนุ่มในเมื่อได้ลองทาน แถมไก่ทอดของที่นี่ยังมีหลายสูตรให้เลือกชิมอีกด้วย สำหรับข้าวคลุกกะปิของที่นี่ก็มากไปด้วยเครื่องเคียงต่างๆ ครบตามต้นตำรับของข้าวคลุกกะปิอย่างแน่นอน แถมแม่ค้ายังน่ารัก ใจดี และเป็นกันเองอีกด้วยค่ะ สำหรับข้าวน้ำพริกกะปิและปลาทูของร้านนี้ ทำเอาแอดท้องร้องเลยทีเดียวค่ะ เพราะมีปลาทูตัวโต มากไปด้วยผักต้มนานาชนิด อีกทั้งน้ำพริกกะปิก็ยังเรียกน้ำย่อยของแอดอีกด้วย ขนมไหมฟ้าหรือขนมหนวดมังกร เป็นขนมมงคลของคนจีนค่ะ ทำมาจากน้ำผึ้งที่นำมากวนผสมกับแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวโพด แป้งข้าวเหนียว และแป้งข้าวโอ๊ตค่ะ นำมานวดดึงๆ ยืดๆ จนกลายเป็นเส้นฝอยเล็กๆ จากกนั้นนำมาห่อไส้ ซึ่งมีทั้งเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่ว และงาขาวค่ะ เคล็ดลับในการทาน สามารถทานได้ทั้งแบบปกติและแบบแช่เย็นค่ะ ถ้าทานตอนเสร็จใหม่ๆ ขนมจะยังนุ่มๆ เมื่อกัดลงไปจะสามารถยืดได้เหมือนชีสเลยล่ะค่ะ ส่วนถ้านำไปแช่ตู้เย็น ขนมก็จะแข็งขึ้นนิดนึง ทำให้ทานง่ายขึ้น อร่อยไปอีกแบบค่ะ ใครที่ชื่นชอบทุเรียน ที่นี่ไม่ได้มีทุเรียนขาย แต่มีลอดช่องเส้นทุเรียนที่จะมายั่วยวนเหล่าบรรดาคอทุเรียนให้ได้ซื้อกลับไปทานกันค่ะ ไอศครีมวาฟเฟิลของที่นี่มีไอศกรีมหลายหลายรสให้เราได้เลือกชิมกันค่ะ แต่ที่แอดไปชิมมาคือรสกะทิและสตรอว์เบอร์รีค่ะ รสกะทิได้ความหวานมันของกะทิแบบสุดๆ เพราะไม่ผสมนม ส่วนรสสตรอว์เบอร์รีก็หวานอมเปรี้ยวนิดๆ เรียกได้ว่าอร่อยกำลังดีเลยล่ะค่ะ ส่วนวาฟเฟิลก็กรอบนอกนุ่มในแอดอยากให้ลองไปทานกันดูนะคะ ไข่ปลาทอดเป็นอาหารที่พบเห็นได้ตามตลาดทั่วไปในภาคใต้ค่ะ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมนูสุดฮิตที่ใครๆ ต่างก็อยากลิ้มลอง ไข่ปลาที่ใช้นั้นคือไข่ปลาตะเพียนที่นำมาปรุงรสชาติ แล้วนำมาทอดเป็นชิ้นเล็กๆ ลักษณะคล้ายขนมบ้าบิ่น ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากลองชิม ก็ไปกันได้ที่ตลาดแห่งนี้เลยค่า แค่เห็นแพ็กเกจก็ดูน่าสนใจแล้วใช่มั้ยละคะ ที่เพื่อนๆ เห็นอยู่นั้นคือก๋วยเตี๋ยวลุยสวนที่นำมาใส่เข่งปลาทูขาย เป็นการสร้างมูลค่าและเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่แอดขอบอกว่าก๋วยเตี๋ยวลุยสวนของที่นี่ไม่ได้มีแค่รูปลักษณ์ที่น่าทานอย่างเดียวนะคะ เพราะยังมีความอร่อยซ่อนอยู่ด้วย พักเรื่องกิน แล้วมาชมอีกหนึ่งไฮไลท์ของตลาดแห่งนี้กันดีกว่าค่ะ จุดนี้เรียกถือเป็นมุมมหาชนเลยก็ว่าได้ ใครๆ ที่มาเที่ยวต่างก็จะต้องถ่ายรูปมุมนี้กลับไปอวดเพื่อนๆ กันค่ะ เพราะตรงนี้คือท่าน้ำบ้านหมื่นสุนทรเทวา ที่สร้างจำลองมาจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ประหนึ่งว่าตนเองเป็นแม่หญิงการะเกด ที่มานั่งรอคุณพี่หมื่นกลับเรือน แอบกระซิบว่ามุมนี้ตอนกลางคืนสวยสุดๆ ล่ะค่ะ ^^ นอกจากเมนูอาหารคาวหวานที่แอดนำมาเสิร์ฟเรียกน้ำย่อยของเพื่อนๆ แล้ว ที่นี่ยังมีอีกหลายเมนูที่แอดอยากให้ลองไปทานกันดูค่ะ เพราะถ้านำมาเล่าให้ฟังกันหมด เพื่อนๆ ก็จะไม่ตื่นเต้นน่ะสิคะ อิอิ ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต เป็นตลาดย้อนยุคยามค่ำคืนที่แสนพิเศษค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ แสงไฟสวยงามที่ประดับตกแต่ง และอาหารมากมายหลายชนิด มันช่างทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินสุดๆ เลยค่ะ มาเที่ยวกันเยอะๆ นะคะ

ตลาดอยุธยาไนท์มาร์เก็ต อ่านเพิ่มเติม

อุทัยทริป : 10 จุดห้ามพลาดเมืองอุทัยธานี

อุทัยทริป : 10 จุดห้ามพลาดเมืองอุทัยธานี 1. ชุมชนเรือนแพ แม่น้ำสะแกกรัง.มนต์เสน่ห์บนสายน้ำสะแกกรัง สะท้อนวิถีชีวิตชาวอุทัยธานี ที่ยังคงความเรียบง่ายไม่เปลี่ยนแปลง…ไม่ว่าจะมีโอกาสมาอุทัยกี่รอบก็แล้วแต่ การล่องเรือเที่ยวชมชุมชนเรือนแพบนแม่น้ำสะแกกรัง ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมหลักที่แอดไม่เคยพลาด หรือถ้าใครไม่สะดวกล่องเรือ ก็สามารถยืนชมบรรยากาศชุมชนเรือนแพได้ตลอดสองฟากฝั่งริมแม่น้ำสะแกกรัง.สมัยก่อนเวลาพ่อค้าล่องเรือผ่านมาถึงแม่น้ำสายนี้ จะเห็นต้นสะแกที่ออกดอกเล็กๆ ชูช่อยาวสีเขียวอมเหลือง ห้อยระย้าลงมาตามริมฝั่งน้ำ ถึงแม้ว่าวันนี้ดอกสะแกอาจไม่ค่อยมีให้เห็นกันเยอะเหมือนสมัยก่อน แต่เรายังคงสัมผัสได้ถึงมนต์เสน่ห์ของแม่น้ำสะแกกรังผ่านเรือนแพไม้ไผ่ ที่ตั้งอยู่เรียงรายไปตามลำน้ำ.พิกัด : https://goo.gl/maps/U4JX8cp7hLu ค่าบริการกิจกรรมล่องเรือ.– บริการเรือหางยาวมีหลังคา ล่องแม่น้ำสะแกกรัง นั่งได้ 10-12 คน ล่องเรือภายในเขตเทศบาล ราคา 250 บาท หากไปถึงวัดท่าซุงราคาประมาณ 800 บาท– สำหรับเรือขนาดใหญ่ นั่งได้ 40 คน ราคาเหมาประมาณ 4,000 บาท (ไม่รวมอาหารเย็น) 2. วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ริมน้ำสะแกกรัง ที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตชาวอุทัยธานีมาหลายร้อยปี ด้วยความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็น “มณฑปแปดเหลี่ยม” ศิลปะผสมระหว่างไทย จีน และตะวันตก “เจดีย์สามสมัย” เจดีย์ 3 องค์ ทีมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งเจดีย์หกเหลี่ยมแบบอยุธยา เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบรัตนโกสินทร์ และเจดีย์ทรงลอมฟางแบบสุโขทัย  พิกัด : https://goo.gl/maps/ktPxicCU3wy นอกจากนี้ทั้งด้านในและด้านนอกพระอุโบสถและพระวิหาร ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ เริ่มตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน ที่วาดโดยฝีมือของช่างหลวงในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อีกหนึ่งศิลปะล้ำค่าที่บอกเล่าความผูกพันของชาวบ้านกับพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี 3. วัดสังกัสรัตนคีรี หากขับรถเข้ามาจากทางหลวงหมายเลข 32 เข้าเมืองอุทัยธานี ยังไม่ทันถึงตัวเมืองดีเราจะเห็นยอดเจดีย์ของวัดสังกัสรัตนคีรีตั้งโดดเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล นอกจากการมากราบสักการะ “พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานีที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารแล้ว อีกหนึ่งเสน่ห์ของวัดแห่งนี้ก็คือ งานประเพณีตักบาตรเทโว ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี ประเพณีสำคัญของจังหวัดที่มีชื่อเสียงมายาวนาน กับภาพของพระสงฆ์ราว 500 รูป เดินลงบันไดจากยอดเขาสะแกกรังมารับบิณฑบาตร ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนรอใส่บาตรอยู่ที่ลานวัดทางด้านล่าง พิกัด : https://goo.gl/maps/axEb5Ra2PhT2 ภาพจากจุดชมวิววัดสังกัสรัตนคีรี 4. วัดจันทาราม (วัดท่าซุง).อีกหนึ่งวัดที่เป็นเหมือนแลนด์มาร์คสำคัญของอุทัยธานี มาเที่ยววัดท่าซุงต้องไม่พลาดชมวิหารแก้ว ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง ตามกำแพง เสา และเพดานวิหารประดับด้วยแก้วที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับ เป็นภาพที่สวยงามแปลกตาไม่เหมือนใคร.พิกัด : https://goo.gl/maps/92Xm48JffMQ2 ความอลังการของปราสาททองคำก็เป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของวัดนี้ สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวาระที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 5. เกาะเทโพ.หนึ่งในเส้นทางในฝันของนักปั่นบนหลังอาน ที่อยากจะนำสองล้อคู่ใจมาปั่นลัดเลาะรอบเกาะ ท่ามกลางบรรยากาศสุดสดชื่น ผ่านเส้นทางทุ่งนา ไร่สวนส้มโอ .เกาะเทโพเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำสะแกกรัง และแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันทางจังหวัดยังได้จัดทำเส้นทางจักรยานปั่นเที่ยวตัวเมืองและเกาะเทโพ เพื่อเป็นการช่วยลดมลภาวะ และยังเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนต่างๆ บนเกาะได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย  พิกัด : https://goo.gl/maps/rcCwPhhaCx32 6. บ้านจงรัก.ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณ ไล่ไปตั้งแต่ของเล่น ของใช้ภายในบ้าน เครื่องครัว ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในสมัยโบราณ ซึ่งล้วนเป็นของสะสมของบรรพบุรุษมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นล่างทำเป็นคาเฟ่ร่วมสมัย มีทั้งชา กาแฟสด ขนมหวานต่างๆ รวมไปถึงน้ำสมุนโพรโฮมเมดสูตรโบราณด้วย.สำหรับใครที่ชอบสะสมของเก่า ถ้ามาเที่ยวอุทัยธานีอย่าลืมแวะมาเยี่ยมชม เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความทรงจำในอดีตกันได้ที่นี่ “บ้านจงรัก” .เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และจันทร์ เวลา 07.30 – 17.00 น. (พิพิธภัณฑ์ เปิดเวลา 09.00 น.).พิกัด : https://goo.gl/maps/qJeAh35aiVP2 7. บ้านนกเขา.ห้องแถวโบราณขนาดหนึ่งคูหาแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่รวบรวมของเก่าของสะสมมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นภาพถ่ายในอดีต เช่น ภาพถ่ายโรงฝิ่น ซึ่งการสูบฝิ่นเคยเป็นวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายจีนในสมัยก่อน รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของชาวอุทัยธานี.พิกัด : https://goo.gl/maps/nGFC7Dbu7LR2 8. ถนนคนเดินตรอกโรงยา (ตลาดเก่าบ้านสะแกกรัง).ภาพของตรอกโรงยาในอดีต ก่อน พ.ศ.2500 ที่เคยเป็นแหล่งซื้อขายและสูบฝิ่นกันอย่างเสรี ค่อยๆ ซบเซาลง และเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน หลังจากการประกาศให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติดที่ผิดกฎหมาย.ในปัจจุบันตรอกโรงยาถูกปลุกขึ้นมาจากความทรงจำอีกครั้งในรูปแบบของถนนคนเดินใจกลางเมืองอุทัยธานี ที่มีของให้เลือกชอปเลือกชิมกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหวาน อาหารถิ่น ของกินเล่นต่างๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ความเจริญรุ่งเรืองของตรอกโรงยาในอดีต ก็ยังคงปรากฎร่องรอยผ่านบ้านไม้เก่าๆ ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านค้าต่างๆ .พิกัด : https://goo.gl/maps/8YpFcos8tt42 9. หุบป่าตาด.ออกนอกตัวเมืองมาหลงป่าดงดิบ เดินเข้าสู่ยุคดึกดำบรรพ์กันที่ หุบป่าตาด อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี.ทางเข้าหุบเป็นถ้ำมืดสนิทต้องใช้ไฟฉายส่องทาง แต่ระยะทางไม่ไกลมากนัก เมื่อเดินลอดผ่านเข้ามาภายในหุบมีสภาพเป็นป่าดงดิบ ที่อากาศเย็นและชื้น พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยต้นตาด พืชยุคดึกดำบรรพ์ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับต้นปาล์ม มีใบเป็นแฉก ชอบขึ้นในพื้นที่ป่าดงดิบหนาทึบ.เดินเข้าไปเกือบสุดเส้นทางจะพบกับถ้ำอีกหนึ่งถ้ำ มีลักษณะเป็นโถงแบบเปิดโล่ง ตรงจุดนี้ถ้าอยากถ่ายภาพให้สวย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือระหว่าง 11.00-13.00 น. ซึ่งแสงจะส่องลงมายังหุบป่าตาดมากที่สุด (เพื่อนๆ สามารถเข้าชมหุบป่าตาดได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 น.).หุบป่าตาดสามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้ามาช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน จะมีโอกาสได้เห็นกิ้งกือมังกรสีชมพู สัตว์ป่าดึกดำบรรพ์ ซึ่งพบได้ที่นี่เพียงที่เดียวในประเทศไทยเท่านั้น.พิกัด : https://goo.gl/maps/xzhcfradnt22 10. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง.หนึ่งในผืนป่ามรดกโลกของพวกเรา ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากที่นี่ประกอบไปด้วยป่าถึง 5 ใน 7 ชนิด ที่พบในเขตร้อนชื้น ได้แก่ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าทุ่งหญ้า ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ก่อให้เกิดความหลากหลายของพืขพันธุ์และสัตว์ต่างๆ บางชนิดเป็นสัตว์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เช่น ควายป่า เลียงผา เสือดาว หมาใน ไก่ป่า นกยูงไทย และยังมีแมลงต่าง ๆ อีกมากมาย . พิกัด : https://goo.gl/maps/3a6R2BaPyBQ2 ถึงแม้ว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้เข้าชมทั่วไป เนื่องจากอยู่ในเขตอนุรักษ์ที่มีความเปราะบาง แต่ก็มีการกำหนดจุดผ่อนปรนให้ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาและชมธรรมชาติได้ ดังนี้.– บริเวณสำนักงานเขตฯ อำเภอลานสัก ซึ่งมีกิจกรรมเดินป่าตามรอยเส้นทางของเสือ และอนุสรณ์สถาน “สืบ นาคะเสถียร” – บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าไซเบอร์ อำเภอห้วยคต ซึ่งมีกิจกรรมตั้งแคมป์ริมน้ำตกไซเบอร์ – บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยแม่ดี อำเภอบ้านไร่ มีกิจกรรมตั้งแคมป์ตามโครงการห้องรับรองแขกห้วยขาแข้ง และมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้รองรับ.เนื่องจากไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ดังนั้นการเดินทางไปศึกษาธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จึงต้องติดต่อขออนุญาตเสียก่อน โดยสามารถยื่นคำขอได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน

อุทัยทริป : 10 จุดห้ามพลาดเมืองอุทัยธานี อ่านเพิ่มเติม

อยู่แพ…อยู่อุทัย

อยู่แพ…อยู่อุทัย มีกฎ กติกา มารยาทด้วยนะ อ่านตรงนี้กันก่อน แผนที่ ตื่นมาอีกทีก็เช้าวันเสาร์ละ (พอดีมีประตูโดเรมอน) เราออกเดินทางกันดีกว่า 200 กว่าโลเท่านั้น หลับตาแป๊บเดียวก็ถึง พอเข้าตัวเมืองอุทัยก็ปักหมุดตามนี้เลยhttps://goo.gl/maps/NurEsb2Fewy ที่พักอยู่ใกล้วัดถ้าหาไม่เจอก็นอนวัดนะจ๊ะ (อ่ะล้อเล่น) ยังไงก็หาเจออยู่แล้วเพราะมีป้ายบอกชัดเจนและพี่กู(เกิ้ล) ไม่หลอกเรา พอถึงก็จอดรถไว้บนตลิ่งแล้วเดินลงไปเพราะที่พักเป็นแพซึ่งจะต้องอยู่ในน้ำ (ถูกมั้ย)  ถึงแล้วแพของเรา (เป็นของเราในวันนี้) มีความน่ารักกิ๊บเก๋จนอยากจะนอนไปอีก 5 คืน อยากบอกว่าถ้าไม่บอกจะไม่รู้เลยว่าเราเดินอยู่บนแพเพราะนิ่งมากไม่โคลงเคลงให้เวียนหัวเวียนหน้า เดินออกไปหน้าแพกินบรรยากาศกันหน่อย มองไปฝั่งตรงข้ามเป็นแพเพื่อนบ้านโบกมือทักทายไปมา เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมเยียนนะ ที่นี่นอกจากมานอนแพชิลล์แล้วยังมีเรือล่องแม่น้ำสะแกกรังสนใจจับจองก็บอกได้กับพี่ฐาหรือน้องที่ประจำแพเลย เรือเป็นเรือหางยาวมีหลังคา ชุมชนเขาร่วมกันจัดให้ นั่งได้ 6- 7 คนต่อลำ ใช้เวลาเที่ยว 45 นาทีพรุ่งนี้เรานัดเรือไว้ละตอนเจ็ดโมงเช้าแดดจะได้ไม่แรงมาก แล้วพอล่องเสร็จชั่วโมงกว่าๆ ก็จะกลับมากินข้าวเช้าได้พอดี (ดูดีมีวิสัยทัศน์ แต่จริงๆ คือกลัวตัวเองหิว) คืนนี้นอนนี่นะ ท่ามกลางบรรยากาศสวยงามสงบเงียบของแม่น้ำสะแกกรังยามค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง ยังไงก็หลับฝันดี วันที่ 2  7 โมงเช้าวันนี้ เรานัดลุงคนขับเรือไว้จะไปล่องเรือเที่ยวแม่น้ำกัน ลุงมาตามเวลาเป๊ะ ก่อนเรือออกลุงคือ คนขับเรือ แต่พอเรือออกเท่านั้นล่ะ ลุงคือ all in one ตั้งกะขับเรือไปพร้อมๆ กับบรรยายที่เที่ยวและปล่อยมุกที่ขำมั่งไม่ขำมั่ง ลุงพาเราล่องเรือผ่านบ้านเศรษฐีเมืองอุทัย บ้านสมเด็จพระเทพฯ หมู่เรือนแพริมน้ำ รีสอร์ทต่างๆ อะไรเป็นของใครมาแต่ไหน ลุงช่างสรรหามาเล่าได้ไม่จบสิ้นจนอยากจะมอบโล่ให้ลุง ขากลับก่อนถึง “อยู่แพ” ลุงแวะให้ขึ้นไปเที่ยววัดอุโปสถาราม หรือวัดโบสถ์ วัดโบสถ์ มีจุดถ่ายรูปที่ห้ามพลาดคือ ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังในวิหารที่มีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บาตรฝาประดับมุกที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 มณฑป 8 เหลี่ยม ลักษณะผสมตะวันตก และแพโบสถ์น้ำที่ตั้งอยู่หน้าวัดสร้างขึ้นเพื่อรับเสด็จรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2449 เราวนเวียนถ่ายรูปอยู่ในวัดร่วม 20 นาที นึกได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้าก็พาลหมดแรงลงซะงั้นจึงเดินโดยพร้อมเพรียงมาขึ้นเรือโดยที่ลุงไม่ต้องไปตามให้เหนื่อย จุดแวะพัก Rc สุดท้ายก่อนจบทัวร์เรือลุงยังแวะแพป้าเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามเยื้องกับแพพักของเราที่โบกมือทักทายกันเมื่อวานเพื่อให้เราชอปปิง ช่างเป็นการจัดทัวร์ที่มืออาชีพจริงๆ พาเที่ยวแล้วตบท้ายด้วยการพาชอปปิงให้ฟินได้อีก สิ่งของบนแพของคุณป้าที่ลุงพาไปชอปนั้น สอบถามได้ความว่านางล้วนทำเอง เช่น น้ำพริก ปลาย่าง ขิงดอง มะตูมแห้ง เยอะแยะจนเราสงสัยว่าแกเอาเวลาที่ไหนมาทำเนี่ย ป้าก็บอกว่านี่ก็ทำเลี้ยงคนป่วยที่นอนในแพน่ะล่ะ ฟังแล้ววิญญาณนางฟ้าก็มาทันที ซื้อสิ รออะไร ซื้อเสร็จก็กลับแพไปรับ breakfast กันซะที Breakfast ที่นี่มีความเก๋ไม่เลิกไม่รา ชนะทุก ABF เพราะเป็นข้าวหมูกรอบ หมูแดง ข้าวมันไก่เจ้าอร่อยของเมืองอุทัยใส่ห่อใบตองมารอไว้ มีท้องเท่าไรก็ใส่เข้าไปไม่ต้องแย่งกันเพราะเค้าเตรียมไว้เกินจำนวนคนเข้าพักอยู่แล้ว แถมด้วยกาแฟโอวัลตินชงกันตามสบายใจชอบ  อิ่มหนำสำราญแล้วก็ถึงเวลาต้องจากจร แม้ว่าอยากจะนอนต่ออีกซักคืนด้วยบรรยากาศแสนสบาย แต่ด้วยมนุษย์เงินเดือน (น้อย) อย่างเราก็ควรจะกลับมาเพื่อทำงานที่เรารักต่อ (เหรอ) แล้ววันไหนอยากชาร์จแบตให้ตัวเองอีกก็ค่อยแพ็คกระเป๋าเดินทางกันอีกทีเนอะ

อยู่แพ…อยู่อุทัย อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top