สถานที่ท่องเที่ยว

ปอดแห่งปากน้ำปราณ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ศูนย์ฯ สิรินาถราชินี เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าชายเลนจากนากุ้งร้างแห่งแรกของประเทศไทย ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งเสด็จฯ อำเภอปราณบุรี พ.ศ.2539 ภายในมีเส้นทางเดินชมป่าชายเลน ระยะทางประมาณ 850 เมตร.ก่อนเข้าไป เราจะได้รับบัตรผู้เยี่ยมชมจากพี่ยามบริเวณทางเข้า ให้นำบัตรไปลงทะเบียนเพื่อเข้าชมที่อาคารต้อนรับก่อน จุดแรกที่เราจะได้เจอคือ บ้านแมลง เป็นการนำเศษวัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เช่น เศษไม้ เศษอิฐต่างๆ มาวางเรียงกันเป็นชั้นๆ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของแมลง ซึ่งบ้านแมลงมีประโยชน์กับระบบนิเวศของป่าชายเลนมากมาย เช่น เป็นที่อยู่อาศัยของแมลง ทดแทนที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงสร้างสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ด้วย ระหว่างทางเราจะได้พบกับต้นโกงกางที่มีรากขนาดใหญ่หลายต้น ซึ่งต้นโกงกางเหล่านี้ไม่ได้ถูกตัดออกไปในช่วงที่มีการทำนากุ้ง จึงคาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 60 ปี แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนแห่งนี้ ภายในศูนย์ฯ สิรินาถราชินี จะมีสะพานเป็นทางเดินยาว เพื่อให้เราเดินสำรวจป่าชายเลนได้ทั่ว ซึ่งระหว่างทางจะมีจุดให้ความรู้เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับป่าชายเลน เช่น พันธ์ุไม้ในป่าชายเลน และระบบรากของพันธ์ุไม้แต่ละชนิด.อย่างจุดนี้ จะให้ความรู้เกี่ยวกับการทำประมงของชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีการจัดแสดงเครื่องมือทำการประมง เช่น แห แร้วจับปู และชะเนาะ เป็นต้น ระหว่างทางเพื่อนๆ จะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศร่มรื่นของป่าชายเลน และจะได้เห็นน้องปู น้องปลาตีนยักษ์ ด้วยล่ะ.จุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือ ลานศึกษาปูทะเล ที่ให้ความรู้ว่าปูทะเลมีกี่ชนิด กี่สี และมีการจำลองลอบดักปูยักษ์ ให้เราเข้าไปถ่ายรูปเล่นได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีจุดเรียนรู้ระบบห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารในป่าชายเลน แถมมีเครื่องเล่นให้เราลงไปถ่ายรูปสนุกๆ ได้อีกด้วย หอชะคราม เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของศูนย์ฯ สิรินาถราชินีได้แบบ 360 องศา โดยหอมีความสูง 3 ชั้น ตัวหอมีบันไดเวียนสลับ คล้ายการเรียงตัวเป็นชั้นของใบต้นชะคราม ซึ่งที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยก็ว่าได้.รู้หรือไม่ ? หอชะครามมีบันไดทั้งหมด 97 ขั้น ใครเดินไปถึงชั้นบนสุด จะได้สลายแคลอรี่ไปถึง 20.37 กิโลแคลอรี่เลยนะ สุดท้ายก่อนกลับ อย่าลืมซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยล่ะ.ผลิตภัณฑ์ของศูนย์ฯ สิรินาถราชินี มีทั้งยานวดสมุนไพร ยาหม่อง และสบู่ ที่ทำจากพืชป่าชายเลนต่างๆ ได้แก่ สำมะง่า ขลู่ และเบญจมาศน้ำเค็ม มีสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนัง แก้ผื่นคัน ส่วนสารภีทะเล ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก.โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปสมทบทุน “โครงการเพื่อน้อง” เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ตำบลปากน้ำปราณ ที่มีผลการเรียนและความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์.ดูสิ มาเที่ยวนอกจากได้ความรู้ ได้ของมีประโยชน์กลับบ้าน แล้ว ก็ยังได้บุญอีกด้วย ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ที่ตั้ง : ถ.โยธาธิการ ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์พิกัด : https://goo.gl/maps/UTvNJqUTbYfi2RGc7เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 16.30 น.โทร. 032 632 255 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 21 มิถุนายน 2562

ปอดแห่งปากน้ำปราณ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อ่านเพิ่มเติม

ผจญแก่ง ล่องลำน้ำว้า จังหวัดน่าน

ลำน้ำว้า หรือแม่น้ำว้า มีต้นกำเนิดจากตาน้ำบนเทือกเขาในหมู่บ้านน้ำว้า ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ลำน้ำว้าไหลผ่านอุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติขุนน่าน อุทยานแห่งชาติดอยภูคา และอุทยานแห่งชาติแม่จริม ไปบรรจบกับแม่น้ำน่านบริเวณอำเภอเวียงสา โดยมีความยาวทั้งหมดประมาณ 300 กิโลเมตร ลำน้ำว้าแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ลำน้ำว้าตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง การล่องแก่งลำน้ำว้า สามารถล่องได้ตลอดทั้งปี ซึ่งลำน้ำว้าแต่ละช่วงจะมีฤดูการล่องแก่งที่แตกต่างกัน ดังนี้– ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนบน-ตอนล่าง (บ้านสะปัน-บ้านวังลูน) เดือนสิงหาคม-ต้นเดือนตุลาคม ระยะทาง 120 กิโลเมตร **แนะนำให้ไปเดือนกันยายน เพราะน้ำจะเยอะที่สุด** – ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง-ตอนล่าง (บ้านสบมาง-บ้านวังลูน) เดือนพฤษภาคม-ต้นเดือนมกราคม ระยะทาง 80 กิโลเมตร – ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนล่าง (บ้านแม่สนาน-บ้านวังลูน) เดือนพฤษภาคม-ต้นเดือนมกราคม ระยะทาง 50 กิโลเมตร สำหรับแอด ได้ไปล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง-ตอนล่าง ระยะทาง 80 กิโลเมตร เป็นทริปแบบ 2 วัน 1 คืน ต้องนอนพักในแคมป์กลางป่า ตื่นเต้นสุดๆ  พวกเรานัดเจอกับเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ล่องแก่งที่ติดต่อไว้ ตรงจุดลงเรือที่บ้านสบมาง เพื่อจัดสัมภาระลงเรือยาง จากนั้นเจ้าหน้าที่จะสอนวิธีการพายเรือ การนั่งบนเรือ และวิธีการเอาตัวรอดเมื่อตกจากเรือ เรือยาง 1 ลำ นั่งได้สูงสุด 6 คน และมีเจ้าหน้าที่ประจำเรือ 2 คน ที่จะคอยดูแลความปลอดภัยของทุกคน และช่วยให้เราผ่านแก่งยากๆ ไปได้ การล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง-ตอนล่าง เราจะได้สัมผัสกับสายน้ำเย็นๆ ที่ช่วยดับร้อนได้เป็นอย่างดี  และยังมีแก่งน้อยใหญ่หลายสิบแก่ง เยอะมากจนนับไม่หมด ระดับความยากมีตั้งแต่ระดับ 3 – ระดับ 5 เช่น แก่งเสือเต้น แก่งห้วยเดื่อ และแก่งผีป่า (สถานที่ถ่ายทำโฆษณาเครื่องดื่มเป๊ปซี่) นอกจากแก่งน้อยใหญ่ที่ทำให้เราตื่นเต้นแล้ว ธรรมชาติระหว่างทางของการล่องแก่งก็น่าตื่นตาตื่นใจเช่นเดียวกัน เพราะที่นี่ป่าไม้สมบูรณ์ เขียวชอุ่มมาก จากจุดเริ่มต้นบริเวณบ้านสบมาง ถึงจุดพักแรมริมลำน้ำว้า ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เรียกได้ว่า พายเรือจนกล้ามขึ้น แช่น้ำจนตัวเปื่อยเลยทีเดียว ที่แคมป์พักแรม มีเต็นท์ และห้องอาบน้ำให้บริการ แถมเจ้าหน้าที่ยังทำอาหารให้เราทานด้วยนะ อย่าลืมถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตลำน้ำว้าด้วยนะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง ตกดึกเริ่มหิวอีกรอบ ก็เลยนั่งล้อมวง เอาหมูที่ซื้อจากตลาดมาหมักเกลือแล้วย่างทาน มันอร่อยมาก!! คาดว่าพี่ๆ เจ้าหน้าที่น่าจะหมักด้วยเกลือสินเธาว์ จากอำเภอบ่อเกลือ  บรรยากาศยามเช้าบริเวณที่พักแรม เติมพลังก่อนออกพายเรือ ด้วยอาหารเช้าง่ายๆ แต่อร่อยเว่อร์ ฝีมือพี่ๆ เจ้าหน้าที่  อยู่กลางป่าไม่อดอยาก ขนมปังปิ้งก็มีนะจ๊ะ หลังจากทานอาหารเช้าและเก็บข้าวของขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่ออีกประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะถึงจุดสิ้นสุดการล่องแก่ง ส่งท้ายทริปสุดมันนี้ด้วยแก่งระดับ 5 แอดนี่พายเรือรัวๆ ไปเลย สิ่งสำคัญของการล่องแก่งก็คือ ทุกคนต้องสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันพาย และคอยฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ แค่นี้เราก็ผ่านแก่งยากๆ ไปได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัยแล้ว ถ้าใครอยากไปล่องแก่งสนุกๆ แบบแอด ติดต่อบริษัททัวร์ล่องแก่งน้ำว้า ด้านล่างนี้ได้เลย น่านน้ำว้าทัวร์ โทร. 095 535 0124, 096 923 9465แจง แอนด์ เจ ทัวร์ โทร. 081 765 4194 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 12 มิถุนายน 2562

ผจญแก่ง ล่องลำน้ำว้า จังหวัดน่าน อ่านเพิ่มเติม

3 โบสถ์น่าไป…ไม่ไกลกรุงเทพฯ

3 โบสถ์ที่แอดหยิบยกมาแนะนำเพื่อนๆ วันนี้ ประกอบด้วย– อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จ.จันทบุรี– อาสนวิหารแม่พระบังเกิด จ.สมุทรสงคราม– วัดนักบุญยอแซฟ จ.พระนครศรีอยุธยา นอกจาก 3 แห่งนี้ ก็ยังมีโบสถ์อีกหลายแห่งที่สวยงามเช่นกัน ซึ่งแอดจะมานำเสนอในโอกาสต่อๆ ไปนะ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จ.จันทบุรี เป็นโบสถ์ที่มีประวัติความเป็นมากว่า 300 ปี เดิมตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี ต่อมาได้ย้ายมาสร้างยังที่ตั้งปัจจุบันบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ตรงข้ามชุมชนริมน้ำจันทบูร โบสถ์หลังนี้เป็นศิลปะแบบโกธิค มีลักษณะเด่นอยู่ตรงหอคอยคู่ที่มีหลังคายอดแหลมสูง ซึ่งในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ.2483 ได้รื้อออกเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นเป้าของการทิ้งระเบิด แต่ภายหลังก็ได้สร้างขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมดังที่เห็นในปัจจุบัน โบสถ์หลังนี้มีการประดับตกแต่งทั้งภายนอกและภายในอย่างสวยงามคลาสสิก มองไปทางไหนก็ดูเพลินตาไปซะหมด บริเวณเหนือพระแท่นบูชา มีไม้กางเขนและพระรูปพระนางมารีอาปฎิสนธินิรมล องค์ประธานของวัดตั้งตระหง่านอย่างงดงาม รวมทั้งยังมีรูปปั้นของนักบุญยออากิมและนักบุญอันนา บิดามารดาของพระนางมารีอาด้วย มีการประดับกระจกสีที่เรียกว่า สเตนกลาส (Stained Glass) เป็นรูปของนักบุญหลายองค์อยู่เหนือพระแท่นบูชา และเหนือหน้าต่าง กระจกสีเหล่านี้มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว แต่สียังสวยสดชัดเจน ไม่มีซีดจางเลยล่ะ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลแห่งนี้ ได้รับรางวัลอนุรักษ์อาคารดีเด่น ประจำปี 2542 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดให้เข้าชมทุกวันวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-15.00 น.วันเสาร์ เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-16.00 น.วันอาทิตย์ เวลา 11.00-16.00 น. การเข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ และหากไปเวลากลางคืนในช่วงเทศกาลสำคัญก็จะมีการเปิดไฟประดับสวยงามด้วย อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลที่ตั้ง : ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรีโทร : 039 311 578 อาสนวิหารแม่พระบังเกิด จ.สมุทรสงคราม เป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในไทย สร้างโดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ใช้เวลานานถึง 6 ปี และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2439 ตัวโบสถ์เป็นศิลปะแบบโกธิค ตรงกลางมีหอคอยยอดแหลมสูง มีซุ้มประตูโค้งแหลม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบนี้  ดูแล้วคล้ายกับโบสถ์กาลหว่าร์ซึ่งสร้างในช่วงเดียวกันเลย ภายในกว้างขวางและตกแต่งอย่างสวยงามอลังการ มีการประดับกระจกสีเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ สวยงามมากๆ สำหรับใครที่จะไปเที่ยว ต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่มีพิธีกรรม จะไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้ แนะนำให้โทรสอบถามก่อนเดินทางนะ อาสนวิหารแม่พระบังเกิดที่ตั้ง : ต.บางนกแขวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงครามโทร : 034 761 347 วัดนักบุญยอแซฟ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในประเทศไทย โดยเริ่มแรกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมา จนถึงปัจจุบันเป็นโบสถ์หลังที่ 4 ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.2426 ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูคลาสสิก ด้านหน้ามีหอคอยสูง และมีซุ้มประตูโค้งแบบโรมัน วัดนักบุญยอแซฟ ถือเป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนิกชนชาวสยามในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โบสถ์ได้ถูกเผาทำลาย แต่ภายหลังก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ภายในกว้างขวาง ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีและรูปปั้นต่างๆ อย่างสวยงาม วัดนักบุญยอแซฟ ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น พ.ศ.2548 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ วัดนักบุญยอแซฟที่ตั้ง : ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต.สำเภาล่ม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยาโทร : 035 242 589, 035 321 447 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 มิถุนายน 2562

3 โบสถ์น่าไป…ไม่ไกลกรุงเทพฯ อ่านเพิ่มเติม

น้ำตกป่าละอู

คำว่า “ละอู” เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า “ต้นไผ่” “ป่าละอู” จึงแปลว่า “ป่าไผ่” เพราะพื้นที่บริเวณนี้มีต้นไผ่อยู่มากนั่นเอง น้ำตกป่าละอู เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงถึง 15 ชั้น นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้บริเวณชั้นที่ 1-5 ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำ ไม่แนะนำให้ขึ้นไปชั้นที่สูงกว่านี้ เนื่องจากเส้นทางยากลำบาก อาจเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้ ในช่วงฤดูฝนที่ชุ่มฉ่ำแบบนี้ เราจะได้จะเห็นสีเขียวๆ ของธรรมชาติที่สวยงามตลอดเส้นทางเดินไปน้ำตกเลย อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว ในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม ก็คือ การเฝ้ารอชมผีเสื้อนับร้อยตัวที่ออกหากินตามโป่งดินและลำธาร นอกจากนี้เรายังมีโอกาสเห็นสัตว์ป่าและนกหายากหลายชนิดอีกด้วย ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 40 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท หากใครหิวอยากเติมพลังก่อนลุยน้ำตก บริเวณด้านหน้าทางเข้ามีร้านค้าสวัสดิการอยู่ด้วย หรือหากอยากจะพักค้างแรม ทางอุทยานฯ ก็มีบริการบ้านพักและเต็นท์ให้เช่าด้วยนะ ติดต่อจองที่พัก– ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวน้ำตกป่าละอู โทร. 032 646 294, 087 161 2922– ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โทร. 032 459 293– กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร.02 562 0760, 02 561 0777 ต่อ 724, 725 การเดินทาง จากตลาดหัวหิน ใช้ทางหลวงหมายเลข 3218 ประมาณ 58 กิโลเมตร ผ่านอ่างเก็บน้ำป่าละอู จากนั้นขับตรงไปอีก 6 กิโลเมตร จะเจอทางเข้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กจ 3 (ห้วยป่าเลา) เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 10 มิถุนายน 2562

น้ำตกป่าละอู อ่านเพิ่มเติม

เรือนหมอพลอย @ ภูมิภูเบศร

“เรือนหมอพลอย” เป็นเรือนไม้หลังใหญ่ที่นายแพทย์ไพโรจน์ นิงสานนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงหมื่นชำนาญแพทยา (พลอย แพทยานนท์) หมอหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 – รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นคุณตาของท่าน และต่อมาท่านได้มอบเรือนหลังนี้ให้แก่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยค่ะ เรือนหมอพลอยเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย โดยชั้นล่างจัดเป็น “โซนยาย้อนยุค” มีโถสมุนไพรต่างๆ วางเรียงรายอยู่ ซึ่งเราสามารถเลือกสมุนไพรกลิ่นที่ชอบมาผสมเป็นยาดมได้เองเลย แก้วิงเวียนได้ดีมากๆ นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรและของฝากเก๋ๆ ให้เลือกซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ด้วยนะคะ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ บริเวณชั้นล่างนี้จะมีกิจกรรม Workshop สาธิตการทำยา และกิจกรรมสุขภาพต่างๆ เช่น การทำแป้งร่ำ การทำธูปหอมด้วยสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมจะแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้โดยไม่จำกัดจำนวนคนและไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ โดยกิจกรรมจะมีวันละ 2 รอบ เวลา 10.00 น. และ 14.00 น. หลังจากทดลองทำยากันไปแล้ว เราก็ขึ้นมาชมนิทรรศการที่ชั้นบนกันบ้าง ซึ่งข้างบนนี้แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ห้องด้วยกัน.ห้องแรกคือ “ย้อนรอยหมอหลวง ชื่อหมอพลอย” เป็นห้องที่บอกเล่าถึงชีวประวัติของหมอพลอย และความเป็นมาของเรือนหลังนี้ มีข้าวของเครื่องใช้ของหมอพลอย และเครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ในอดีตไว้ให้ชมมากมายเลย ห้องถัดมา “หมอไทยนั้นเป็นฉันใด” ในห้องนี้เราจะได้เรียนรู้เรื่องราวของการแพทย์ในแบบต่างๆ ทั้งการแพทย์เชิงระบบ การแพทย์เหนือธรรมชาติ และการแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งได้นำมาประยุกต์ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนห้องสุดท้ายคือ “หั่น สับ จับมาเป็นยา” ภายในห้องนี้เราสามารถหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือ และลองทำยาด้วยตัวเองได้ด้วย เห็นแล้วนึกถึงละครเรื่อง ทองเอก หมอยาท่าโฉลง เลยค่ะ  นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เที่ยวได้ทั้งครอบครัวจริงๆ ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาว่างก็อย่าลืมมาเที่ยวกันนะคะ ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะ (เรือนหมอพลอย)ที่ตั้ง ตําบลบางเดชะ อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรีโทร 097 098 3582Facebook : ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะเปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 9 มิถุนายน 2562

เรือนหมอพลอย @ ภูมิภูเบศร อ่านเพิ่มเติม

ปราสาทนครหลวง : พระนครศรีอยุธยา

ปราสาทนครหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของตำหนักที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างขึ้น เพื่อประทับพักผ่อนในระหว่างเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี และเป็นที่ประทับแรมในระหว่างทางเสด็จประพาสลพบุรี ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้ช่างไปถ่ายแบบปราสาทในกรุงกัมพูชามาสร้างไว้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติที่มีชัยเหนือกัมพูชา แต่ยังสร้างไม่เสร็จและได้ถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่ง พ.ศ.2352 จึงมีผู้สร้างรอยพระพุทธบาทสี่รอยขึ้นบนปราสาทนี้ พร้อมๆ กับการสร้างวัดนครหลวง ปราสาทนครหลวง เป็นปราสาทก่อด้วยอิฐ สร้างอยู่บนเนินเขาที่เกิดจากการถมดิน ด้านบนสุดเป็นมณฑปที่มีระเบียงคดล้อมรอบ 3 ชั้น ลดหลั่นกันลงมา ระเบียงคดชั้นที่ 1 และ 2 มีปรางค์ประจำมุมและประจำทิศ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่โดยรอบ ที่ผนังของระเบียงคดมีการทำซี่ลูกกรงที่เรียกว่า “ลูกมะหวด” ซึ่งเป็นที่นิยมในศิลปะขอม ลักษณะคล้ายกับที่วัดไชยวัฒนารามซึ่งสร้างในสมัยเดียวกันด้วย มุมนี้ก็เป็นอีกมุมที่สวยสะกดแอดมากๆ เห็นแบบนี้แล้วอดคิดไม่ได้เลยว่าในอดีตจะสวยงามขนาดไหน วันที่แอดไปคนค่อนข้างน้อย ซึ่งมีข้อดีคือเราจะได้รูปสวยๆ มุมดีๆ ตามใจเราเลย เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน ก็จะพบกับมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งได้รับการบูรณะเมื่อ พ.ศ.2446 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยการรื้ออุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอยออก แล้วสร้างใหม่เป็นมณฑปจัตุรมุขอย่างที่เห็นในปัจจุบัน  จะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างบนฐานชั้นบนสุด ไม่ว่าจะเป็นมณฑปหรือระเบียงคดนั้นดูแตกต่างจากส่วนฐานอย่างชัดเจน นั่นก็เพราะเป็นการสร้างเพิ่มเติมในสมัยหลังนั่นเอง ปราสาทนครหลวงที่อยู่ : ริมแม่น้ำป่าสัก ต.นครหลวง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยาเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/LMrVeWFvCXacBJgi9 ก่อนกลับแอดแวะไปชม “ศาลาพระจันทร์ลอย” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าก่อนถึงทางขึ้นปราสาทนครหลวง เชื่อกันว่าบริเวณนี้เดิมเป็นที่ตั้งของพระตำหนักที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับแรม มีลักษณะเป็นอาคารจัตุรมุข ภายในประดิษฐานแผ่นหินพระจันทร์ลอย ซึ่งเป็นแผ่นหินรูปกลมคล้ายพระจันทร์ ด้านหน้าตอนบนแกะสลักภาพพระพุทธรูปนูนต่ำ 3 องค์ ขนาบข้างด้วยเจดีย์ แผ่นหินนี้มีตำนานเล่าขานกันว่า ลอยน้ำมาตามแม่น้ำป่าสัก ชาวบ้านพยายามนำขึ้นจากน้ำแต่ไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งสมภารวัดเทพจันทร์ผู้มีอาคมได้นำสายสิญจน์ 3 เส้นมาคล้องที่แผ่นหิน จากนั้นจึงนำขึ้นมาได้โดยง่ายดาย และภายหลังได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ศาลาพระจันทร์ลอยแห่งนี้ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 4 มิถุนายน 2562

ปราสาทนครหลวง : พระนครศรีอยุธยา อ่านเพิ่มเติม

เกาะช้าง : ระนอง เสน่ห์ธรรมชาติที่แสนจะเรียบง่าย

เกาะช้าง จ.ระนอง เป็นสวรรค์ของนักเดินทางที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นเกาะที่ยังคงมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติและดูนก ชาวบ้านประกอบอาชีพทำสวนมะม่วงหิมพานต์และสวนยางพารา ที่นี่สิ่งอำนวยความสะดวกยังเข้าถึงไม่มากนัก ชาวบ้านยังต้องปั่นไฟใช้เป็นเวลา ถนนหนทางก็มีไม่ทั่วทั้งเกาะ นับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมาพักกายพักใจ หลีกหนีความวุ่นวายในเมือง และตักตวงความสุขกับธรรมชาติที่เงียบสงบแบบส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนมากจะมาพักผ่อนแบบ Long Stay อยู่กันยาวไปเลย เพราะหลงเสน่ห์ความเป็นธรรมชาติที่เงียบสงบของเกาะช้างนั่นเอง ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการมาเที่ยวเกาะช้างคือ ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤษภาคม (หรือมิถุนายน แล้วแต่สภาพอากาศ) เพราะหลังจากนั้นจะเข้าหน้ามรสุม เรือจะงดวิ่งและที่พักส่วนใหญ่จะปิด ดังนั้นก่อนเดินทาง แอดแนะนำให้โทรสอบถามเรื่องที่พักและสภาพอากาศก่อนนะครับ การเดินทาง แอดนั่งรถทัวร์จากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ตอนค่ำ รถทัวร์ออกเวลา 20.20 น. ถึงสถานีขนส่งเมืองระนองตอนเช้าตรู่ 05.30 น. ถึงแล้วก็ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ขอบอกว่าภายในสถานีขนส่งเมืองระนองมีห้องอาบน้ำด้วย สะดวกมากๆ สำหรับนักเดินทางอย่างแอด จากนั้นก็นั่งรถสองแถวสีฟ้า(ตลาด-สะพานปลา) มาลงที่ท่าเทียบเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ (ท่าเรือไปเกาะพยามและเกาะช้าง) ราคาคนละ 50 บาท การนั่งเรือไปเกาะช้าง ระนอง 1.เรือระนอง-เกาะช้าง : เรือจะจอดส่งผู้โดยสารที่ฝั่งอ่าวใหญ่เรื่อยไปจนถึงอ่าวตาแดง ราคาคนละ 200 บาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ขาไปมีวันละ 2 รอบ คือ 09.30 น. และ 13.00 น. ส่วนขากลับก็วันละ 2 รอบเช่นกัน คือ 08.00 น. และ 13.00 น. 2.เรือระนอง-เกาะพยาม : เรือจะจอดลอยลำอยู่กลางทะเล ระหว่างอ่าวเล็กและเกาะพยาม (จากนั้นต้องติดต่อที่พักให้ส่งเรือมารับ) ราคาคนละ 200 บาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ขาไปให้บริการวันละ 2 รอบ คือ 10.00 น. และ 14.00 น. ส่วนขากลับแนะนำให้แจ้งที่พักให้จองเรือให้ เพราะจะได้ทราบเวลาที่แน่นอนที่เรือจะมาครับ วันแรกแอดพักที่อ่าวใหญ่ก่อน อ่าวนี้มีลักษณะเป็นหาดกว้างทอดยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ที่นี่มีที่พักแบบบังกะโลมากมายให้เลือก ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ ราคาไม่แพงนัก อยู่ที่ประมาณ 200 – 700 บาท แต่ไม่มีแอร์และพัดลมนะ เนื่องจากบนเกาะช้างยังต้องอาศัยการปั่นไฟใช้กันระหว่าง 17.00 – 22.00 น. สำหรับที่อ่าวใหญ่นี้ แอดขอแนะนำ Sunset Bungalow เลย ที่พักสะอาด เจ้าของน่ารักเป็นกันเอง อาหารก็อร่อยครับ เสน่ห์ของเกาะช้างอยู่ตรงหาดทรายที่เป็นสองสี โดยช่วงน้ำขึ้นจะมีสีเหลืองนวล ส่วนเวลาน้ำลงจะกลายเป็นหาดทรายสีเทาดำ เนื้อละเอียด ถ้ามองจากระยะไกล น้ำทะเลบริเวณอ่าวใหญ่อาจดูไม่สวยนัก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้ว น้ำใสมากกกก สามารถเล่นน้ำได้ หรือจะพายเรือแคนูก็สนุกดีครับ เอาล่ะ ได้เวลาออกสำรวจอ่าวใหญ่กันแล้ว แอดเดินตั้งแต่ต้นหาดไปสุดปลายหาดในขณะที่แดดเปรี้ยงๆ แต่ความงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างโดยไม่ปรุงแต่ง ก็ทำให้แอดเพลิดเพลินจนคลายร้อนไปได้เยอะเลยล่ะ แต่ละหาดของอ่าวใหญ่มีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป บางหาดเป็นทรายสีดำ บางหาดก็มีโขดหินที่เต็มไปด้วยหอย และบางหาดก็มีมุมสวยๆ ชิคๆ ให้เราได้ถ่ายรูปเก๋ๆ ไม่เหมือนใคร วันที่สอง แอดตื่นมาพร้อมกับเสียงนกและเสียงจักจั่นที่ร้องต้อนรับวันใหม่ แล้วก็มานั่งรับประทานอาหารเช้า ชมวิวชิลๆ จากนั้นก็ได้เวลาเช็คเอาท์เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป แอดรบกวนให้เจ้าของบังกะโลโทรเรียกเรือให้ เพื่อเดินทางต่อไปยังบ้านโจรสลัด กรีน บานาน่า หรือ Green Banana – Pirate House ซึ่งตั้งอยู่ที่อ่าวเล็กนั่นเอง การเดินทางจากอ่าวใหญ่ไปยังอ่าวเล็กสามารถไปได้ทั้งทางเรือ หรือจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปก็ได้ แต่ถ้าไปกันหลายคน แอดแนะนำว่านั่งเรือจะสะดวกกว่า ราคาเหมาอยู่ที่ 500 บาท โดยเรือจะมาส่งที่หน้าหาดเลย บ้านโจรสลัด กรีนบานาน่า เป็นบังกะโลเล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยท่อนไม้และขยะที่ลอยมากับทะเล ดูเก๋ไก๋สไตล์โจรสลัด ยังกับภาพยนตร์เรื่อง Pirates of the Caribbean เลย ในส่วนของบ้านพัก จะเรียกว่าเป็นบังกะโล บ้านไม้ หรือกระท่อมก็แล้วแต่ มีอยู่ประมาณ 10 หลัง ราคาอยู่ที่ 250 – 350 บาท มีทั้งแบบห้องน้ำในตัวและห้องน้ำรวม บ้านพักที่นี่ไม่มีแอร์หรือพัดลมเช่นเดียวกับที่อ่าวใหญ่ เพราะต้องปั่นไฟใช้ระหว่าง 17.00 – 22.00 น. นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่เน้นมาพักผ่อนแบบสบายๆ นั่งอ่านหนังสือหน้าที่พัก นอนเล่นชิลๆ รอพระอาทิตย์ตกดิน ให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ซึมซับความสุขให้ได้มากที่สุด อ่าวเล็กมีหาดทรายสีเหลืองนวลผสมสีดำจากแร่ดีบุกเหมือนกับอ่าวใหญ่ แต่ความยาวของหาดสั้นกว่า บ้านพักบนอ่าวเล็กมีไม่กี่แห่ง จึงทำให้นักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่าน ได้ฟีลเหมือนเกาะนี้เป็นของเราคนเดียว ตอบโจทย์คนที่รักความเป็นส่วนตัวสูงได้ดีมากๆ อ่าวเล็กนั้นสงบราวกับสระว่ายน้ำธรรมชาติส่วนตัว และน้ำทะเลยังใสมาก ยิ่งยามแสงแดดกระทบผิวน้ำ ก็ยิ่งทำให้น้ำใสราวกับกระจก จนสามารถมองเห็นผืนทรายใต้น้ำได้อย่างชัดเจน บางหาดของอ่าวเล็กจะเป็นโขดหินดูสวยแปลกตา เหมาะสำหรับมานั่งปล่อยอารมณ์ ชมวิวทะเลเงียบๆ ที่อ่าวเล็ก นอกจากกิจกรรมเดินศึกษาธรรมชาติและดูนกแล้ว ก็ยังสามารถมาตกหมึก ตกปลา และแคะหอยตามโขดหินมาทำอาหารได้ด้วยครับ อ่าวเล็กมีมุมสวยๆ เลิศๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย เหมือนมีสตูดิโอธรรมชาติส่วนตัว โพสท่าจัดเต็มได้ ไม่ต้องแคร์สายตาใคร เพราะนักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่าน แอดก็เลยต้องขอโพสท่าเบา…เบา มาฝากเพื่อนร่วมทางครับ พระอาทิตย์ตกที่เกาะช้างสวยไม่แพ้ที่ไหนเลย วันที่สาม เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว วันนี้แอดตื่นมาเดินเล่นชิลๆ ชมวิวหาดทรายหน้าที่พัก ตอนเช้าน้ำทะเลจะขึ้น ทำให้หาดทรายเป็นสีเหลืองนวลสะอาดตา น้ำก็ใสจนแอดอดใจไม่ไหว ต้องลงเล่นน้ำอีกซักรอบ ชิล..ชิล ตักตวงความสุขให้สุดก่อนลาจากเกาะช้างแห่งนี้ ขากลับแอดติดต่อเจ้าของที่พักให้โทรเรียกสปีดโบ้ทมารับช่วงบ่าย เพราะแอดต้องไปขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งระนองในตอนเย็น เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ ทริปนี้สำหรับแอดคือสุดมาก ได้ Energy และอากาศบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมกลับบ้าน ได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ผ่อนคลายไปกับความเงียบสงบ ได้ฟีลเหมือนมาติดเกาะจริงๆ สำหรับใครที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย ที่นี่ตอบโจทย์ได้ดีมากๆ ทั้งสงบและมีธรรมชาติที่งดงาม หาดทรายก็สวยแปลกตาไม่เหมือนที่ไหน สุดท้ายนี้แอดอยากจะบอกว่า ใครโดนเทก็เซมาเกาะช้าง

เกาะช้าง : ระนอง เสน่ห์ธรรมชาติที่แสนจะเรียบง่าย อ่านเพิ่มเติม

วัดถ้ำเอราวัณ อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู

“ถ้ำเอราวัณ” เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ภายในถ้ำแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ซึ่งแต่ละห้องเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่สวยงาม สามารถเดินชมได้อย่างสะดวกเพราะมีการติดตั้งไฟไว้ตลอดทาง ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “ถ้ำช้าง” เนื่องจากเมื่อมองจากระยะไกล จะมีรูปร่างเหมือนช้างกำลังหมอบอยู่นั่นเอง บริเวณปากถ้ำเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า “พระพุทธชัยศรีมหามุนีตรีโลกนาถ”.ทุกๆ ปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีประเพณี “ขึ้นเขาไหว้พระถ้ำเอราวัณ” ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของบ้านผาอินทร์แปลงที่สืบทอดกันมายาวนานค่ะ สำหรับตำนาน “นางผมหอม” นั้น มีอยู่หลายสำนวนด้วยกัน ซึ่งโครงเรื่องหลักไม่แตกต่างกันมากนัก แต่จะต่างในรายละเอียดปลีกย่อย สำหรับสำนวนที่แอดได้อ่านมานั้น เรื่องมีอยู่ว่า….นางสีดา ธิดาเจ้าเมืองนครศรีไปเที่ยวป่าและเกิดหลงทาง นางกระหายน้ำมากจึงดื่มน้ำในรอยเท้าพญาช้างสารและรอยเท้าวัวกระทิง.หลังจากนั้นไม่นานนางก็ตั้งครรภ์  และคลอดออกมาเป็นลูกสาวฝาแฝด คนพี่มีเชื้อสายพญาช้างสารนามว่า “นางผมหอม” เพราะเส้นผมของนางมีกลิ่นหอม ส่วนคนน้องมีเชื้อสายวัวกระทิงนามว่า “นางลุน” เพราะเกิดทีหลัง.เมื่ออายุได้ 13 ปี ทั้งสองได้เข้าป่าไปตามหาบิดาจนได้พบกับพญาช้างสาร แต่พญาช้างสารไม่เชื่อว่าเป็นลูก จึงให้พิสูจน์ด้วยการไต่ขึ้นไปบนหลังของตน หากใครข้ามไปได้จึงจะเชื่อว่าเป็นลูก ปรากฏว่านางผมหอมไต่งาช้างข้ามไปได้ ส่วนนางลุนก้าวพลาดตกลงมาเสียชีวิต จากนั้นพญาช้างสารได้พานางผมหอมไปอาศัยอยู่ในถ้ำช้าง (ถ้ำเอราวัณ) ด้วยกัน เมื่อนางโตเป็นสาว ก็ได้ลงเล่นน้ำและเสี่ยงทายหาคู่ครองโดยการนำปอยผมใส่ผอบแก้วลอยน้ำไป ขุนไท กษัตริย์ผู้ครองเมืองเป่งจานเก็บผอบนั้นได้ และออกตามหานางผมหอมจนมาพบกันที่ถ้ำเอราวัณแห่งนี้.ทั้งสองได้ครองรักกัน จนมีบุตรธิดา 2 คน ต่อมาทั้งสองได้พาบุตรธิดาหนีพญาช้างสารเพื่อจะกลับไปยังเมืองเป่งจานนคร.ฝ่ายพญาช้างสารก็ออกตามหาลูกและหลานจนพบ แต่ด้วยความเสียใจอย่างหนักที่ถูกลูกหลานทิ้งไปจึงตรอมใจตาย โดยก่อนตายได้มอบงาของตนให้ขุนไทไว้เป็นอาวุธเพื่อป้องกันตนเอง ระหว่างเดินทางกลับเมืองเป่งจานนครนั้น ทั้งหมดได้แวะพักแรมกลางป่า ซึงมีนางผีป่าเฝ้าอยู่ นางเกิดความเสน่หาในตัวขุนไท จึงได้ผลักนางผมหอมตกน้ำและแปลงกายเป็นนางผมหอมแทน.และด้วยพฤติกรรมของนางผมหอมที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ขุนไทสงสัยและรู้ความจริงในที่สุด จึงได้กำจัดนางผีป่าและรับนางผมหอมกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข .และนี่ก็คือตำนาน “นางผมหอม” ที่เกี่ยวพันกับถ้ำเอราวัณ ซึ่งเล่าขานกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเองค่ะ  เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 21 พฤษภาคม 2562

วัดถ้ำเอราวัณ อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู อ่านเพิ่มเติม

หมู่เกาะรัง จุดดำน้ำสุดฟินแห่งท้องทะเลตราด

หมู่เกาะรัง สวรรค์แห่งท้องทะเลตราด ตั้งอยู่ระหว่างเกาะช้างและเกาะกูด ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะ เช่น เกาะยักษ์ เกาะโล้น เกาะหวาย เกาะมะปริง ฯลฯ โดยเกาะทั้งหมดอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง.หมู่เกาะรังเป็นแหล่งปะการังที่สมบูรณ์และสวยงามที่สุดแห่งท้องทะเลตราด นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาดำน้ำตื้น ชมปะการังหลากหลายสีสัน และฝูงปลามากมายแหวกว่ายไปมา  การเดินทางมาท่องเที่ยวหมู่เกาะรังนั้น สามารถซื้อแพ็กเกจนำเที่ยวแบบ One Day ได้จากบริษัททัวร์บนเกาะช้าง เกาะหมาก และเกาะกูด ซึ่งมีหลายบริษัทให้เลือกค่ะ หรือจะติดต่อผ่านที่พักก็ได้เช่นกัน.จากเกาะช้างสามารถเดินทางไปยังเกาะรังได้โดยขึ้นเรือที่ท่าเรืออ่าวบางเบ้า ซึ่งเรือจะมี 2 แบบ ได้แก่สปีดโบ๊ท ราคาคนละ 900-1,200 บาท ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเรือไม้ 2 ชั้น ราคาคนละ 600-700 บาท ใช้เวลาประมาณ 45 นาที สำหรับใครที่อยากจะพักค้างคืน บอกไว้ก่อนว่าที่เกาะรังไม่มีรีสอร์ทหรือโฮมสเตย์นะคะ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือพักบนเกาะช้าง เกาะกูด หรือเกาะหมาก แล้วค่อยนั่งเรือต่อมาเที่ยวที่หมู่เกาะรังค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างโทร. 039 555 080, 039 510 927-8 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 20 พฤษภาคม 2562

หมู่เกาะรัง จุดดำน้ำสุดฟินแห่งท้องทะเลตราด อ่านเพิ่มเติม

เช้านี้…ที่อัมพวา

ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดน้ำยอดฮิตที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก.ซึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมนอกเหนือจากการมาทานอาหารและชอปปิงก็คือ “การล่องเรือชมหิ่งห้อย” ยามค่ำคืนนั่นเองเรียกได้ว่าถ้าใครมาเที่ยวอัมพวาแล้ว ไม่ได้ชมหิ่งห้อยก็เหมือนมาไม่ถึงกันเลยทีเดียว สำหรับใครที่เดินเที่ยวเพลินจนค่ำและไม่อยากขับรถกลับตอนกลางคืน ก็สามารถค้างคืนที่นี่ได้นะ เค้ามีที่พักไว้บริการมากมาย บอกเลยว่ามานอนรับลมเย็นๆ ริมน้ำ มันช่างเงียบสงบและบรรยากาศดีสุดๆ ปกติแล้วการเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ได้พักผ่อน นอนตื่นสายๆ ก็คือการชาร์จแบตให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง แต่สำหรับที่อัมพวา เพื่อนๆ ต้องห้ามตื่นสายเด็ดขาด เพราะแอดไม่อยากให้พลาดเสน่ห์ยามเช้าของที่นี่ค่ะ มนต์เสน่ห์อีกอย่างนึงของอัมพวาก็คือ “การตักบาตรริมน้ำ” ค่ะ โดยทุกๆ วันที่ไม่ใช่วันพระ จะมีพระสงฆ์พายเรือไปตามลำคลอง เพื่อรับบิณฑบาตรจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมน้ำ.ซึ่งที่พักริมน้ำหลายแห่งก็จะเตรียมอาหารคาวหวานไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ใส่บาตรยามเช้ากันด้วยค่ะ คราวหน้าถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ก็ลองพักค้างคืน ซึมซับวิถีชีวิตริมน้ำที่น้อยคนจะมีโอกาสได้สัมผัสกันดูนะ .ที่ตั้ง ต.อัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงครามเปิดทุกวันศุกร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เวลา 12.00 – 21.00 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 16 พฤษภาคม 2562

เช้านี้…ที่อัมพวา อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top