สถานที่ท่องเที่ยว

เพื่อนร่วมทางพา Go Local : บ้านหนังตะลุง อ.สุชาติ ทรัพย์สิน จ.นครศรีธรรมราช

เพื่อนร่วมทางพา Go Local : บ้านหนังตะลุง อ.สุชาติ ทรัพย์สิน จ.นครศรีธรรมราช พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดย อ.สุชาติ ทรัพย์สิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน) เป็นพิพิธภัณฑ์หนังตะลุงแห่งแรกของไทย และถือเป็นแหล่งเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สำคัญของประเทศ ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงรูปและตัวหนังตะลุงโบราณ รวมทั้งหนังตะลุงนานาชาติอายุกว่า 100 ปี นอกจากนี้ยังมีห้องจัดแสดงเครื่องดนตรีพื้นบ้านของภาคใต้ รวมไปถึงการสาธิตการแกะตัวหนังและการเชิดหนังตะลุงด้วย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยถึง 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลดีเด่น ประเภทแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมและโบราณสถาน พ.ศ.2539 และรางวัลยอดเยี่ยมประเภทแหล่งท่องเที่ยวนันทนาการเพื่อการเรียนรู้ พ.ศ.2553 หนังตะลุงเป็นศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการว่าบทการสนทนาและการเชิดตัวหนังตะลุงนี้ นายหนังตะลุงจะเป็นคนแสดงเองทั้งหมด ตัวหนังตะลุงทำมาจากหนังวัวและหนังควาย เพราะมีความหนาพอเหมาะ มีความเหนียวทนทานต่อการแกะลาย และมีความโปร่งแสงพอสมควร  อีกหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของหนังวัวและหนังควายคือ ตัวหนังจะไม่บิดงอหรือพับง่ายๆ เมื่อทำการเชิดจะสามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ดี ทำให้ตัวหนังแสดงอิริยาบถได้สมจริง  สำหรับหนังสัตว์อื่นๆ ก็ใช้แกะรูปหนังได้เหมือนกัน แต่ส่วนมากจะมีลักษณะค่อนข้างจะทึบแสง ทำให้เวลาแสดงจะเห็นลวยลายได้ไม่ชัดเจน ก่อนจะทำการแกะลาย ช่างจะต้องร่างภาพของตัวละครแต่ละตัวลงบนหนังก่อน ซึ่งลวดลายตัวละครของหนังตะลุงจะไม่ซับซ้อนเหมือนหนังใหญ่ ช่างแกะตัวหนังตะลุงจะใช้เหล็กปลายแหลมที่เรียกว่า “เหล็กจาร” ร่างภาพลงไปในแผ่นหนังเลยทีเดียว เนื่องจากรอยเหล็กจารที่ร่างลงไปสามารถลบได้ เพียงใช้นิ้วมือแตะน้ำหรือน้ำลายลูบเบาๆ  แต่สำหรับตัวละครที่มีลวดลายละเอียดซับซ้อน ช่างจะร่างภาพลงในกระดาษก่อน แล้วจึงใช้เหล็กจารทับบนแผ่นหนังอีกที ขั้นตอนการฉลุลายลงบนตัวหนัง ต้องใช้ความชำนาญเป็นอย่างมาก โดยเครื่องมือที่ใช้ทำการฉลุลายจะมีเขียงสำหรับรองแกะฉลุหนัง มีดขุดปลายแหลมเล็ก และปลายแหลมมน ตุ๊ดตู่หรือมุกชนิดต่างๆ เช่น มุกกลม มุกเหลี่ยม มุกโค้ง มุกตา มุกดอก มุกวงรี มุกปากแบน ฯลฯ ค้อนตอกมุก และเทียนไขหรือสบู่สำหรับจิ้มปลายมีดขุดหรือปลายมุก ขั้นตอนสุดท้ายคือนำตัวหนังไปลงสีและลงน้ำมันชักเงา เมื่อลงสีรูปตัวหนังเสร็จแล้ว จะลงน้ำมันชักเงาหรือไม่ก็ได้ แต่โดยทั่วไปถ้าเป็นรูปตัวหนังที่ใช้เชิดมักจะลงน้ำมันชักเงาด้วย เพราะจะช่วยขับให้ตัวหนังเป็นมันงาม เมื่อออกจอผ้าขาวจะดูสวยขึ้น ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้กันทั่วถึงอย่างในปัจจุบัน หนังตะลุงเป็นหนึ่งในมหรสพและความบันเทิงสำหรับชาวบ้านซึ่งจะแสดงกันทั้งในงานบุญ งานวัด งานเฉลิมฉลองที่สำคัญๆ หรือแม้กระทั่งงานศพ อาจารย์สุชาติ ทรัพย์สิน มีความสนใจในการวาดรูปตั้งแต่เด็กๆ จนมีโอกาสได้เรียนวาดลายหนังตะลุงกับอาจารย์ทอง หนูขาว ช่างแกะรูปหนังตะลุงฝีมือดีของจังหวัดนครศรีธรรมราช จนกลายเป็นศิลปินหนังตะลุงและช่างทำรูปหนังตะลุงฝีมือเยี่ยม ผู้ริเริ่มและสืบทอดการทำตัวหนังตะลุง รวมไปถึงการเชิดหนังตะลุงจนที่เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ  แม้ปัจจุบันอาจารย์สุชาติจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ลูกหลานก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์และสืบสานเพื่อให้หนังตะลุงยังคงอยู่ต่อไป บ้านหนังตะลุง อ.สุชาติ ทรัพย์สิน ที่ตั้ง : 10/18 ถนนศรีธรรมโศก ซอย 3 อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชโทร : 075 346 394เปิดทุกวันเวลา 08.30 – 17.00 น. การเดินทาง จากสนามหน้าเมือง ไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปทางวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ผ่านศาลากลางจังหวัด หอนาฬิกา ถึงแยกพานยม ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยพานยม จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามถนนศรีธรรมโศก เข้าสู่ซอยศรีธรรมโศก 3 บ้านหนังตะลุงจะอยู่ขวามือ

เพื่อนร่วมทางพา Go Local : บ้านหนังตะลุง อ.สุชาติ ทรัพย์สิน จ.นครศรีธรรมราช อ่านเพิ่มเติม

ย้อนเวลา ค้นหาอดีต ณ บ้านคูบัว ราชบุรี

เรื่องราวของราชบุรีที่ยังมีอีกมากมายความเป็นเมืองเก่าของราชบุรีที่ปรากฏหลักฐานจากโบราณสถานในยุคทวารวดี และงานผ้าทอที่บ้านคูบัว จึงยังคงมีเรื่องราวเมืองราชบุรีในอดีตให้เรียนรู้กันต่อไป เพราะวันนี้โบราณสถาน โบราณวัตถุ ไม่ได้เป็นเพียงหน้าประวัติศาสตร์ของสถานที่และวัตถุที่ถูกมองผ่าน แต่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีการติดตาม สืบสาวราวเรื่องชนิดพลาดตกกระแสกันไม่ได้ทีเดียว ความเป็นเมืองเก่าสมัยทวารวดี โบราณสถานบ้านคูบัว ตำบลคูบัว ซึ่งพบหลักฐานทางโบราณคดีว่าดินแดนแห่งนี้เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองในยุคทวารวดี โดยสถาปัตยกรรมเมืองโบราณบ้านคูบัวได้รับอิทธิพลด้านศิลปะจากช่างสมัยคุปตะ ประเทศอินเดีย ปรากฏเป็นหลักฐานที่แสดงถึงพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่ในประเทศไทยมากกว่า ๑,๐๐๐ ปี ทั้งโบราณวัตถุ เช่น เศียรพระพุทธรูป และโบราณสถาน เช่น โบราณสถานวัดโขลงสุวรรณคีรี และโบราณสถานที่อยู่ด้านหลังโรงเรียนวัดคูบัว โดยโบราณสถานเป็นฐานเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวโค้ง ด้านบนเป็นลานประทักษิณ ชั้นที่สองเป็นฐานองค์เจดีย์ มีฐานบัวโค้งรองรับ บริเวณโบราณสถานร่มรื่นด้วยพรรณไม้ บรรยากาศสงบเย็น ยิ่งเมื่อได้อ่านเรื่องราวความเป็นมาของสถานที่มาก่อน จะชวนให้การเดินชมโบราณสถานสามารถจินตนาการย้อนสู่อดีตเมื่อครั้งที่นี่เคยรุ่งเรือง นอกจากโบราณสถาน สามารถมาชมผ้าทอโบราณบ้านคูบัวที่ จิปาถะภัณฑสถานบ้านคูบัว ตำบลคูบัว ในบริเวณวัดโขลงสุวรรณคีรี เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชุมชน จัดห้องแสดงในเรื่องต่าง ๆ ๑๐ ห้อง เช่น ห้องศิลปวัตถุโบราณสมัยยุคทวารวดี ห้องหุ่นขี้ผึ้งจำลองการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดงวิถีชีวิตชุมชนไท-ยวนที่เคลื่อนย้ายจากเมืองเชียงแสน เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองราชบุรี มีการจำลองลักษณะบ้านเรือนที่อาศัย เช่น ครัว หุ่นขี้ผึ้งหญิงกำลังคลอดและหมอตำแย หุ่นขี้ผึ้งหญิงหลังคลอดอยู่ไฟพร้อมลูกน้อย จัดแสดงการอยู่แบบครอบครัวใกล้ชิดและสั่งสอนลูกหลาน ห้องภูมิปัญญาการทอผ้าจกไท-ยวนเชียงแสน และผ้าจกไท-ยวน ที่มีอายุกว่า ๒๐๐ ปี ผ้าจกไท-ยวนมึถึง ๘ ลาย ลักษณะลวดลายคล้ายเส้นสายของเรขาคณิต และการให้สีสันของเส้นด้าย ผ้าจึงประณีตงดงามด้วยฝีมือ ห้องจัดแสดงการแต่งกายของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในจังหวัดราชบุรี เช่น ยวน ลาวโซ่ง ลาวเวียง มอญ กะเหรี่ยง จีน ไทยพื้นถิ่น การจัดแสดงทุกห้องมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เดินดูแต่ละห้องได้อย่างเพลิดเพลิน  จิปาถะภัณฑ์สถานเป็นสถานที่หนึ่งในราชบุรีที่ไม่ควรพลาดเข้าไปชม สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ทุกวัน เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น.

ย้อนเวลา ค้นหาอดีต ณ บ้านคูบัว ราชบุรี อ่านเพิ่มเติม

เพื่อนร่วมทาง พา Go Local : “เถ้าฮงไถ่”

จากโรงงานทำโอ่งมังกร สู่โรงงานเซรามิคร่วมสมัย “เถ้าฮงไถ่”  กระเบื้องเซรามิคลวดลายต่างๆ สำหรับใช้ตกแต่งอาคารบ้านเรือน ในส่วนของโรงงาน บางจุดได้เปิดให้ผู้ที่มาซื้อผลิตภัณฑ์และผู้ที่สนใจงานศิลปะเข้าเยี่ยมชมวิธีการทำและขั้นตอนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการนวดดิน การปั้นขึ้นรูป การเขียนลายโดยช่างผู้เชียวชาญ พร้อมกับมีงานนิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดงผลงานให้ได้ชมกันฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ภายในโรงงานมีร้านกาแฟเล็กๆ เก๋ๆ น่ารักๆ ทั้งภายนอกและด้านในตกแต่งด้วยสีสันของงานเซรามิค พามาชมข้างในโรงงานกันบ้าง หลังจากเตรียมดินสำหรับการปั้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำดินมาปั้นเพื่อขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆ ตามที่ต้องการ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ก่อนลงลวดลายและสีสัน ขั้นตอนการลงสีและลวดลาย พาไปชมรอบนอกของโรงงาน ซึ่งมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์เซรามิคของที่โรงงานทำไว้ และเตรียมจัดส่งให้กับลูกค้า ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของที่โรงงานจะทำส่งตามบ้านหรือตามโรงแรมต่างๆ เพื่อประดับตกแต่งและบางอย่างก็ใช้งานได้จริงด้วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูตัวอย่างผลิตภัณฑ์หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่  เว็ปไซด์ http://www.thtceramic.com/อีเมล: info@thtceramic.comโทรศัพท์ : 032-337574, 032- 323630

เพื่อนร่วมทาง พา Go Local : “เถ้าฮงไถ่” อ่านเพิ่มเติม

ลังกาจิว เกาะจิ๋วปะการังแจ๋ว

เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ปะการัง สัตว์น้ำ และท้องทะเล สามารถไปดำน้ำดูปะการังได้ ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม ถึงตุลาคมของปี การเดินทาง1.โดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง โดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (เพชรเกษม) มุ่งหน้าสู่ จังหวัด ชุมพร เมื่อถึงสี่แยกปฐมพร เลี้ยวซ้ายเข้ามาประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะถึงตัวเมืองจังหวัดชุมพร จากตัวเมือง จังหวัดชุมพร ไปตามทางหลวงจังหวัด หมายเลข 4001 ระหว่างอำเภอเมืองกับปากน้ำชุมพร ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร ก่อนจะถึงปากน้ำชุมพร จะพบสามแยกทางไปหาดทรายรี ให้เลี้ยวขวา เมื่อเลี้ยวขวาเข้ามาอีก 20 เมตร จะพบทางแยกให้เลี้ยวขวาอีกครั้งไปตามถนน รพช. สายบ้านมัทรี – หาดทรายรี ประมาณ 9 กิโลเมตร เลี้ยวขวา ประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร 2 โดยรถประจำทางจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ โดยสารรถสายกรุงเทพฯ – ชุมพร ระยะทาง 500 กิโลเมตร ถึงจังหวัดชุมพร และจาก จังหวัดชุมพร โดยสารรถสองแถวมายังอุทยานแห่งชาติ ระยะทาง 23 กิโลเมตร  3. การเดินทางโดยรถไฟ ใช้เวลา เดินทางประมาณ 8 – 9 ชั่วโมง แล้วแต่ประเภทของขบวนรถสามารถเลือกการเดินทางได้ ทั้งในเวลา กลางวัน และกลางคืน เนื่องจากมีขบวนรถหลายขบวนในแต่ละวัน โดยขึ้นรถไฟได้ที่สถานีกรุงเทพฯ และสถานี ธนบุรี 4.โดยเครื่องบินปัจจุบันจังหวัดชุมพรมีท่าอากาศยาน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศโดยตั้งอยู่ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เกาะลังกาจิว เป็นเกาะขนาดปานกลาง หนึ่งในหมู่เกาะทะเลชุมพร และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประภาสเพื่อทอดพระเนตรการเก็บรังนกบนเกาะนี้ จำนวน 3 ครั้ง และได้ทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ของพระองค์ไว้บนผนังหินปากถ้ำทางด้านใต้ ซึ่งยังคงปรากฏเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบัน เกาะลังกาจิวมีชายหาดสวยงาม ทรายขาวละเอียด ส่วนแนวปะการังจะอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นแนวปะการังที่ยังคงสมบูรณ์ตามธรรมชาติ สวยงามมากๆ น้ำใสสะอาด สามารถมองเห็นปะการัง และฝูงปลาได้ชัดเจน ยิ่งในวันที่แดดสวย ฟ้าใส จะทำให้น้ำทะเลเปล่งประกายวิบวับ สวยงามจับใจมากจริงๆ ส่วนด้านอื่นๆ รอบเกาะเป็นโขดหิน พบปะการังได้บ้างเล็กน้อย แต่ยังสามารถพายเรือ ชมความสวยงามของโขดหินได้นะ น้ำใสสะอาด สวยงามจับใจมากจริงๆ บนเกาะไม่มีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว แต่จะมีบ้านของชาวเกาะ สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เกาะนี้เป็นหนึ่งในเกาะที่มีสัมปทานรังนกนางแอ่น คนที่อยู่เกาะก็จะเป็นคนเฝ้ารังนกนางแอ่นด้วย เกาะลังกาจิว เปิดขึ้นไปเที่ยวบนเกาะ เวลา 08.00 – 17.00 น.  หลังจากนั้นจะไม่อนุญาตให้ขึ้นโดยเด็ดขาด และบางเดือนเป็นฤดูที่นกนางแอ่นกำลังทำรังหรืออยู่ในระหว่างการเก็บรังนก จะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยวบนเกาะ เพราะจะทำให้นกนางแอ่นตกใจ สนใจล่องเรือชมหมู่เกาะทะเลชุมพร ติดต่อบริษัท สยาม คาตามารัน จำกัด โทร. 077 553 123บริษัท ต้นปาล์ม โวยาจ จำกัด โทร. 098 321 6335บริษัท ชาวเกาะไดฟ์วิ่ง จำกัด โทร 089 091 6277บริษัท ชุมพรไดฟ์วิ่ง จำกัด โทร 081 895 4527

ลังกาจิว เกาะจิ๋วปะการังแจ๋ว อ่านเพิ่มเติม

ธาตุพนม … อำเภอเล็กๆ หากไม่มาเยือน จะเหมือนมาไม่ถึงนครพนม

ธาตุพนม … อำเภอเล็ก ๆ หากไม่มาเยือน จะเหมือนมาไม่ถึงนครพนม ถนนเลียบริมแม่น้ำโขงของอำเภอธาตุพนม ถือเป็นถนนที่สวยงามอีกแห่ง เป็นแหล่งรวมที่พักและร้านอาหารบรรยากาศดี ๆ หลายแห่ง บริเวณริมตลิ่งทำเป็นเขื่อนคอนกรีต สำหรับนั่งเล่นพักผ่อน หรือชมการแข่งเรือยาวที่มักจัดขึ้นในช่วงปลายฝนต้นหนาว ของทุกปี สัญลักษณ์กลางเมืองซึ่งตั้งโดดเด่นในภาพนี้ คือ “ซุ้มประตูเรืองอร่ามรัษฎากร” (ซุ้มประตูโขง) ตั้งชื่อตาม ท่านขุนอร่ามรัษฎากร ซึ่งเป็นผู้สร้างถนนจากหน้าวัดตรงมายังแม่น้ำโขง รวมถึงซุ้มประตูหลังนี้ด้วย จุดเด่นอยู่ที่สถาปัตยกรรมเก่าสวยงาม มียักษ์สองตนยืนเฝ้าอยู่ที่ซุ้มประตู ทิศตะวันตกของซุ้มประตูคือ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร และทิศตะวันออกคือ ถนนทางลงแม่น้ำโขง “พระธาตุพนม” ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ถนนชยางกูร อำเภอธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีวอก เชื่อกันว่าผู้ที่ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์มีบุญบารมีและผู้คนให้ความเคารพนับถือ องค์พระธาตุพนม มีความงดงามทั้งในเวลากลางวันและยามค่ำคืน ในวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี จะมีการจัดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม กิจกรรมหลัก ๆ คือ การทำบุญตักบาตร การสวดมนต์ข้ามคืน และสุดท้ายหากมาเที่ยวอำเภอนี้ ต้องไม่ลืมอุดหนุนของฝากของดีของที่นี่ คือ กาละแมโบราณ กาละแมโบราณของอำเภอธาตุพนม มีการผลิตและจำหน่ายกันหลายเจ้า แต่เอกลักษณ์ที่ทุก ๆ เจ้าจะมีเหมือนกัน คือ เนื้อกาละแมจะเป็นสีดำเหนียวนุ่ม หวานมัน ห่อใบตองรีดด้วยเตาถ่านแบบโบราณ กลัดด้วยไม้กลัดทำจากไม้ไผ่อันเล็ก ๆ  นักท่องเที่ยวสามารถซื้อหากาละแมได้ตามร้านขายของฝาก ซึ่งจะมีอยู่หลายร้านบริเวณซอยข้างซุ้มประตูเรืองอร่ามรัษฎากรเชื่อมกับถนนริมโขง หากมาเที่ยวนครพนม อยากให้ลองมาพักที่อำเภอธาตุพนมสักหนึ่งคืน เป็นอำเภอที่ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่หวือหวา บรรยากาศดีถึงดีมาก คงทำให้ผู้มาเยือนหลงรักอำเภอเล็ก ๆ นี้ได้ไม่ยาก

ธาตุพนม … อำเภอเล็กๆ หากไม่มาเยือน จะเหมือนมาไม่ถึงนครพนม อ่านเพิ่มเติม

ยอดเขาเทวดา…ที่ไม่ธรรมดา

ยอดเขาเทวดา ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติพุเตย อ.ด่านช้าง เป็นอุทยานแห่งเดียวในจ.สุพรรณบุรี ทริปนี้แนะนำเป็น 2 วัน 1 คืน เดินทางออกจากกรุงเทพฯช่วงเช้าๆ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณ 3 ชั่วโมงโดยรถยนต์ที่พร้อมลุยทางชันและทางลูกรัง เนื่องจากการเดินทางนั้นจะต้องขึ้นไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ก่อนจะเดินเท้าขึ้นไปชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาเทวดาค่ะ หากว่าใครเดินทางมาถึงแล้วก็แนะนำให้ไปติดต่อทางที่ทำการอุทยาน(หน่วยหลัก) ก่อนมีบริการอาหารและจำหน่ายของจำเป็นด้านล่างสามารถติดต่อได้เลยค่ะ บริการเช่าเต็นท์และอุปกรณ์เครื่องนอนต่างๆ กรณีที่นำรถยนต์มาแต่ไม่สามารถนำขึ้นไปได้ก็สามารถเช่ารถขึ้นเขาไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ได้ค่ะ พร้อมแล้วก็ขึ้นไปกันเลยค่ะ  ติดต่อที่ทำการฯ อุทยาน โทร.035 960 240, 081 934 2240  อุทยานแห่งชาติพุเตย ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์แอดมินชอบในความที่เป็น”ธรรมชาติยังคงเป็นธรรมชาติ” เพราะสมบูรณ์ทั้งพืชไม้ สัตว์ป่า ลักษณะของป่าเป็นดิบชื้น มีพรรณไม้ที่สำคัญและมีสนสองใบให้ได้เห็นกัน เมื่อขึ้นมาถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ ประหนึ่งว่าเป็นที่พัก 5 ดาวสำหรับผู้ชอบผจญภัยและการนอนเต๊นท์เพราะไม่มีบ้านพัก เต๊นท์อย่างเดียวค่ะ นั่งชมวิวภูเขา ทุ่งหญ้ากว้างๆ ที่มีพร้อมทั้งไฟฟ้าในส่วนของห้องน้ำ แต่ไม่มีปลั๊กไฟให้บริการ ห้องน้ำที่ถูกจัดทำโดยใช้สิ่งจากธรรมชาติเป็นประโยชน์ เก๋ๆค่ะ มีเต็นท์ตัวเองก็กางโลด ไม่มีมาที่นี่ก็มีให้เช่านะคะ หลังจากจัดแจงกางเต็นท์เป็นที่เรียบร้อย ก็พักร่างนอนชมพระอาทิตย์ตกกันเลยค่ะ หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ตั้งอยู่บนสันเขาเป็นทางผ่านที่เราจะต้องเดินทางขึ้นไปที่ยอดเขา เราจะได้เห็นความเป็นอยู่ วิถีชีวิตตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมด้วย โอ้โห เอ็นจอยเด้อ ^^  น้ำตกตะเพินคี่น้อย อีกหนึ่งสถานที่ต้องแวะเข้าไปชมอยู่บริเวณของหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ชมได้ตลอดปีค่ะ มีกิจกรรมให้ปีนหน้าผาโรยตัวที่น้ำตกด้วย สามารถติดต่อกับที่ทำการฯ ได้เลย โอ้โห เอ็นจอยอีกแล้ว ตื่นแต่เช้ามืดไปพิชิตยอดเขาเทวดา ที่ไม่ธรรมดาจากจุดกางเต๊นท์จะต้องเดินไปยังตีนเขาประมาณ 1 กิโลเมตรไปถึงตีนเขาและเริ่มเดินขึ้นเขาทางชันโดยระยะทาง 800 เมตรซึ่งไม่ได้ไกลมากนัก ระหว่างทางจะมีเชือกเพื่อเป็นตัวช่วยในการเดิน แต่ก็ต้องระมัดระวังการเดินเพราะค่อนข้างชันและลื่นเป็นบางจุด มีจุดพักเป็นระยะควรสวมรองเท้าสำหรับเดินป่าและอุปกรณ์ไฟฉายพร้อมนะคะ Go Go Go ” กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้ ” ชมหมอก ชมความสวยงามของแสงพระอาทิตย์ พักจากงานมาหาธรรมชาติที่แท้จริง เที่ยวในสุพรรณบุรีก็มีเขาให้ขึ้น ไม่ต้องไปถึงภาคเหนือ ที่พักหลักร้อย วิวหลักล้านเด้ออออ

ยอดเขาเทวดา…ที่ไม่ธรรมดา อ่านเพิ่มเติม

ธรรม(ดา) พาทัวร์ ตอน เข้าวัดทำบุญ หนุนนำโชคลาภ

บ่อยครั้งที่เราเห็นผู้คนทำบุญด้วยความมุ่งหวังพร้อมกับการกราบไหว้บูชา เพื่อให้สมความปราถนา หรือพบกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง และความสำเร็จในทุกๆประการ อันเป็นการเติมเต็มให้ชีวิตกลับมามีความหวัง มีกำลังใจ พร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคงอีกครั้ง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก.ความเชื่อ ประชาชนทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสักการะหลวงพ่อใหญ่หรือองค์พระพุทธชินราชด้วยความศรัทธา โดยนับถือกันในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และถือกันว่าเป็นมงคลสูงสุดหากได้มากราบชมความงามของหลวงพ่อใหญ่สักครั้งในชีวิต นอกจากนี้ยังนิยมพากันไปไหว้พระเหลือในวิหารเล็ก ด้วยเกร็ดความเชื่อที่มีกันอย่างแพร่หลายว่าจะช่วยส่งเสริมด้านโชคลาภ จะได้มีทรัพย์สินเงินทอง เหลือกินเหลือใช้.วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า “วัดใหญ่” เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปซึ่งได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย นับเป็นศาสนสถานที่สำคัญยิ่ง ทั้งของจังหวัดพิษณุโลกและประเทศไทย .นอกจากนี้ยังมีวิหารพระเหลือ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “พระเหลือ” ซึ่งตามประวัตินั้นกล่าวว่าพระยาลิไททรงรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา มารวมกันแล้วหล่อไว้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็กและพระสาวกอีก 2 องค์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพมหานคร.ความเชื่อ เชื่อในหมู่พ่อค้า คหบดี และประชาชนว่า หากมาสักการะพระแก้วมรกตด้วยดอกบัวคู่และธูปเทียนแล้ว ชีวิตจะมีแต่ความรุ่งเรืองมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ เงินทองไหลมาเทมา.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เป็นพระอารามประจำพระบรมหาราชวังที่สร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดหลวงที่ไม่มีพระจำพรรษา และยังเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่พระมหากษัตรย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเสด็จมาประกอบพระราชพิธีสำคัญ และบำเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชประเพณีนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน.ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน พระพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย นอกจากพระแก้วมรกตแล้ว ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายที่ทรงคุณค่าความงดงามทั้งทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ให้เราได้เข้าไปสักการะบูชา และชื่นชมในฝีมือของครูแห่งช่างโบราณที่อุทิศผลงานไว้เพื่อเป็นพุทธบูชาสืบทอดกันมาเป็นมรดกแห่งแผ่นดิน.วันและเวลาเปิด-ปิดเปิดให้สักการะทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 16.00 น. ผู้ที่จะเข้าไปยังวัด ผู้ชายต้องแต่งกายสุภาพห้ามใส่เสื้อไม่มีแขนและงดใส่กางเกงขาสั้นเหนือเข่า ผู้หญิง ให้ใส่กางเกงหรือกระโปรงทรงสุภาพ กระโปรงต้องยาวคลุมเข่า งดเสื้อแขนกุด วัดลาดขาม (หลวงพ่อแสนเหรีญ) ต.พนมทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี.ความเชื่อ กล่าวกันว่า เมื่อได้มากราบไว้อธิษฐานหลวงพ่อแสนเหรียญซึ่งสร้างจากเงินเหรียญที่เป็นมงคล เหมือนกับได้อธิษฐานขอพรแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวยสืบไปพระพุทธเบญจนวมงคลกาญจน์แห่งวัดลาดขามนั้น เป็นพระพุทธรูปที่เลื่องลือในด้านของความศักดิ์สิทธิ์และความแปลกมหัศจรรย์ เนื่องจากองค์พระปฏิมากรนี้ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากเหรียญเงินตราต่างๆ จำนวนนับแสนเหรีญ ชาวบ้านจึงพากันเรียกท่านว่า “หลวงพ่อแสนเหรียญ” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับ อ.พนมทวน และเป็นที่นับถือศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน.วัดลาดขาม เป็นวัดที่ก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุนับร้อยปี หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก วัดลาดขามก็กลายเป็นวัดร้างยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนวัด ต่อมาพระครูปลัดเพลิน เตชธมโม ได้จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ และลงมือบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นมาด้วยแรงสนับสนุนจากผู้มีศรัทธาและชาวบ้านจนกลับมาเป็นศูนย์รวมแห่งพุทธศาสนิกชนใน อ.พนมทวนอีกครั้ง พระราหู วัดศีรษะทอง ต.ห้วยตะโก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม.ความเชื่อ เชื่อว่าการกราบไหว้ขอพรพระราหูนั้น เป็นการขอพรให้พ้นเคราะห์ต่างๆ และยังดลบันกาลให้เกิดโชคลาภ ช่วยให้การงานเจริญก้าวหน้า และเชื่อว่าพระราหูยังเป็นเทพบูชาประจำตัวเพื่อเสริมบารมีของคนที่เกิดวันพุธกลางคืนอีกด้วย สามารถไหว้พระราหูได้ทุกวัน ยกเว้นวันพระ.นับว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในอำเภอนครชัยศรี และวัดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์รวมของชาวลาวเวียงจันทน์และชุมชนใกล้เคียง เดิมเป็นป่ารกร้าง ต่อมาได้มีชาวลาวจากเวียงจันทร์อพยพมาตั้งถิ่นฐาน แล้วจึงสร้างวัด และได้พบเศียรพระพุทธรูปทองจมดินอยู่ จึงตั้งชื่อว่า “วัดหัวทอง” ภายหลังมีการขุดคลองเจดีย์บูชา ไปยังองค์พระปฐมเจดีย์ ชาวบ้านจึงย้ายมาอยู่ริมคลองเจดีย์บูชา ในการนี้ได้ย้ายวัดมาด้วยเพื่อสะดวกต่อการสัญจร และเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดศีรษะทอง” จนถึงปัจจุบัน .วัดศีรษะทองได้พัฒนาและมีความรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมากในสมัยของหลวงพ่อน้อย นาวารัตน์ อดีตเจ้าอาวาส ท่านเป็นที่รู้จักเพราะเป็นต้นตำรับของการสร้างพระราหูอมจันทร์จากกะลาตาเดียว เครื่องลางที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และได้สร้างชื่อเสียงให้วัดศรีษะทองจนถึงทุกวันนี้.ปัจจุบันวัดศีรษะทองได้จัดสร้างพระราหูขนาดใหญ่ไว้ให้ประชาชนได้มาสักการะบูชาตามความเชื่อและความศรัทธาส่วนบุคคล ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี.ความเชื่อ เชื่อกันว่าเจ้าแม่นั้นมีอิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย ดวงวิญญาณของเจ้าแม่จะช่วยดลบันดาลให้การค้าขายนั้น มีอต่ความร่ำรวยละเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภ ทำให้มีบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจและประชาชนทั่วไปนิยมมาบวงสรวงเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว.เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือที่เรียกว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในตัวเมืองปัตตานี เป็นที่ประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเป็นที่สักการะไม่แต่ชาวปัตตานี รวมถึงชาวจังหวัดใกล้เคียง เช่น สงขลา-ยะลา-นราธิวาส ก็มีความศรัทธาในองค์เจ้าแม่อย่างมาก เนื่องจากมีผู้มาขอพรให้มีโชคลาภก็ได้ผลหรือแม้แต่เรื่องการค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้น จนทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก 

ธรรม(ดา) พาทัวร์ ตอน เข้าวัดทำบุญ หนุนนำโชคลาภ อ่านเพิ่มเติม

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นเมืองโบราณ

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นเมืองโบราณ.การทอผ้าพื้นเมืองในจังหวัดปัตตานีมีประวัติมายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยนั้นปัตตานีเป็นเมืองท่าค้าขายผ้าที่ใหญ่โตและคึกคัก มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นชาวอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จีน และยุโรป ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมในด้านต่างๆ รวมทั้งวัฒนธรรมการทอผ้าด้วย ซึ่งผ้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมอย่างมากชนิดหนึ่ง ได้แก่ ผ้าจวนตานี ผ้าจวนตานี หรือผ้าลีมา เป็นผ้าโบราณที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี นิยมใช้กันมากในกลุ่มชนชั้นสูงและผู้มีฐานะเนื่องจากมีราคาแพง ผ้าทอด้วยเส้นไหมชั้นดีเส้นเล็กละเอียด มีลวดลายและสีสันสวยงามเด่นสะดุดตา  จุดเด่นของผ้าอยู่ที่เชิงผ้าสีแดงเข้ม ซึ่งเกิดจากการทอโดยใช้เทคนิคพิเศษ และมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่เรียกว่า “ล่องจวน” คือ มีแถบริ้วลวดลายวางเป็นแนวแทรกอยู่ระหว่างผืนผ้า และชายผ้าทั้งสองด้าน ผ้าจวนตานีเคยสูญหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่จากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ.2542 ที่ทรงเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ผ้าโบราณ ทำให้ผ้าจวนตานีได้รับการฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง โดยการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มสตรีในท้องถิ่นเพื่อทอผ้าจวนตานีขึ้นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในงานพิธีต่างๆ และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักทั่วไป นอกจากนี้ทางกลุ่มฯ ยังได้สนับสนุนให้เยาวชนเข้ามาเรียนรู้กระบวนการทอผ้าเพื่อสืบสานภูมิปัญญาการทอผ้าไม่ให้สูญหายไปจากชุมชนอีกด้วย ปัจจุบันผ้าจวนตานี ได้รับเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย “นกยูงพระราชทาน” ได้แก่ นกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) นกยูงสีเงิน (Clasisc Thai Silk) และนกยูงสีน้ำเงิน (Thai Silk) ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของสมาชิกกลุ่มฯ ทุกคน นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถติดต่อเข้าเยี่ยมชมการทอผ้าได้ทุกวัน กลุ่มทอผ้าตำบลทรายขาว ที่ตั้ง : 94 หมู่ 3 ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี อยู่ห่างจากอำเภอประมาณ 6 กิโลเมตรโทร. 089 298 8495

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นเมืองโบราณ อ่านเพิ่มเติม

5 ผืนป่าชายเลน การผจญภัยแนวอนุรักษ์

1. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ศูนย์ฯ แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อพัฒนาอาชีพด้านการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลจันทบุรี รวมไปถึงการสร้างระบบนิเวศเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสีย และการอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ  ภายในพื้นที่ป่าชายเลนจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 1.6 กิโลเมตร ระหว่างทางมีศาลาพักซึ่งมีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศูนย์ฯ และพันธุ์ไม้ต่างๆ ในป่าชายเลน จำนวน 10 ศาลา กระจายตัวอยู่เป็นระยะ บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นและเย็นสบายด้วยต้นไม้ที่ปกคลุมตลอดสองข้างทาง นอกจากกิจกรรมเดินชมและศึกษาพื้นที่ป่าชายเลนแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ – การขึ้นไปชมวิวมุมสูงบนหอดูเรือนยอดไม้ ซึ่งนอกจากจะได้เห็นพื้นที่ป่าชายเลนโดยรอบแล้ว ยังอาจพบนกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งมีมากกว่า 120 ชนิดด้วย ไม่ว่าจะเป็นนกยางเปียง นกยางเหนียว นกจาบคาเล็ก ฯลฯ – กิจกรรมพายเรือคายัครอบพื้นที่ป่าชายเลน – บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ฯ ยังมีสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ซึ่งมีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ จัดแสดงไว้ให้ชมถึง 36 ชนิดด้วยกัน  นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ยังมีบริการห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย  ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 นโทร. 039 433 216-8, 039 433 210  สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) – วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. – วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.30-17.30 น. โทร. 039 433 105 Website: http://www.fisheries.go.th/cf-kung_krabaen พิกัด : https://goo.gl/maps/6xQ3crf1cAm 2. โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี อีกหนึ่งพื้นที่ป่าชายเลน ที่เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับน้ำเน่าเสียและขยะมูลฝอยของจังหวัดเพชรบุรี นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนและศึกษาธรรมชาติอีกด้วย  ภายในพื้นที่โครงการฯ จะมีทางเดินไม้ทอดยาวไปตามป่าชายเลน ระยะทางประมาณ 850 เมตร ตลอดทางค่อนข้างร่มรื่นเพราะมีต้นโกงกางและต้นแสมคอยปกคลุม รวมทั้งยังมีจุดชมวิวหอภูมิทัศนา เป็นจุดชมวิวมุมสูงเหนือป่าชายเลน ให้เราได้ศึกษาระบบนิเวศของป่าชายเลน รวมทั้งยังเป็นจุดชมนกประเภทต่างๆ ซึ่งที่นี่นับว่าเป็น 1 ใน10 ของแหล่งดูนกที่ดีที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย ไฮไลท์อยู่ที่ปลายทางของสะพานที่ยื่นออกไปกลางทะเล จากจุดนี้เราจะเห็นวิวที่สวยงามของท้องทะเลและป่าชายเลน เหมาะแก่การนั่งพักหรือถ่ายรูปสวยๆ นอกจากนี้ยังสามารถแวะชมระบบการจัดการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการต่างๆ ของโครงการฯ และที่นี่ยังมีที่พักให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างแรมอีกด้วย  ภายในโครงการฯ มีบริการรถรางนำชมตามจุดต่างๆ หรือถ้าอยากชิลล์จะปั่นจักรยานชมรอบๆ ก็ได้  เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.โทร. 02 579 2116Website: http://www.lerdilc.com/พิกัด : https://goo.gl/maps/ZwuMxrEj6h32 3. ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์  หนึ่งในป่าชายเลนในพื้นที่ปากน้ำปราณบุรี ซึ่งแต่ก่อนเคยมีสภาพเสื่อมโทรมจากการทำนากุ้งมาเป็นเวลานาน แต่ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งเสด็จฯ ปราณบุรี พ.ศ.2539 ทำให้มีการยกเลิกสัมปทานนากุ้ง และฟื้นฟูพื้นที่ 786 ไร่ ให้กลายเป็นป่าชายเลนที่เต็มไปด้วยต้นโกงกางเช่นทุกวันนี้  ภูมิทัศน์โดยรอบของป่าชายเลนแห่งนี้ มีความสงบ ร่มรื่น และเย็นสบาย มีทางเดินลัดเลาะไปตามป่าชายเลน ระยะทาง 1 กิโลเมตร ระหว่างทางมีป้ายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับป่าชายเลนแห่งนี้ เหมาะสำหรับศึกษาความหลากหลายของระบบนิเวศ ต้นโกงกางและพันธุ์ไม้ต่างๆ รวมไปถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนด้วย นอกจากการเดินชมต้นโกงกางตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแล้ว ก็ยังมีกิจกรรมในจุดอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นชมวิวบนหอชะคราม หอคอยสูงเท่าตึก 6 ชั้น ซึ่งเป็นจุดชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศา ที่สามารถมองเห็นผืนป่าชายเลนเขียวชอุ่มกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หรือชมต้นโกงกางประวัติศาสตร์ ต้นโกงกางใบเล็ก 2 ต้น ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงปลูกไว้อีกด้วย  เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.โทร. 032 632 255 Website: https://welovesirinart.wordpress.com/พิกัด : https://goo.gl/maps/wup77tyRCyJ2 4. ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส อ.แกลง จ.ระยอง  สถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในเขตชุมชนบ้านแสมภู่ ริมน้ำประแส ซึ่งแต่เดิมพื้นที่กว่า 6,000 ไร่นี้เคยเป็นพื้นที่ทำการประมง เลี้ยงกุ้ง และทำการเกษตรของชาวบ้านมาเป็นเวลานาน จนทรัพยากรบริเวณนี้เกิดความเสื่อมโทรม หน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่เริ่มเห็นความสำคัญของระบบนิเวศป่าชายเลน จึงได้ร่วมกับชาวบ้านฟื้นฟูป่าชายเลนแห่งนี้ เพื่อให้ระบบนิเวศได้ฟื้นคืนกลับมา และเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในพื้นที่ป่าชายเลนมีสะพานไม้ให้เดินศึกษาธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองข้างทางตลอด 1 กิโลเมตร จะมีพันธุ์ไม้หลายชนิดขึ้นอยู่มากมาย จุดเด่นคือต้นโปรงงมากมายที่ขึ้นเบียดเสียดกันเต็มท้องทุ่งจนมองไม่เห็นพื้นดินด้านล่าง จนเรียกกันว่าเป็น “ทุ่งโปรงทอง” ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมาชมทุ่งโปรงทองก็คือ ช่วงเช้า และบ่ายแก่ๆ ที่เมื่อสีเขียวปนเหลืองอ่อนของใบไม้กระทบกับแสงแดดก็จะกลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปทั้งทุ่ง งดงามมาก เชื่อว่าใครที่ได้ไปชมก็คงไม่พลาดที่จะเก็บภาพไว้อย่างแน่นอน  นอกจากทุ่งโปรงทองแล้ว ภายในบริเวณนี้ก็ยังมีจุดอื่นที่สวยงาม ได้แก่ ศาลาริมน้ำ หรือ ท่าน้ำที่ยื่นออกไปในทะเล และถ้ามาจากทางวัดตะเคียนงาม ปลายทางจะไปที่ปากน้ำประแสจะมีเรือรบหลวงประแส ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยี่ยมชมด้วย เปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.เทศบาลตำบลปากน้ำประแส โทร. 038 661 720-1พิกัด : https://goo.gl/maps/XH6LQtYv8jo 5. ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ป่าชายเลนผืนสุดท้ายของจังหวัดชลบุรีที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่กว่า 300 ไร่ ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์ป่าชายเลนไว้ให้ได้ศึกษาเรียนรู้ ด้านหน้าศูนย์ฯ มีต้นจิกทะเลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกไว้เมื่อครั้งเสด็จมาเยือน พ.ศ.2549  ภายในบริเวณมีทางเดินศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ที่มีระยะทางถึง 2,300 เมตร ซึ่งนับเป็นทางเดินชมป่าชายเลนที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ตลอดเส้นทางมีพันธุ์ไม้ต่างๆ ทั้งต้นโกงกาง ต้นแสม ต้นตะบูน ฯลฯ รวมไปถึงสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน เช่น ปลาตีน ปูก้ามดาบ นอกจากนี้ยังมีปูหยกฟ้า ซึ่งเป็นปูก้ามดาบชนิดหนึ่งที่มีกระดองสีฟ้าอมเขียว สวยงามแปลกตาอีกด้วย  สิ่งที่น่าสนใจภายในศูนย์ยังมีสะพานแขวนโยกเยกที่สร้างความหวาดเสียวให้แก่นักท่องเที่ยว

5 ผืนป่าชายเลน การผจญภัยแนวอนุรักษ์ อ่านเพิ่มเติม

The oqposite โอเอซิสแห่งใหม่ย่านนางเลิ้ง

The oqposite ดิ อ๊อพโพสิทโอเอซิสแห่งใหม่ที่จะมาเติมเต็มความสุขให้กับทุกคน บรรยากาศเก๋ๆ หน้าร้าน ตัวร้านมี 2 ชั้น ตกแต่งเรียบง่าย ผสมผสานสไตล์ loft เท่ๆ บริเวณชั้น 2 มีที่นั่ง outdoor ให้นั่งตากลมชิวๆ เมนูอาหารของทางร้านมีทั้งไทยและเทศ เมนูแนะนำ เช่น ข้าวมันกุ้ง สูตรคุณย่า ข้าวเป็ดรมควันพริกเกลือ แต่แอดขอเทใจไปทางอาหารฝรั่งสักนิด เพราะเห็นเมนูชีสแล้วอดใจไม่ได้ที่จะต้องสั่ง โรตีผักโขมอบชีส (180 บาท) แป้งโรตีหอม กรอบ ชีสยืดสะใจ คนรักชีสต้องห้ามพลาด เมนู The oqposite special สปาเกตตี้ผัดพริกกระเทียมเบคอน ( 220 บาท)  สปาเกตตี้สูตรของทางร้าน หอมกลิ่นกระเทียมและพริกไทยใช้เบคอนอย่างดี ชิ้นหนาสุดกรอบ และเพิ่มรสหวานนิดๆด้วยมะเขือเทศอบแห้ง ครื่องดื่มของร้านก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน มีทั้งเมนูกาแฟและชา เมนู Honey Matcha (155 บาท)ชาเขียวมัทฉะเข้มข้น ผสมกับน้ำผึ้งมะนาว ได้รสขมอมเปรี้ยว เป็นการผสมผสานที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เมนู Iced Chocolate (125 บาท)ช็อกโกแลตเข้มกำลังดี ไม่หวานและไม่ขมจนเกินไป เมนู The oqposite berry (155 บาท)มีส่วนผสมของชา mixed berry และ กาแฟ cold-brew ที่ผสมออกมาได้อย่างลงตัว รสชาติกลมกล่อม ตบท้ายด้วยเมนูขนมหวานสุดฟิน เมนู Caramel Pudding (140 บาท)เมนูน่ารักที่มีน้องมดตัวน้อยแบกขนมมาเสิร์ฟถึงที่ ตัวเค้กนุ่ม ซอสที่ราดก็หอมหวานคาราเมล อร่อยมากๆ แอดคอนเฟิร์ม

The oqposite โอเอซิสแห่งใหม่ย่านนางเลิ้ง อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top