สถานที่ท่องเที่ยว

ที่นี่…สงขลา

หาดสมิหลา และแหลมสมิหลา หาดสมิหลาตั้งอยู่ระหว่างแหลมสนอ่อนและแหลมสมิหลา เป็นหาดที่มีถนนเลียบชายหาดและทิวสนร่มรื่นตลอดแนว บริเวณปลายแหลมสมิหลามีรูปปั้นนางเงือกนั่งอยู่บนโขดหิน เรียกกันว่า “เงือกทอง” ถือเป็นสัญลักษณ์ของหาดแห่งนี้ ห่างจากรูปปั้นนางเงือกไปไม่ไกล จะมีรูปปั้นแมวและหนู ที่บอกเล่าตำนานของเกาะหนูและเกาะแมว ซึ่งเราสามารถมองเห็นเกาะทั้ง 2 ได้ชัดเจนจากหาดสมิหลา และบริเวณนี้ยังมีซุ้มประตู “เมืองสงขลา” ไว้ให้เราได้ไปถ่ายรูปเช็คอินเก๋ๆ ว่า ‘เรามาถึงสงขลาแล้วนะ’ อีกด้วย ที่ตั้ง : ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา น้ำตกโตนงาช้าง ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง ที่มาของชื่อ “โตนงาช้าง” มาจากชื่อของน้ำตกชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นที่สวยที่สุด คำว่า “โตน” ในภาษาพื้นเมืองแปลว่าน้ำตก ส่วน “งาช้าง” ก็มาจากลักษณะของน้ำตกที่มีสายน้ำไหลแยกผ่านหน้าผาหินลงมาเป็น 2 ทาง มองคล้ายกับงาช้างนั่นเอง น้ำตกโตนงาช้าง ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกสวยที่สุดของภาคใต้ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ น้ำตกแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปี และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่สามารถเดินเที่ยวชมด้วยตนเองได้อีกด้วย ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ที่ตั้ง : ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.โทร. 074 238 518 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมยุโรป อายุกว่า 100 ปี เดิมเป็นบ้านพักส่วนตัวของพระยาสุนทรานุรักษ์ (เนตร ณ สงขลา) นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของไทย ภายในบอกเล่าประวัติความเป็นมาของเมืองสงขลาในยุคต่างๆ การค้าขายกับต่างประเทศ ศิลปกรรม และวิถีชีวิตของชาวสงขลา ผ่านโบราณวัตถุต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย นอกจากนี้ ยังจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูล ณ สงขลา ซึ่งเป็นตระกูลเจ้าเมืองสงขลาในอดีตด้วย ค่าเข้าชมชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาทผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป นักเรียนนักศึกษา ภิกษุสามเณร ไม่เสียค่าเช้าชม ที่ตั้ง : ถนนวิเชียรชม ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลาเปิดวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร)โทร. 074 311 728 ย่านเมืองเก่าสงขลา มีถนนสายสำคัญที่น่าเดินเที่ยว 3 สาย คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม เป็นย่านที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม ไม่ว่าจะเป็นห้องแถวไม้แบบจีน และตึกเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ ปัจจุบันมีการแต่งเติมเพิ่มสีสันของเมืองเก่าด้วย Street Art ที่สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คน ดูแล้วเข้ากันจริงๆ เหมาะแก่การไปเดินถ่ายรูปมากๆ  การเดินชมย่านเมืองเก่าสงขลา แอดแนะนำให้เริ่มจากประตูเมืองสงขลาไปตามถนนนครนอก ซึ่งเป็นถนนเลียบทะเลสาบสงขลา จากนั้นต่อไปยังถนนนครในและถนนนางงามตามลำดับ ที่ตั้ง : ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา สถาบันทักษิณคดีศึกษา เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวใต้ จากจุดชมวิวของสถาบันฯ สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบสงขลาและสะพานติณสูลานนท์ด้วย ภายในแบ่งการจัดแสดงออกเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ ห้องมีดและศาตราวุธ ห้องแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ประกอบอาชีพของชาวใต้ และห้องการละเล่นพื้นบ้าน เป็นต้น ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 10 บาทชาวต่างชาติ 100 บาท สถาบันทักษิณคดีศึกษาที่ตั้ง : หมู่ที่ 1 บ้านอ่าวทราย ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลาเปิดวันจันทร์ และวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 08.30-16.30 น. (ปิดวันอังคาร) เกาะยอ เป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบสงขลาตอนล่าง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไหล่เขา และเป็นแหล่งเลี้ยงปลาในกระชังที่มีชื่อเสียงของทะเลสาบสงขลา จึงทำให้มีร้านอาหารทะเลเปิดบริการอยู่หลายร้าน รวมทั้งยังมีที่พักแบบโฮมสเตย์ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตคนท้องถิ่นอีกด้วย ที่ตั้ง : ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลาองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะยอ โทร. 074 450 540 ตลาดกิมหยง เป็นตลาดขายของฝากและของที่ระลึกแห่งใหญ่ มีชื่อเต็มว่า “ตลาดชีกิมหยง” เดิมเป็นโรงภาพยนตร์เก่า ตลาดกิมหยงเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนเป็นร้านขายสินค้าทั่วไป ส่วนชั้นล่างเป็นตลาดขายของแห้ง ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ถั่ว ขนม ผลไม้อบแห้ง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีสินค้าพื้นเมืองปักษ์ใต้ เช่น ผ้าทอ ผ้าปาเต๊ะ และฮิญาบ เป็นต้น ที่ตั้ง : ถนนศุภสารรังสรรค์ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 ธันวาคม 2562

ที่นี่…สงขลา อ่านเพิ่มเติม

วัดผาตากเสื้อ จ.หนองคาย

วัดผาตากเสื้อ เดิมชื่อ วัดถ้ำพระ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และบำเพ็ญเพียรของพระสงฆ์ ซึ่งการเดินทางลงไปบิณฑบาตของพระสงฆ์นั้นค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมใจกันสร้างถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ต่อมาได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ในมณฑป เมื่อ พ.ศ.2550 เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะ ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้ก็คือ สกายวอล์ค ซึ่งทำเป็นทางเดินรูปเกือกม้ายื่นออกไปบริเวณหน้าผา ระยะทางเดินรวม 16 เมตร พื้นเป็นกระจกใสที่ใช้กระจกแทมเพอร์ลามิเนตที่มีลักษณะโปร่ง ทำให้สามารถมองเห็นภาพด้านล่างได้อย่างชัดเจน พื้นกระจกใสนี้รองรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 20 คน หรือประมาณ 2,500 กิโลกรัม บริเวณจุดชมวิวของวัดยังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ ที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-ลาวได้อีกด้วย วัดผาตากเสื้อที่ตั้ง : บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคายโทร. 042 901 013เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 06.00 – 18.00 น. การเดินทางจากตัวเมืองหนองคาย ใช้ทางหลวงหมายเลข 211 (หนองคาย-สังคม) ขับตามเส้นทางมาเรื่อยๆ จนถึงสามแยกน้ำตกธารทอง ให้เลี้ยวซ้ายขึ้นเขาไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงวัด เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 10 ธันวาคม 2562

วัดผาตากเสื้อ จ.หนองคาย อ่านเพิ่มเติม

เนินช้างศึก จังหวัดกาญจนบุรี

เนินช้างศึก หรือ ยอดดอยปิล๊อก ตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านอิต่อง ที่นี่เป็นที่ตั้งของฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 (ฐานช้างศึก) ที่ตั้งอยู่บนเส้นพรมแดนไทย-พม่า บริเวณนี้มีเพียงที่พักเจ้าหน้าที่ ตชด. และห้องสุขา ไม่มีบ้านพัก ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ จากจุดชมวิวด้านทิศตะวันตกเราจะเห็นหมู่บ้านอิต่องที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หากอยากพักค้างแรม ที่หมู่บ้านก็มีโฮมสเตย์ให้เลือกหลายเจ้าเลยล่ะ เนินช้างศึกเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นทิวทัศน์ของแนวเขาที่สลับซับซ้อนได้แบบ 360 องศา อากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปี ทุ่งหญ้าบนเนินจะเปลี่ยนสีแตกต่างกันไปตามฤดูกาล สวยงามทุกฤดูเลย ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกด้วยนะ และในช่วงฤดูหนาวก็จะมีหมอกปกคลุมบริเวณยอดเขา ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามและบรรยากาศดี แบบนี้ต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋าไปเที่ยวแล้วล่ะ ที่ตั้ง : ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรีโทร. 034 511 200, 034 512 500 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 4 ธันวาคม 2562

เนินช้างศึก จังหวัดกาญจนบุรี อ่านเพิ่มเติม

ล่องใต้ เที่ยวพัทลุง

หลายคนอาจคิดว่าภาคใต้เที่ยวได้เฉพาะช่วงฤดูร้อน แต่ที่จริงแล้วทุกๆ ที่ก็มีความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู อย่างเช่นที่ จังหวัดพัทลุง ที่ไม่ว่าฤดูไหนก็สามารถมาเที่ยวได้.แม้จะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่พัทลุงก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายที่รอให้เหล่านักเดินทางเข้าไปสัมผัส ซึ่งแอดได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยว ต้อง ห้าม พลาด มาให้เพื่อนๆ ได้เที่ยวตามกันแล้ว  คลองปากประ.ที่นี่เป็นแหล่งทำประมงของชาวบ้าน มีปลาชุกชุม เราจึงได้เห็นยอยักษ์เป็นจำนวนมาก นับเป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามจริงๆ เลยค่ะ.และนอกจากการชมยอยักษ์แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ “การนั่งเรือไปชมพระอาทิตย์ขึ้น” เพื่อรอต้อนรับความมหัศจรรย์แห่งแสงแรกของวันที่สวยงามในยามเช้าตรู่นั่นเองค่ะ.ที่ตั้ง ต.พนางตุง อ.ควนขนุน เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย.ปกติแล้วในราวเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปี ที่นี่จะเต็มไปด้วยบัวแดงสีสันสดใส มองเห็นได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และยังมีนกน้ำหลายชนิดออกมาโบยบินให้ได้เห็นกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์นั่นก็คือ การชมเจ้าควายน้ำดำน้ำผลุบๆ โผล่ๆ เพื่อหาหญ้าใต้น้ำกินนั่นเอง ซึ่งจะพบเห็นได้ในช่วงฤดูน้ำหลาก หรือราวเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ค่ะ.ที่ตั้ง ต.พนางตุง และ ต.ทะเลน้อย อ.ควนขนุนเปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.โทร. 074 685 230 สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา.เป็นสะพานที่ยาวที่สุดของประเทศไทยในขณะนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมเส้นทางระหว่าง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง และ อ.ระโนด จ.สงขลา เข้าด้วยกัน.ทัศนียภาพโดยรอบของสะพานเป็นเวิ้งน้ำกว้างไกลของทะเลน้อยและทะเลหลวงของทะเลสาบสงขลา สามารถมองเห็นทะเลบัวแดงในช่วงเช้า ส่วนช่วงสายก็จะพบกับนกน้ำที่ออกหากิน และถ้าโชคดีก็อาจได้พบควายน้ำอีกด้วยค่ะ.ที่ตั้ง ต.พนางตุง อ.ควนขนุน หลาดใต้โหนด.ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ และที่สำคัญยังเป็นตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีการนำเอาวัสดุธรรมชาติมาทำเป็นภาชนะใส่ขนมและอาหาร แทนการใช้โฟมและพลาสติก นอกจากนี้อาหารที่ขายภายในตลาดก็ใช้วัตถุดิบที่ผลิตขึ้นเองจากชุมชน ซึ่งปลอดสารพิษอีกด้วย.ที่ตั้ง ต.ดอนทราย อ.ควนขนุนเปิดเฉพาะวันอาทิตย์ เวลา 08.00 – 15.00 น.โทร. 074 673 616 เขาอกทะลุ เขาอกทะลุเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนที่มีโพรงเจาะทะลุบริเวณด้านบนของยอดเขา ทำให้สามารถมองเห็นอีกด้านหนึ่งได้ จึงเป็นที่มาของชื่อ “เขาอกทะลุ” นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบันไดสำหรับขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองพัทลุงได้อีกด้วย ที่ตั้ง ต.คูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง ควนนกเต้น.ควนนกเต้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี “ควน” เป็นภาษาใต้ หมายถึง ภูเขาเล็กๆ เป็นจุดที่ชมวิวภูเขาและทะเลหมอกได้อย่างสวยงาม นอกจากจะเป็นจุดชมวิวแล้ว ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและขนมไว้คอยให้บริการอีกด้วย.ที่ตั้ง ต.คลองทรายขาว อ.กงหราเปิดทุกวัน เวลา 05.00 – 19.00 น. น้ำตกไพรวัลย์.น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของพัทลุง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเล่นน้ำกันที่บริเวณชั้นล่าง เพราะใกล้กับลานจอดรถและร้านอาหาร.ที่ตั้ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ต.คลองเฉลิม อ.กงหราเปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 16.00 น.ค่าเข้าชม : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาทโทร. 074 605 466 ล่องแก่งหนานมดแดง หนึ่งในสถานที่ล่องแก่งในพัทลุงที่น้อยคนจะรู้จัก แต่สำหรับสายผจญภัยบอกเลยว่าไม่ควรพลาด ที่นี่นักผจญภัยจะได้ตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับเกาะแก่งต่างๆ ที่มีมากมายกว่า 40 แก่ง ในระดับความยากง่ายที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ตลอดสองฝั่งคลอง ทั้งความเขียวขจีของป่าไม้ ความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์ รวมไปถึงสัตว์ประจำถิ่นชนิดต่างๆ ด้วย ที่นี่ยังมีห้องอบสมุนไพรไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการล่องแก่ง และหากใครอยากพักค้างคืนที่นี่ก็มีห้องพักและลานกางเต็นท์ด้วย ที่ตั้ง ม.1 ต.ลานข่อย อ.ป่าพะยอมโทร. 089 873 1464, 081 370 2123, 081 082 0206 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 3 ธันวาคม 2562

ล่องใต้ เที่ยวพัทลุง อ่านเพิ่มเติม

ดอยสะโง้ : Go local อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

ดอยสะโง้ มีจุดชมวิวที่มองเห็นภูมิประเทศโดยรอบได้เกือบ 360 องศา และเห็นได้ถึง 3 ประเทศคือ ไทย เมียนมา และลาว นอกจากนี้ยังสามารถชมทะเลหมอกในตอนเช้า และชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็นได้ในจุดเดียวกัน ในตอนกลางคืนที่นี่ยังเหมาะเป็นสถานที่ดูดาว เพราะไม่มีแสงไฟมารบกวน ทำให้มองเห็นดาวได้เต็มฟ้าเลย สำหรับใครที่ขึ้นมาชมทะเลหมอกแต่เช้าตรู่แล้วยังไม่ได้ทานอาหาร ด้านบนก็มีร้านอาหารและร้านกาแฟให้บริการด้วย สามารถเลือกซื้อเลือกทานได้เลย บนดอยสะโง้ มีที่พักให้บริการ 2 แบบแบบที่ 1 คือ เต็นท์ อัตราค่าที่พัก– เต็นท์ขนาด 2 คน ราคาหลังละ 300 บาท– หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่ากางเต็นท์ คนละ 100 บาท มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำให้บริการ แบบที่ 2 คือ บ้านพักแบบโฮมสเตย์ อัตราค่าที่พักบ้านพักสำหรับ 1-3 คน ราคา 1,500 บาทบ้านพักสำหรับ 3-5 คน ราคา 2,500 บาทบ้านพักสำหรับ 10-12 คน ราคา 6,500 บาท ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว ชาวบ้านบนดอยสะโง้มีอาชีพปลูกดอกเก๊กฮวยเพื่อนำไปขาย ทำให้บริเวณรอบๆ ดอยสะโง้ มีดอกเก๊กฮวยกระจายอยู่ทั่วบริเวณเลย ดอยสะโง้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงความเป็นวิถีชุมชนค่อนข้างมาก เนื่องจากชาวบ้านในชุมชนบริหารจัดการกันเอง ไม่มีหน่วยงานอื่นมาสนับสนุน ทำให้อาจจะยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไปบ้าง แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมหรือหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แอดแนะนำว่าต้องมาที่นี่เลย ดอยสะโง้ที่ตั้ง : หมู่ที่ 7 ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ติดต่อจองที่พักและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 092 263 6394Facebook : Doisango ดอยสะโง้ การขึ้นไปบนดอยสะโง้ต้องจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้ที่หมู่บ้าน (บริเวณพื้นที่ของชุมชนจอดฟรี ส่วนพื้นที่ของเอกชนต้องเสียค่าบริการตั้งแต่ 80-100 บาท) จากนั้นใช้บริการรถของชุมชน ราคาเที่ยวละ 100 บาท นั่งได้ 1-7 คน การเดินทางจาก อ.เชียงแสน ใช้ทางหลวงหมายเลข 1290 ก่อนถึงสามเหลี่ยมทองคำประมาณ 1 กิโลเมตร ให้สังเกตป้ายบอกทางไปบ้านสะโง้ทางซ้ายมือ จากนั้นเลี้ยวซ้าย ขับไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางไปโครงการหลวงสะโง้ ขับเลยทางเข้าโครงการหลวงไปอีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านสะโง้ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 3 ธันวาคม 2562

ดอยสะโง้ : Go local อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อ่านเพิ่มเติม

ทุ่งดอกไม้ป่า ณ วนอุทยานน้ำตกผาหลวง อุบลราชธานี

ทุ่งดอกไม้ป่า ณ วนอุทยานน้ำตกผาหลวง อุบลราชธานี ทุ่งดอกไม้ป่าหลากสีสันที่วนอุทยานน้ำตกผาหลวงสามารถชมได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน – มกราคมของทุกปี.ดอกไม้ป่าที่พบเห็นได้มากที่สุดก็คือ มณีเทวา ดุสิตา สร้อยสุวรรณา สรัสจันทร และทิพย์เกสร ซึ่งล้วนเป็นชื่อที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงพระราชทานนามให้ ไพเราะมากๆ เลยค่ะ.วนอุทยานน้ำตกผาหลวงที่ตั้ง : ต.นาเลิน อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานีเปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.โทร. 094 398 9398 มณีเทวา หรือ กระดุมเงิน หญ้าผมหงอก หญ้าดอก หญ้าตุ้มหู ลักษณะเป็นดอกกลมๆ มีขนสีขาวขนาดเล็ก สูง 10-15 เซนติเมตร มักขึ้นบริเวณที่ชื้นแฉะ ในที่โล่ง หรือชายป่าโปร่ง และจะขึ้นแซมกับดอกอื่นๆ ทำให้สีสันตัดกันสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยา ใช้แก้ปวดแก้ไข้ และขับปัสสาวะได้ ดุสิตา หรือ หญ้าข้าวก่ำน้อย หญ้าเข็ม เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูง 10-20 เซนติเมตร มีสีม่วงเข้มมักขึ้นในบริเวณพื้นดินที่เปียกชื้น ชื้นแฉะ หรือตามลานหินโล่งกว้างมีน้ำขัง โดยจะขึ้นปะปนกับหญ้า มีสรรพคุณทางยา ใช้เป็นยาสมุนไพรบำรุงเลือดได้ด้วย สรัสจันทร หรือ ดอกดิน กล้วยมือนาง เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก สูง 10-30 เซนติเมตร มีสีชมพูจนถึงสีม่วงอ่อนอมฟ้า มักขึ้นบริเวณทุ่งหญ้าเปิด ที่ชุ่มน้ำและชื้นแฉะ ทิพย์เกสร เดิมชื่อว่า “หญ้าสีฝอยเล็ก” เป็นพืชกินแมลงล้มลุกขนาดเล็กมีดอกสีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อน ชอบความชื้นสูงและอากาศเย็น  สร้อยสุวรรณา หรือ หญ้าสีเหลือง เหลืองพิศมร สาหร่ายทองเหลือง เป็นพืชล้มลุกสีเหลืองเข้ม สูง 10-15 เซนติเมตร มักพบบริเวณลานหินที่มีน้ำและชื้นแฉะ เรียกได้ว่าเจอน้ำเมื่อไหร่สร้อยสุวรรณาก็จะเบ่งบานสวยงามเมื่อนั้น สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในจังหวัดอุบลราชธานี.วัดพระธาตุหนองบัวที่ตั้ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/jhvYde1MjEWQjnUx5เปิดทุกวัน เวลา 07.00-20.00 น.**ช่วง 18.00-20.00 น. ทางวัดจะเปิดไฟส่ององค์พระธาตุ สวยงามมากๆ** สามพันโบกที่ตั้ง : ต.เหล่างาม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/hnXmQZY5Xfd4feP29ฤดูท่องเที่ยว : เที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่แก่งหินจะโผล่พ้นน้ำประมาณเดือนตุลาคม-พฤษภาคม วัดสิรินธรวรารามภูพร้าวที่ตั้ง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/CJLgrLQhSkWfuwRE9เปิดทุกวัน เวลา 06.30-20.00 น. จุดชมวิววัดถ้ำคูหาสวรรค์ที่ตั้ง ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/bDyuBpS3QJ7gzM4Q8เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. น้ำตกห้วยทรายใหญ่ที่ตั้ง : ต.คอแลน อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/VgAzzY7hmfJ1eb2y6เปิดทุกวัน เวลา 07.00-16.00 น.  อุทยานแห่งชาติผาแต้มที่ตั้ง : ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/kn4wn81f37G6zCe8Aเปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.  อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอยที่ตั้ง : ต.นาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/MvQm2vo1fXE8BfJ6Aเปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.  เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 2 ธันวาคม 2019

ทุ่งดอกไม้ป่า ณ วนอุทยานน้ำตกผาหลวง อุบลราชธานี อ่านเพิ่มเติม

สถานที่สักการะองค์พญานาคในภาคอีสาน

สถานที่สักการะองค์พญานาคในภาคอีสาน.ความเชื่อเรื่องพญานาคอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน สังเกตได้จากสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งที่สร้างรูปปั้นพญานาคขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล และเนื่องจากเทศกาลออกพรรษาและงานบั้งไฟพญานาคเพิ่งผ่านพ้นไป แอดจึงอยากชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ที่เกี่ยวข้องกับพญานาค เผื่อใครศรัทธาในองค์พญานาค ก็สามารถไปกราบไหว้ขอพรกันได้ค่ะ วิหารเทพวิทยาคม จ.นครราชสีมา ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านไร่ วิหารแห่งนี้เป็นอุทยานธรรมกลางบึงน้ำขนาดใหญ่ ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็นมหาวิหารแห่งพระไตรปิฎก และเป็นสถานที่รวบรวมพุทธประวัติ พระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิหารแห่งนี้จึงเป็นสถานที่แห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่นำเอาพระไตรปิฎกมาแสดงและให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป.วิหารเทพวิทยาคมประดับด้วยเซรามิกโมเสกชิ้นเล็กๆ กว่า 20 ล้านชิ้น บริเวณทางเข้าจะมีสะพานพญานาคทอดยาวไปสู่ตัววิหาร สะพานแห่งนี้เป็นสะพานแห่งศรัทธา เดินข้ามผ่านโลกมนุษย์สู่โลกแห่งธรรม.ภายในวิหารมี 5 ชั้น ได้แก่– ชั้นใต้ดิน เป็นเรื่องของความเชื่อ โชคลาภ จัดแสดง 7 สิ่งนำโชคในโลกใต้บาดาล คือมังกร พญานาค ปลาอานนท์ จระเข้ พญาเต่า ปลาม้าน้ำ และ ปะการังแดง– ชั้นที่ 1 จัดแสดงภาพพุทธประวัติ เเละ ต้นโพธิอธิฐาน– ชั้นที่ 2 จัดแสดงเรื่องราวของพระวินัยปิฎกเเละวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขรรธ์ปรินิพพาน– ชั้นที่ 3 เรื่องราวของพระธรรมปิฎก และพระธรรมขันธ์– ชั้นดาดฟ้า ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เเละรูปหล่อปิดทองของหลวงพ่อคูณ.ที่ตั้ง : วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมาพิกัด : https://goo.gl/maps/QyHwWtvTrdyRbBDP7  พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช จังหวัดมุกดาหาร “พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช” ตั้งอยู่บริเวณลานหินของวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นผู้ปกปักรักษา “พระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์” และสร้างขึ้นเนื่องในวาระเฉลิมฉลองการก่อตั้งวัดครบ 100 ปี ออกแบบโดยนายประพัฒน์ มะนิสสา หรืออาจารย์ปื้ด ช่างปั้นชาวมุกดาหาร ที่มีความศรัทธาในองค์พญานาคเป็นอย่างมาก พญาศรีมุกดาฯ มีลำตัวยาว 122 เมตร สูงประมาณ 20 เมตร มีรูปลักษณ์น่าเกรงขาม ชูคอหันไปทางแม่น้ำโขง ลำตัวขดไปมาอย่างพลิ้วไหว มีการลงสีไล่ระดับอย่างสวยงาม ทำให้ดูมีมิติและมีความสมจริง ถือเป็นรูปปั้นพญานาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มาที่นี่ต้องอย่าลืมสักการะขอพรองค์พญานาค ด้วยการตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเดินลอดท้องพญานาคทั้ง 7 ช่อง ที่มีความหมายมงคลต่างๆ ดังนี้ลองช่องที่ 1 เพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตาลอดช่องที่ 2 เพื่อปกปักรักษาจากภัยพาลลอดช่องที่ 3 เพื่ออยู่ทิพยวิมานแดนสุขีลอดช่องที่ 4 เพื่อความโชคดี มั่งมีปลอดภัยลอดช่องที่ 5 เพื่อมีพลานามัย ไร้โรคาลอดช่องที่ 6 เพื่อหน้าที่การงาน และชีวิตรุ่งเรืองลอดช่องที่ 7 เพื่อเงินเนืองนอง ทองไหลหลั่ง จากนั้นนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา และนำผ้าแดงที่เขียนชื่อตัวเองไปผูกไว้ที่ต้นไม้รอบๆ พญานาค เพื่อความเป็นสิริมงคล.ที่ตั้ง : หมู่ที่ 5 ต.ศรีบุญเรือง อ.เมืองมุกดาหาร จ. มุกดาหารพิกัด : https://goo.gl/maps/Whs3qfxPTyC2 พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช จังหวัดมุกดาหาร เป็นประติมากรรมพญานาคสีขาว ตรงเกล็ดประดับด้วยหินอ่อน สูง 11 เมตร ยาว 51 เมตร ถือเป็นแลนด์มาร์กที่สวยงามและโดดเด่นของแก่งกะเบา นักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้ขอพร ถวายขันหมากเบ็ง และลอดใต้ท้องพญานาค เพื่อความเป็นสิริมงคลในเรื่องความสำเร็จ ร่ำรวย และสุขภาพแข็งแรง.ที่ตั้ง : ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหารพิกัด : https://goo.gl/maps/5BTxQdYY3oFyjFZc7 ศาลพ่อปู่พญาอนันตนาคราช จังหวัดมุกดาหาร ศาลพ่อปู่พญาอนันตนาคราช อยู่บริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ชาวบ้านเชื่อกันว่า ณ เสาต้นที่ 2 ของสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งนี้ เป็น “ถ้ำพญานาค” ซึ่งเป็นจุดที่พญานาคจะขึ้นมาให้พรและปกปักรักษาลูกหลาน รวมทั้งผู้ที่มาสักการะ นอกจากนี้ในวันที่ 8-9 มิถุนายนของทุกปี ก็จะมีพิธีบวงสรวงพ่อปู่พญาอนันตนาคราชอีกด้วย.ที่ตั้ง : สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ต.บางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหารพิกัด : https://goo.gl/maps/BTv1W6jjVGdNMKeL9 องค์พญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนหน้าเมืองริมแม่น้ำโขง ลักษณะเป็นรูปปั้นพญานาคขดหาง มี 7 เศียร พ่นน้ำได้ หล่อด้วยทองเหลือง มีความสูงจากฐาน 16.29 เมตร ใต้ฐานขององค์พญานาคมีห้องจัดแสดงประวัติการก่อสร้างองค์พญาศรีสัตตนาคราชอยู่ด้วย ทุกวันตอนพลบค่ำจะมีการเปิดไฟประดับรอบองค์พญาศรีสัตตนาคราช และบริเวณใกล้กันมีลานพนมนาคา เป็นลานคอนกรีตกว้างเหมาะสำหรับชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขง และชมความสวยงามของทิวเขาฝั่งเมืองท่าแขก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว.ที่ตั้ง : ริมแม่น้ำโขง บริเวณจุดตัดระหว่างถนนสุนทรวิจิตรกับถนนนิตโย อ.เมือง จ.นครพนมพิกัด : https://goo.gl/maps/TuU3NM75j5UXTaAZ8 ป่าคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี คำชะโนด หรือวังนาคินทร์คำชะโนด มีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ เต็มไปด้วยต้นชะโนด ตามตำนานพื้นบ้านเล่าว่า สถานที่แห่งนี้เป็นประตูสู่เมืองบาดาล ถิ่นที่อยู่อาศัยของพญานาค ซึ่งปกครองโดยองค์ปู่พญาศรีสุทโธนาคราช และองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี ภายในเกาะคำชะโนดมีศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทีไม่เคยแห้ง เชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำที่สามารถทะลุไปถึงแม่น้ำโขงได้ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางให้เดินชมความงามของป่าคำชะโนดอีกด้วย ที่ตั้ง : ต.บ้านม่วง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/NduSibPHggKgtcXa8 เปิดทุกวัน เวลา 06.00 – 18.00 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 18 ตุลาคม 2562

สถานที่สักการะองค์พญานาคในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม

ชม 2 ภู…ดูน้ำตก จังหวัดบึงกาฬ

บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วจังหวัด หากเพื่อนๆ ยังไม่เคยไป แอดมีแหล่งท่องเที่ยว 3 แห่งมานำเสนอ.ภูสิงห์ เขตป่าสงวนที่มีหินสวยๆ ซ่อนอยู่ รอให้ไปค้นหาภูทอก บันไดไม้แห่งศรัทธาสู่ภูเขาแห่งธรรมน้ำตกถ้ำพระ สไลเดอร์ธรรมชาติ ถ่ายภาพยังไงก็สวย.อยากรู้เป็นยังไง ตามแอดไปดูกันเลย ที่แรกที่แอดจะแนะนำก็คือ “ภูสิงห์” สถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่ เป็นภูเขาหินทรายสีชมพูล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีเนื้อที่ 12,000 ไร่.ที่ตั้ง : ต.นาสิงห์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน 05.00 – 17.00 น. (ขาลงเที่ยวสุดท้ายไม่เกิน 18.30 น.)ติดต่อเจ้าหน้าที่ สอบถามข้อมูล หรือบริการนำเที่ยว โทร. 080 196 1631ททท. สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 สิ่งอำนวยความสะดวก – มีจุดกางเต็นท์อยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รองรับได้ประมาณ 1,000 หลัง หากใครไม่ได้นำอุปกรณ์กางเต็นท์มาเช่าได้ที่นี่เลย สอบถามราคาได้ที่เจ้าหน้าที่ ส่วนค่าธรรมเนียมในการกางเต้นท์ แล้วแต่เพื่อนๆ จะบริจาคกันตามใจ**ไม่อนุญาตให้กางเต็นท์ด้านบนภูสิงห์**– มีร้านอาหารตามสั่ง ขนม และเครื่องดื่มอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว– สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่ารถโฟร์วีลขึ้นไปเที่ยวตามจุดต่างๆได้ ค่าบริการคันละ 500 บาท นั่งได้ 10 คน **นักท่องเที่ยวสามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปได้ แต่แอดแนะนำให้ใช้บริการของภูสิงห์จะดีกว่า เนื่องจากทางค่อนข้างซับซ้อน** ไฮไลท์แรกของภูสิงห์ที่แอดจะแนะนำ ได้แก่ “ลานธรรมภูสิงห์” ลานกว้างขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปหลวงพ่อพระสิงห์ประดิษฐานอยู่ หากเพื่อนๆ สังเกตดู จะเห็นว่าหินทรายด้านหลังพระพุทธรูปนั้นดูคล้ายกับสิงโตหมอบ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูสิงห์” นั่นเอง ที่นี่เป็นสถานที่ที่พระสงฆ์และฆราวาสใช้จัดกิจกรรมทางศาสนาและสวดมนต์ภาวนาเป็นประจำทุกปี จุดต่อมาคือ “หินสามวาฬ” แลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องไปถ่ายรูปสวยๆ กัน มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายวาฬ 3 ตัว พ่อ แม่ ลูก แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีเขียว โดยปกติเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ขึ้นเฉพาะหินวาฬพ่อและแม่เท่านั้น เนื่องจากหินวาฬลูกมีลักษณะเป็นสันเขาแหลม อาจทำให้เกิดอันตรายได้ แอดไปแล้วได้ภาพสวยๆมาเยอะเลย เพื่อนๆ คนไหนไปมาแล้ว เอาภาพมาอวดแอดได้นะ จากบนนี้เราจะมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลถึงแม่น้ำโขงและเมืองปากกระดิ่ง ประเทศลาวเลย ส่วนพื้นที่สีเขียวๆ ด้านล่างนี้คือสวนยางพารา ซึ่งบึงกาฬถือเป็นจังหวัดที่ปลูกต้นยางมากที่สุดในภาคอีสานเลยทีเดียว มาต่อกันที่ “หินหัวช้าง” เป็นโขดหินขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายหัวช้าง พอขึ้นมาแล้วเหมือนเรานั่งอยู่ตรงหัวช้างเลย “หินช้าง” อยู่ตรงข้ามกับหินหัวช้าง มีลักษณะคล้ายช้างยืนเต็มตัว ซึ่งหินช้างนี้เราไม่สามารถขึ้นไปได้นะ ดูได้อย่างเดียว “ส้างร้อยบ่อ” (“ส้าง” เป็นภาษาถิ่น แปลว่า “บ่อ”) จุดชมวิวริมผาที่มีลักษณะเป็นหลุมขนาดต่างๆ กัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาและการกัดกร่อนของลมฝน ในฤดูฝนในส้างจะมีน้ำขังด้วย จากจุดนี้สามารถมองเห็นหนองกุดทิงได้ และนอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกด้วย สถานที่ต่อมาที่เราจะไปกันก็คือ “วัดภูทอก” สถานปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบที่มีความงดงามทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร โดยมีทางเดินเป็นสะพานไม้เวียนรอบเขาจนถึงชั้นบนสุด ภูทอกน้อย เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร หรือ วัดภูทอก ดังนั้นเมื่อมาที่นี่ เพื่อนๆ ก็ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยและปฏิบัติตามกฎของวัดกันด้วยนะ ที่ตั้ง : บ้านคำแคน ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน 08.00 – 18.00 น.ททท.สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 จุดท้าทายของภูทอก คือการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาที่สูงชัน โดยชั้นที่ 1-3 จะเป็นบันไดไม้ขึ้นไป เมื่อมาถึงสุดทางของชั้นที่ 3 จะมีบันไดแยกเป็น 2 ทาง ทางขวามือระยะทางสั้นกว่าแต่ทางค่อนข้างชัน ส่วนทางซ้ายนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้ แต่ทางขึ้นไปยังชั้น 5 เป็นบันไดที่ค่อนข้างชัน และต้องเดินผ่านซอกหินแคบๆ ขึ้นไป เมื่อถึงชั้น 5 เราจะพบกับ “ถ้ำวิหารพระ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสังขารของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้บุกเบิกสถานที่แห่งนี้ จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักที่ร่มรื่นและมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่น้อยเลย วิวของภูทอก ก็จะเป็นอะไรประมาณนี้ จุดท้าทายของภูทอก คือการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาที่สูงชัน โดยชั้นที่ 1-3 จะเป็นบันไดไม้ขึ้นไป เมื่อมาถึงสุดทางของชั้นที่ 3 จะมีบันไดแยกเป็น 2 ทาง ทางขวามือระยะทางสั้นกว่าแต่ทางค่อนข้างชัน ส่วนทางซ้ายนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้ แต่ทางขึ้นไปยังชั้น 5 เป็นบันไดที่ค่อนข้างชัน และต้องเดินผ่านซอกหินแคบๆ ขึ้นไป เมื่อถึงชั้น 5 เราจะพบกับ “ถ้ำวิหารพระ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสังขารของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้บุกเบิกสถานที่แห่งนี้ จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักที่ร่มรื่นและมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่น้อยเลย จากพุทธวิหารจะมองเห็นภูทอกใหญ่ได้อย่างชัดเจน และเมื่อเดินกลับไปตามทางเดิม เราก็จะเจอทางเดินไม้เวียนรอบเขาซึ่งนำทางไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 6 (จริงๆ มีชั้นที่ 7 ด้วย แต่สภาพเป็นป่าที่ค่อนข้างรก จึงไม่แนะนำให้ขึ้นไป) การปีนป่ายขึ้นมายังภูทอกและเดินบนทางเดินไม้รอบหน้าผานั้น นอกจากจะทำให้ได้เสียเหงื่อแล้ว ยังต้องใช้ความระมัดระวังและมีสติในทุกย่างก้าวอีกด้วย สำหรับแอดแล้วถือว่าเป็นเหมือนการฝึกจิตอย่างหนึ่งเลยนะ และที่สำคัญแอดยังได้ความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่สามารถพิชิตภูทอกได้สำเร็จแถมมาด้วย บนชั้นที่ 6 นอกจากการเดินชมวิวรอบหน้าผาบนทางเดินไม้แล้ว อีกจุดที่แอดว่าน่าสนใจมากๆ ก็คือ “ถ้ำพญานาค” ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นช่องเล็กๆ อยู่ด้านหลังพระพุทธรูปนาคปรก ว่ากันว่าคือปากทางเข้าเมืองพญานาค และเมื่อแหงนมองขึ้นไปบนเพดานถ้ำ ก็จะเห็นหินสีเขียวติดอยู่ มองแล้วคล้ายกับดวงตาของพญานาคเลย ข้อควรปฏิบัติก่อนขึ้นเขา เนื่องจากภูทอกเป็นวัดและสถานที่ปฏิบัติธรรม ผู้มาเยี่ยมชมจึงควรปฏิบัติตามกฎที่ทางวัดตั้งไว้อย่างเคร่งครัด ได้แก่ – ไม่ส่งเสียงดังรบกวนพระสงฆ์ที่กำลังปฏิบัติธรรม– ห้ามขีดเขียนข้อความลงบนหิน– แต่งกายสุภาพ (ห้ามใส่เสื้อแขนกุด เอวลอย กระโปรงสั้น กางเกงขาสั้น ฯลฯ)– ห้ามนำอาหารขึ้นไปรับประทานด้านบนโดยเด็ดขาด (เพราะอาจมีลิงเข้ามาแย่งอาหาร) ภูทอกจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้น ระหว่างวันที่ 10

ชม 2 ภู…ดูน้ำตก จังหวัดบึงกาฬ อ่านเพิ่มเติม

จุดชมวิวป้อมปี่

ในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ หลายคนคงนึกถึงอากาศหนาวเย็นและสายลมบางๆ ที่พัดผ่านมาสัมผัสผิวกาย รวมทั้งไอหมอกที่บ่งบอกว่าตอนนี้กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว…..และในช่วงที่อากาศเย็นสบายแบบนี้ การได้ไปกางเต็นท์นอนดูดาว รอชมพระอาทิตย์ตกนั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่พิเศษไม่น้อยเลยทีเดียว.หากใครยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แอดขอแนะนำที่นี่เลย “จุดชมวิวป้อมปี่” เพราะที่นี่มีทุกสิ่งที่เราต้องการ.จุดชมวิวป้อมปี่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีhttps://goo.gl/maps/cZEY9HPtHaCU7VJy9 . เกร็ดความรู้ : “ป้อมปี่” เพี้ยนมาจากคำว่า “เปอปี่” ซึ่งเป็นภาษากระเหรี่ยง แปลว่า “ต้นอ้อ” “จุดชมวิวป้อมปี่” ตั้งอยู่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม ซึ่งเป็นสถานที่ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาที่เขียวขจีและผืนน้ำอันนิ่งสงบ บอกได้เลยว่าที่แห่งนี้นั้นเหมาะแก่การรับลมเย็นๆ และพักผ่อนหย่อนใจสุดๆ ค่าเข้าชม– ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท– ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท.ค่าธรรมเนียมยานพาหนะ– รถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน– รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน.ค่าที่พัก– เต็นท์ขนาดเล็กนอนได้ 2-3 คน ราคา 225 บาท/คืน– หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่ากางเต็นท์ 30 บาท/คืน.ปล.ที่นี่มีห้องน้ำรวมไว้ให้บริการ ส่วนไฟฟ้าเพื่อนๆ สามารถใช้ได้ที่ศูนย์อำนวยการค่ะ นอกจากเราจะได้นอนกางเต็นท์พร้อมชมธรรมชาติที่สวยงามแล้ว การทำอาหารด้วยตนเองแอดบอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ เพราะเราจะได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร อีกทั้งยังได้เรียนรู้การพึ่งพาตนเองอีกด้วย.หากใครที่ไม่ได้เตรียมเตาปิ้งย่างมาด้วย สามารถขอเช่าได้ที่ศูนย์อำนวยการ ราคาชุดละ 100 บาทค่ะ ทำอาหารเสร็จแล้ว เราก็มารอชมพระอาทิตย์ตกกันดีกว่าค่ะ ซึ่งต้องบอกเลยว่าจุดชมวิวป้อมปี่นั้น เป็นสถานที่ที่เราสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามอีกจุดหนึ่งของกาญจนบุรีเลยทีเดียว.ที่นี่เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ คล้อยต่ำลงและหายลับไป เหมือนกับว่าพระอาทิตย์กำลังตกน้ำยังไงยังงั้นเลยค่ะ นอกจากบรรยากาศยามเย็นจะสวยงามแล้ว บรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่ก็ฟินไม่แพ้ที่ไหนๆ เลยค่ะ เพราะเราจะได้ชมดวงดาวนับร้อยนับพันที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งหากโชคดียังมีโอกาสได้ชมทางช้างเผือกอีกด้วย.ปล.แนะนำว่าอย่านอนดึกนะคะ เพราะหากตื่นสายเพื่อนๆ จะอดเห็นไอน้ำที่ดูคล้ายหมอก ที่ลอยอยู่เหนือบริเวณอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นความงดงามอีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้หลายคนเดินทางมายังจุดชมวิวป้อมปี่แห่งนี้นั่นเองค่ะ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 16 ตุลาคม 2562

จุดชมวิวป้อมปี่ อ่านเพิ่มเติม

ป่าสนวัดจันทร์ Go Green

ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ไปสัมผัสบรรยากาศอันเขียวขจีและชุ่มฉ่ำที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ จังหวัดเชียงใหม่กันดีกว่า ที่นี่บรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนกายและใจเป็นที่สุด.โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)  ที่ตั้ง : ต.บ้านจันทร์ กม.40 หมู่บ้านห้วยอ้อ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่พิกัด : https://goo.gl/maps/Mgf8gxcX67f9DWGMAเปิดทำการทุกวัน : 08.00 – 22.00 น.เบอร์โทรศัพท์จองที่พัก : 053 249 349เบอร์โทรศัพท์เจ้าหน้าที่ : 086 181 3388Facebook : FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป..การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง 1. จากขนส่งอาเขต นั่งรถสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน รถออกเวลา 07.00 น. / 09.00 น. / 10.30 น. / 12.30 น. / 14.30 น. และ 16.00 น. (สำหรับค่าโดยสารสามารถสอบถามได้ที่ บ.เปรมประชา โทร.053 304 748) จากนั้นนั่งรถสองแถวบริเวณตลาดแสงทอง อ.ปาย ไปที่บ้านวัดจันทร์ รถมีวันละ 1 เที่ยว เวลา 13.00 น 2. จาก บขส.(ช้างเผือก) นั่งรถสองแถวป้ายบ้านวัดจันทร์ (รถสีเหลือง) รถออกเวลา 09.00 น. และ 11.00 น. ราคาคนละ 150 บาท ถ้าให้ส่งที่ อ.อ.ป. คิดเพิ่มคนละ 40 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง  โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นป่าสนที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่อำเภอปาย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอสะเมิง และบางส่วนของอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่กว่า 150,000 ไร่.สามารถเที่ยวได้ทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะที่สุดคือ เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ถ้ามาเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ จะได้พบกับความเขียวขจีและสดชื่นในแบบกรีนซีซั่น แต่ถ้ามาช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์จะเป็นช่วงใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีสวยงาม เหมาะสำหรับถ่ายภาพมากๆ เลยล่ะ ที่นี่มีบ้านพักกว่า 30 หลัง และมีหลายแบบ พักได้ตั้งแต่ 2 – 10 คน ราคาหลังละ 800 – 2,000 บาท.ค่าบริการเสริม– ค่าเช่าที่นอนเสริม (ราคา 200 บาท)– ค่าเช่าจักรยาน (ราคา 100 บาท/วัน/คัน)– ค่าอาหารเช้า (ราคา 100 บาท/คน)– ค่าอาหารกลางวัน (ราคา 120 บาท/คน)– ค่าอาหารเย็น (ราคา 150 บาท/คน) มีบริการพื้นที่กางเต็นท์ สามารถรองรับได้ประมาณ 300 หลัง แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง โดยมีค่าธรรมเนียม 50 บาท/คน/คืน และต้องนำอาหารมาเอง แต่ถ้าไม่ได้เตรียมมา ก็สามารถแจ้งทางศูนย์ฯ ให้เตรียมอาหารให้ได้ค่ะ ไฮไลท์ของโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์คงจะหนีไม่พ้นป่าสนที่สวยงาม และบรรยากาศชิลๆ ริมอ่างเก็บน้ำ ถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว จะได้เห็นวิวอ่างเก็บน้ำและหมอกสวยๆ แบบนี้ สะพานไม้ท่ามกลางป่าสนเป็นอีกจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาด ถ้าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ในตอนกลางคืน เพื่อนๆ จะได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้า บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เหมาะกับการพาแฟนไปนั่งดูดาว แต่คนโสดก็ไม่ต้องกลัวเหงา พาแก๊งเพื่อนมาถ่ายรูปดาว รับรองได้รูปสวยๆ กลับไปแน่นอน ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากชาวบ้าน โมบายที่ทำจากไม้แกะสลัก ผ้าทอของชาวปกาเกอะญอ โปสการ์ด เสื้อยืด ฯลฯ.ขอบคุณรูปภาพจาก เพจ FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป. อยู่กลางป่ากลางเขาก็ไม่ต้องกลัวหิว เพราะที่นี่เลี้ยงเราดีมากๆ อาหารแม้จะเป็นเมนูทั่วไป แต่รสชาติอร่อยจนต้องขอเติมรอบสอง กระซิบไว้หน่อยว่า ห้ามพลาดน้ำพริกกะปิ เพราะรสชาติจัดจ้าน เข้มขัน ทานกับผักสดและแคบหมูยิ่งอร่อย เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 ตุลาคม 2562

ป่าสนวัดจันทร์ Go Green อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top