สถานที่ท่องเที่ยว

ปั่นสองน่อง ท่องนครแห่งศิลาแลง

อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เป็นส่วนหนึ่งของเมืองมรดกโลก (อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร) ที่ยูเนสโกประกาศไว้เมื่อ พ.ศ.2534 มีโบราณสถานที่สวยงาม สามารถไปปั่นจักรยาน ซึมซับบรรยากาศของเมืองที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แล้วเราจะพบว่าเมืองแห่งนี้นั้นสงบสุขเพียงไร  ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.00 – 16.30 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท : ชาวต่างประเทศ 100 บาท อัตราค่ายานพาหนะรถจักรยานสองล้อ คันละ 30 บาท/คัน พร้อมแล้ว ไปปั่นกันเลย! ที่แรกเราแวะที่ ศาลหลักเมืองเมืองกำแพงเพชร เป็นเมืองที่มีนามอันเป็นมงคล หมายถึง ความมั่นคง ประดุจเป็นเมืองที่มีปราการทำด้วยเพชร ศาลหลักเมืองกำแพงเพชรจึงเป็นสิ่งที่พ้องกับความมั่นคงไม่หวั่นไหว จึงเหมาะสำหรับขอพรเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อาชีพ ของหาย ของรัก ฯลฯ ปั่นมาแป๊บเดียว ใกล้ๆกัน คือ วัดพระแก้ว อยู่ใจกลางเมืองกำแพงเพชร เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เป็นวัดสำคัญอยู่ในบริเวณวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย  ภายในวัดประกอบด้วยโบราณสำคัญๆ ได้แก่ พระวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น 3 องค์ ซึ่งภายในองค์พระก่อด้วยศิลาแลง ประกอบด้วยพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย 2 องค์ พระพุทธรูปมีพระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม ตามแบบศิลปะอู่ทอง เจดีย์ประธานทรงระฆัง ที่ฐานมีร่องรอยของการทำสิงห์ล้อม เหนือขึ้นไปเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งชำรุดไปเกือบหมด  นอกจากนี้ภายในวัดยังมี เจดีย์ช้างล้อม วิหาร มณฑป อุโบสถ และเจดีย์ราย ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงเป็นแท่ง บรรยากาศ สงบ ร่มเย็นมากจริงๆ  ปั่นไปกันต่อที่ วัดพระธาตุ อยู่ด้านทิศตะวันออกติดกับวัดพระแก้ว มีเจดีย์ทรงระฆังฐานแปดเหลี่ยมเป็นประธาน ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ยิ่งใหญ่ สวยงาม ที่ถัดมาคือ วัดพระนอน.วิหารวัดพระนอน ภายในเรียงรายด้วยเสาขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยศิลาแลง ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ เสาแต่ละต้นใช้ศิลาแลงเพียงก้อนเดียวเท่านั้น!  หลักฐานทางประติมากรรมที่พบคือ ใบเสมารูปเทพนม พาลีกับทรพีสันนิษฐานว่าสลักขึ้นในสมัยอยุธยา  ด้านหน้าของวิหารคืออุโบสถขนาดใหญ่ มีกำแพงศิลาแลงปักล้อมรอบวัดทั้ง 4 ด้าน ฐานและเสาทำจากศิลาแลง ทางเดินปูด้วยศิลาแลง  มาต่อกับที่ถัดมา วัดพระสี่อิริยาบถ หรือ วัดพระยืน ด้านหน้าวัดมีอุโบสถขนาดใหญ่ยกฐานสูง 2 เมตร ถัดเข้ามาเป็นมณฑปจัตุรมุข แต่ละทิศประดิษฐานพระพุทธรูป 4 อิริยาบถ เรียงจากทิศตะวันออกไปยังทิศเหนือ (ตามเข็มนาฬิกา) คือ เดิน นั่ง ยืน และนอน ตามลำดับ  ปัจจุบันเหลือเพียงพระยืนขนาดใหญ่ที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ พระพักตร์มีลักษณะแบบพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยสกุลช่างกำแพงเพชร คือ พระนลาฏกว้าง และพระหนุเสี้ยม งดงามมาก ปั่นต่อไปอีกนิดจะถึง วัดสิงห์ ถัดจากวัดพระสี่อิริยาบถไปทางทิศเหนือ 100 เมตร สันนิษฐานว่าใช้เวลาสร้างถึง 2 สมัยคือ สมัยสุโขทัยและอยุธยา ผังรวมของวัดแบ่งเขตพุทธาวาสให้อยู่ในกลุ่มกลางล้อมรอบด้วยเขตสังฆาวาสหรือกุฏิสงฆ์  โดยมีเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมมีมุขยื่น 4 ทิศเป็นประธาน ส่วนบนของเจดีย์ปรักหักพังไปหมดแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์  ด้านหน้าเป็นอุโบสถขนาดใหญ่ยกฐานสูง บนฐานประทักษิณประดิษฐานใบสีมาไว้ทั้งแปดทิศ ตรงบันไดทางขึ้นอุโบสถพบชิ้นส่วนของสิงห์ประดับอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของชื่อวัด บรรยากาศ สงบ น่าหลงใหลจริงๆ ที่สุดท้ายของวันนี้คือ วัดช้างรอบ เป็นวัดที่สร้างอยู่บนเนินเขาขนาดย่อม มีเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ซึ่งยอดหักพังไปหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนฐาน รอบๆ ฐานเจดีย์ประดับด้วยช้างทรงเครื่องครึ่งตัว จำนวน 68 เชือก ระหว่างช้างแต่ละเชือกมีภาพปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษาในพระพุทธศาสนา เช่น ต้นโพธิ์ ต้นสาละ เป็นต้น เหนือขึ้นไปเป็นลานประทักษิณ มีบันไดทางขึ้นอยู่ทั้งสี่ด้าน จริงๆ ยังมีอีกหลายสถานที่ที่น่าสนใจ ยิ่งเราได้ปั่นไปเยือน ยิ่งทำให้เราจินตนาการถึงความรุ่งเรืองในอดีต ได้ถ่ายรูปสวยๆ บรรยากาศร่มรื่นตลอดทาง ลองมาเที่ยวกันดูนะ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ททท. สำนักงานสุโขทัย (ดูแล สุโขทัย กำแพงเพชร และ อุตรดิตถ์) โทร 055 616 228-9อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร โทร 055 854 736-7 การเดินทาง ห่างจากตัวเมืองกำแพงเพชรประมาณ 5 กิโลเมตร ตามถนนสายกำแพงเพชร-พรานกระต่าย แล้วเลี้ยวซ้ายตรงกิโลเมตรที่ 360

ปั่นสองน่อง ท่องนครแห่งศิลาแลง อ่านเพิ่มเติม

นั่งรถไฟไปเที่ยววังกรด ตลาดเก่าเล่าเรื่อง จ.พิจิตร

ตลาดเก่าวังกรดในพื้นที่ชุมชนย่านเก่าวังกรด ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ที่ตำบลวังกรด อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร ก็ไม่ได้ไกลมากเท่าไหร่  ย่านชุมชนเก่าเปิดวันศุกร์-เสาร์ ตั้งแต่ 08.30-15.00 น. ตลาดเก่าเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-15.00 น. การเดินทางทริปนี้เราเดินทางโดยรถไฟ มีบริการรถไฟสายเหนือออกจากสถานีหัวลำโพงทุกวัน ขบวนจอดรถที่สถานีวังกรด วันละ 2 เที่ยว รอบ 07.00 – 13.00 น.รอบ 09.25 – 17.01 น.โทร 1690 หรือ www.railway.co.th  หรือหากสะดวกรถยนต์จากกรุงเทพฯใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข32 (สายเอเชีย)ถึงนครสวรรค์ ใช้ทางหลวงหมายเลข117 ถึงอำเภอสามง่าม แยกขวาใช้ทางหลวงหมายเลข115 ผ่านพิจิตรจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำน่าน แยกเข้าทางซ้ายมือตามป้ายบ้านวังกรด เลี้ยวขวาใต้สะพาน วิ่งขนานทางรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเทศบาล 1 ถึงย่านเก่าบ้านวังกรด แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดย่านเก่าวังกรดที่รุ่งเรืองและเป็นที่รู้จักอย่างมากมายในอดีต ก็ไม่เคยจางหายไปเห็นได้จากบ้านไม้เก่าแก่ สถานที่ สิ่งของต่างๆอาจจะเป็นความทรงจำวัยเด็กของใครหลายคน ไปเที่ยวย่านเก่าวังกรดโดยรถไฟเก๋ไก๋นะจะบอกให้ ดูวิถีชีวิตเนิบๆของชุมชน เสน่ห์ทางวัฒนธรรมและความเรียบง่าย ลงจากรถไฟย่างก้าวเข้ามาถึงจะพบหอนาฬิกากลางตลาด แสดงให้เห็นว่ามาถึงแล้วไม่หลงจ้า ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาทำการค้าก่อร่างสร้างตัวรุ่งเรืองทางด้านค้าขายเป็นอย่างมาก ก่อนจะไปตระเวนกัน มารู้จักกับประวัติของย่านนี้กันสักหน่อย เดิมทีนี่มีชื่อว่า ชุมชนวังกลม และเปลี่ยนเป็น วังกรด ตามชื่อสถานีรถไฟในสมัยรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างทางรถไฟสายเหนือขึ้นโดยสร้างตัดผ่านชุมชน ทำให้มีสถานีรถไฟวังกรดเกิดขึ้น และชุมชนวังกรดเจริญในเรื่องการค้าขายมากขึ้น  หลวงประเทืองคดี คหบดีในชุมชนที่มีอาชีพรับราชการอัยการ จึงก่อตั้งตลาดวังกรดขึ้นเพื่อเป็นชุมชนค้าขายอย่างจริงจัง สองเท้าก้าวเดิน..จะพบเห็นบ้านไม้ 2 ชั้นเรียงรายติดกันตามถนนเส้นเล็กๆนั้น แต่ละบ้านจะค้าขายของต่างๆ ร้านค้าเก่าแก่ยังคงอยู่สืบทอดกิจการอย่างร้านยาสมุนไพรและร้านอาหารที่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติและเอกลักษณ์โบราณ  เดินลัดเลาะกันไปเรื่อยๆตามถนนเส้นเล็กๆ จะเจอบ้านเรือนที่มีทั้งร้านค้าและศูนย์ข้อมูลให้ความรู้ ความเป็นมาในอดีตของตลาดเก่าแห่งนี้ได้กลิ่นอายบรรยากาศในอดีต สักการะขอพรศาลเจ้าพ่อวังกลมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพของชาวชุมชนวังกรด มาถึงแล้วก็ต้องเข้าไปกราบหน่อยค่ะเพื่อสิริมงคล เดินชมตลาดเรื่อยๆถัดออกมาหน่อยจะเจอ บ้านหลวงประเทืองคดี เป็นบ้านของผู้ริเริ่มก่อตั้งตลาดวังกรดแห่งนี้ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ตัวอาคารเป็นตึกที่สร้างขึ้นเป็นหลังแรกของชุมชน ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาศึกษาประวัติความเป็นมาของสถานที่อันน่าสนใจแห่งนี้

นั่งรถไฟไปเที่ยววังกรด ตลาดเก่าเล่าเรื่อง จ.พิจิตร อ่านเพิ่มเติม

ตำด๊องแด๊ง เมนูสุดแซ่บ ท้าลมร้อน ณ เมืองเลย

ตำด๊องแด๊ง เมนูแซ่บท้าลมร้อน ณ เมืองเลย ขอบคุณภาพจาก ททท.สำนักงานเลย เส้นด๊องแด๊ง คือ เส้นแป้งข้าวเจ้าที่บีบออกมาจากพิมพ์ ลักษณะเหมือนเส้นเกี้ยมอี๋ นำมาตำเป็นเมนูส้มตำ ส่วนใหญ่จะเป็นตำซั่วหรือตำปูปลาร้า ที่เรียกเส้นด๊องแด๊ง เพราะรูปร่างเป็นเส้นสั้นๆ อ้วนๆ เวลาตักขึ้นมาจากหม้อ เส้นจะดิ้นไปมา จึงเรียกแบบน่ารักๆว่า เส้นด๊องแด๊ง ขอบคุณภาพจาก : pantip สมาชิกหมายเลข 3060998 หลังจากบีบออกมาจากพิมพ์ และผ่านการลวกแล้ว เส้นที่ได้จะมีหน้าตาแบบนี้ค่ะ เนื้อสัมผัสหนึบๆ ดึ๋งๆ เอามากินเล่นเปล่าๆก็อร่อยไปอีกแบบ ขอบคุณภาพจาก : pantip สมาชิกหมายเลข 1597982 หลังจากได้เส้นมาแล้ว ก็เอามาตำเป็นส้มตำแบบนี้แหละค่ะ พูดมาขนาดนี้แล้ว หลายคงคงอยากไปจัดตำด๊องแด๊งสักจาน ให้รู้กันไปเลยว่าจะอร่อยแซ่บขนาดไหน แอดมินขอแนะนำร้านส้มตำที่ทำเมนูตำด้องแด้ง ได้อร่อยเด็ด แซ่บซี้ดถึงใจ ให้ทุกคนไปตามรอยกันเลย!! ขอบคุณภาพจาก : pantip สมาชิกหมายเลข 3060998 เปิดลายแทงส้มตำร้านเด็ดในเชียงคาน ตามนี้เลยค่ะ 1. ส้มตำป้าสรวง ที่ตั้ง 311/4 ซ.ศรีเชียงคานซอย 10 ติดกับตลาดสดเชียงคาน เปิด 08.00 – 17.00 น. 2. จิตส้มตำ ถนนศรีเชียงคาน ปากซอย 21 ด้านหลังโรงเรียนเชียงคาน วิจิตรวิทยา เปิดทุกวัน 9.00 – 18.00 น. ไม่อยากไปแล้วเงิบ เจอร้านปิด โทรไปก่อนที่เบอร์ 085 752 8887พิกัด : https://goo.gl/maps/cjQpnQHGbkA2 3. ตำด๊องแด๊ง ณ เชียงคาน ถนนศรีเชียงคาน ใกล้โรงพยาบาลเชียงคาน เปิดทุกวัน 07.00 – 17.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/6wgxoiwupLG2 ถ้าใครยังไม่มีเวลาไปจังหวัดเลย ที่กรุงเทพก็มีร้านตำด๊องแด๊งส่งตรงมาจากเมืองเลยให้ทานนะคะ  ร้านหน่อยตำซั่ว เมืองเลย สาขารามอินทรา ที่ตั้ง: ปากซอยพระยาสุเรนทร์ 25 ถนนพระยาสุเรนทร์ เปิดทุกวัน 11.00 – 21.00 น. พิกัด https://goo.gl/maps/kPdqQXTvJ9F2 ขอบคุณรูปภาพจาก : facebook ร้านหน่อยตำซั่ว

ตำด๊องแด๊ง เมนูสุดแซ่บ ท้าลมร้อน ณ เมืองเลย อ่านเพิ่มเติม

อุทยานธรณีโลกแห่งแรกของประเทศไทย

ยานธรณีสตูลเป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นแห่งที่ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…

อุทยานธรณีโลกแห่งแรกของประเทศไทย อ่านเพิ่มเติม

สุข สงบ งดงาม วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) อุทัยธานี

วัดอุโปสถารามมีอายุหลายร้อยปี สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัตนโกสิทร์ตอนต้น…

สุข สงบ งดงาม วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์) อุทัยธานี อ่านเพิ่มเติม

ร้านเด็ดปากน้ำโพ

ร้านเด็ดปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ มาดูกันค่ะวันนี้แอดพาไปชิมร้านอร่อยๆ รับรองว่าเด็ดจริงๆ ขอบอก…

ร้านเด็ดปากน้ำโพ อ่านเพิ่มเติม

ช้อป ชิม ชิล ตลาดน้ำวัดโตนด ล่องเรือคลองอ้อม ทอดผ้าป่ากลางน้ำ

ตลาดน้ำวัดโตนดสร้างขึ้นตามโครงการตลาดประชารัฐ ตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีพื้นที่ค้าขาย ส่งเสริมเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย…

ช้อป ชิม ชิล ตลาดน้ำวัดโตนด ล่องเรือคลองอ้อม ทอดผ้าป่ากลางน้ำ อ่านเพิ่มเติม

พระพุทธรูปปางมารวิชัย “ใหญ่ที่สุดในโลก”

หลวงพ่อใหญ่ หรือ พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ เป็นพระพุทธรูปที่หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ และผู้มีจิตศรัทธา…

พระพุทธรูปปางมารวิชัย “ใหญ่ที่สุดในโลก” อ่านเพิ่มเติม

เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้ำเมืองกีฬา

“เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้ำเมืองกีฬา”.บุรีรัมย์…จากเมืองเล็กๆ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปี ปัจจุบันกลับกลายเป็นจังหวัดที่มีความโดดเด่น และน่าสนใจในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นดินแดนภูเขาไฟเมืองไทย แหล่งรวมอารยธรรมขอมโบราณ มีงานศิลปหัตถกรรมลือเลื่องคือผ้าไหมและผ้ามัดหมี่นาโพธิ์ และปัจจุบันยังมีสนามกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสนามฟุตบอลและสนามแข่งรถ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยว ที่มักจะแวะเวียนไปถ่ายรูปคู่กับป้ายสนามเป็นที่ระลึกอยู่เสมอ.ถ้าใครที่ไปบุรีรัมย์แล้วไม่รู้จะเริ่มเที่ยวที่ไหนก่อนดี ลองเที่ยวตามคำขวัญดูสิ แอดว่าเราจะได้สัมผัสจังหวัดนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้งเลยล่ะ วันนี้เราไปเที่ยวตามคำขวัญจังหวัดบุรีรัมย์กัน!  “เมืองปราสาทหิน” ในอดีตจังหวัดบุรีรัมย์เคยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางคมนาคมสู่เมืองพระนครที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรขอม จึงทำให้มีการสร้างปราสาทขอมน้อย-ใหญ่ มากมายในบริเวณจังหวัดบุรีรัมย์แห่งนี้ ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด เพราะความสวยงามและความยิ่งใหญ่อลังการของสถาปัตยกรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิท ทำให้ปราสาทหินแห่งนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ปราสาทหินพนมรุ้งเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท  การเดินทางจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 218 (บุรีรัมย์-นางรอง) ระยะทาง 50 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 24 ไปอีก 14 กิโลเมตร จนถึงบ้านตะโก จากนั้นเลี้ยวขวาสู่ทางหลวงหมายเลข 2177 ทางไปบ้านตาเป็ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตรงไปอีก 12 กิโลเมตร ถึงอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ระยะทางจากตัวเมืองบุรีรัมย์ประมาณ 63 กิโลเมตร พิกัด : https://goo.gl/maps/VPfJTzKcP8F2 “ถิ่นภูเขาไฟ” บุรีรัมย์ คือ แผ่นดินมหัศจรรย์เชิงธรณีวิทยาโบราณ เพราะมีภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วอยู่ไม่น้อยกว่า 8 ลูก หนึ่งในนั้นคือ “ภูเขาไฟกระโดง” ใน อ.เมืองบุรีรัมย์นั่นเอง ปัจจุบันเป็นภูเขาสูง 256 เมตรปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง นับเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ใครมาเมืองนี้ต้องแวะเที่ยวให้ได้ บนเขากระโดงยังมีสิ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ รอยพระพุทธบาทจำลอง พระสุภัทรบพิตร พระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในท้องถิ่น ยังมีสะพานแขวน และจุดขึ้นไปชมทิวทัศน์ของตัวเมืองบุรีรัมย์ด้วยนะ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-18.00น.ไม่เสียค่าเข้าชม สามารถนำรถขึ้นไปถึงจุดชมวิวและพระสุภัทรบพิตรด้านบน และมีทางเดินขึ้นเป็นบันไดด้วย ประมาณ 290 ขั้น การเดินทาง จากจังหวัดบุรีรัมย์ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 (บุรีรัมย์-ประโคนชัย) ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้าย เข้าวนอุทยานฯพิกัด : https://goo.gl/maps/UrRuL5sxH862 “ผ้าไหมสวย” จังหวัดบุรีรัมย์มีผ้าไหมลวดลายสวยงามหลายแบบ แต่ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ ผ้าไหมซิ่นตีนแดงและผ้าฝ้ายภูเขาไฟ ภูอัคนี  ผ้าซิ่นตีนไหมแดง เป็นผ้าไหมเอกลักษณ์ท้องถิ่นของชาวอำเภอพุทไธสงและอำเภอนาโพธิ์ ที่สืบทอดมาเป็นเวลา 200 กว่าปี ตามแบบผ้าซิ่นลาว คือ ทอด้วยไหมทั้งผืน หัวซิ่นและตีนซิ่นเป็นสีแดงสด  ส่วนผ้าฝ้ายภูเขาไฟ ภูอัคนี เป็นผ้าฝ้ายย้อมดินภูเขาไฟของชุมชนบ้านเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ โดยนำดินภูเขาไฟอังคารมาย้อม เป็นสีน้ำตาลอ่อนและน้ำตาลแดง เนื้อผ้านุ่ม เบา เย็นสบายและสีคงทน หากใครสนใจที่จะเข้าไปชมกระบวนการทำผ้าไหม สามารถเข้าไปชมได้ที่ กลุ่มสตรีทอผ้าไหม หมู่บ้านเจริญสุข (ผ้าฝ้ายภูเขาไฟ) นอกจากนั้นยังสามารถเลือกซื้อสิ้นค้าต่างๆ ไปเป็นของฝาก ของที่ระลึกได้อีกด้วย กลุ่มสตรีทอผ้าไหม หมู่บ้านเจริญสุข เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30 – 16.30 น.โทร. 044 686 157 การเดินทางวิ่งตามถนน หมายเลข 24 (โชคชัย – เดชอุดม) เลี้ยวถนนหมายเลข 2117 ขับต่อไปประมาณ 7 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้าย ขับต่อประมาณ 2.9 กิโลเมตร จะถึงกลุ่มสตรีทอผ้าไหม หมู่บ้านเจริญสุข พิกัด : https://goo.gl/maps/1J9sbtkDcTK2 “รวยวัฒนธรรม” จังหวัดแห่งนี้ได้ผสมผสานความเป็นชุมชนดั้งเดิม ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน และความทันสมัยของเทคโนโลยีกิจกรรมกีฬาสมัยใหม่ เข้ากันได้อย่างลงตัว ซึ่งกิจกรรมหรือประเพณีต่างๆ ของจังหวัดบุรีรัมย์นั้นก็มีมากมาย เช่น งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง งานประเพณีขึ้นเขากระโดง งานประเพณีกวนข้าวทิพย์และตักบาตรเทโว งานกาชาดและงานประจำปีจังหวัดบุรีรัมย์ งานเทศกาลนมัสการพระเจ้าใหญ่วัดหงส์ งานมหกรรมว่าวอีสาน งานข้าวมะลิหอม ปลาจ่อมกุ้ง ชมทุ่งนกประโคนชัย ฯลฯ ส่วนกิจกรรมกีฬาก็มีให้ได้ร่วมชม ร่วมสนุกกันแทบจะตลอดทั้งปีเลยล่ะ “เลิศล้ำเมืองกีฬา”วลีนี้ได้ถูกเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญ และประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ที่ผ่านมานี่เอง จังหวัดบุรีรัมย์ในปัจจุบัน เป็นเมืองกีฬา หรือ sport city ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในระดับประเทศ  มีสนามช้างอารีนา (เดิมคือ สนามฟุตบอลไอโมบาย สเตเดียม) สนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานระดับสากลของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ออกแบบโดยการนำเทคโนโลยีและความทันสมัยของสโมสรฟุตบอลเชลซีกับเลสเตอร์ ซิตี้ จากอังกฤษ มาประยุกต์ให้เข้ากับสภาพอากาศของเมืองไทย สามารถจุผู้ชมได้ 32,600 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย และยังปรับปรุงภูมิทัศน์รอบสนามให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่เพื่อให้ประชาชนพักผ่อนและออกกำลังกายอีกด้วยพิกัด : https://goo.gl/maps/gNTmJKzQCQ12 และสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามมอเตอร์สปอร์ตมาตรฐานโลก บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ มีระยะห่างต่อรอบยาวกว่า 4 กิโลเมตร จำนวน 12 โค้ง เป็นสนามเดียวในไทยที่ได้รับรองมาตรฐานระดับ FIA Grade 1 และ FIM Grade A และเป็นสนามเดียวในโลกที่ผู้ชมบนแกรนด์สแตนด์สามารถมองเห็นภาพการแข่งขันได้ทุกโค้งสนามเลยทีเดียว ภายในสนามยังมีโรงแรมระดับห้าดาว ซึ่งจุดเด่นที่สุดของโรงแรมแห่งนี้ คือ สามารถมองเห็นพื้นที่สนามแข่งขันทั้งหมดได้จากห้องพักเลยพิกัด : https://goo.gl/maps/usw3irSHa6A2

เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้ำเมืองกีฬา อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top