สถานที่ท่องเที่ยว

ดารานาคี เสน่ห์ผ้าทอแห่งลุ่มน้ำโขง

เมื่อพูดถึงจังหวัดบึงกาฬ ภาพแรกที่เรามักจะนึกถึงก็คือ ธรรมชาติที่สวยงาม อย่างหินสามวาฬ ภูทอก น้ำตกถ้ำพระ และถ้ำนาคา แต่นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว จังหวัดบึงกาฬยังขึ้นชื่อเรื่องผ้าทอด้วย วันนี้แอดมินจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ ที่โดดเด่นเรื่องการทอผ้าขาวม้า และเป็นแหล่งกำเนิดของ “ผ้าขาวม้าดารานาคี”.ผ้าขาวม้าดารานาคีคืออะไร จะซ่อนเรื่องราวอะไรไว้บ้าง ถ้าอยากรู้ ตามแอดมาเลยค่ะ.กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อที่ตั้ง: 91 หมู่ 2 ต.หอคำ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.โทร. 095 664 7134, 091 061 2024พิกัด: https://goo.gl/maps/zcx4aiEvwTLkt2rY6 ………………………………………………………………………….. จากผ้าขาวม้าย้อมสีเคมีในวันนั้น สู่ผ้าขาวม้าดารานาคีในวันนี้ กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ ก่อตั้งโดยคุณยายแว่น และคุณตาไล คำพุทธา เป็นกลุ่มทอผ้าดั้งเดิมของชุมชน ผ้าขาวม้าของทางกลุ่มจะเป็นลายสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งผืน และย้อมด้วยสีเคมีซึ่งทำให้ผ้าแข็งกระด้าง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผ้าขาวม้าแบบนี้ได้รับความนิยมน้อยลง สมาชิกหลายคนจึงเลิกทอผ้าและหันไปทำอาชีพอื่นแทน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนรุ่นใหม่อย่าง คุณแยม-สุพัตรา แสงกองมี เข้ามารับช่วงต่อ โดยเปลี่ยนจากการย้อมผ้าด้วยสีเคมี เป็นสีธรรมชาติและหมักโคลนจากแม่น้ำโขง สิ่งที่จุดประกายความคิดนี้ มาจากภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่เล่าให้ฟังถึงวิธีการย้อมผ้าสมัยโบราณ ที่จะนำฝ้ายไปต้มกับน้ำเปลือกไม้แล้วค่อยนำไปหมักโคลนคุณแยมจึงนำภูมิปัญญานี้มาปรับใช้ โดยนำพืชที่หาได้ในท้องถิ่นอย่าง ผลหมากค้อเขียว เปลือกต้นชมพู่ป่า และเปลือกต้นคูนราชพฤกษ์มาย้อมผ้า และใช้โคลนจากแม่น้ำโขงมาหมักให้ผ้านุ่มและสีติดทนยิ่งขึ้น จนกลายเป็นคำขวัญของกลุ่มที่ว่า … – ผลไม้พันปี (หมากค้อเขียว-การมีอายุยืนยาว)– นารีสีสวย (ชมพู่ป่า-มีเสน่ห์ดึงดูดใจ)– รวยได้รวยดี (ต้นคูนราชพฤกษ์-ความร่ำรวย มั่งคั่ง) – นาคีหมักโคลน (โคลนจากสะดือแม่น้ำโขง) ทำไมต้อง ดารานาคี คำว่า ดารานาคี เป็นการนำคำสองคำมารวมกัน ดารา เป็นชื่อคุณพ่อของคุณแยม และเป็นการเปรียบผ้าขาวม้าว่าเหมือนดวงดาว ส่วนคำว่า นาคี สื่อถึงความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค เพราะโคลนที่ใช้หมักนำมาจากแม่น้ำโขง กรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาตินั้นต้องใช้ความพิถีพิถันมากกว่าการย้อมสีเคมี แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าคุ้มค่า.มาดูวิธีการทำผ้าขาวม้าดารานาคีกันดีกว่าค่ะ เริ่มจากนำเปลือกไม้ทั้ง 3 ชนิด ไปต้มรวมกันเป็นเวลา 12 ชั่วโมง สีที่ได้จะเป็นสีดำ แต่ไม่ดำสนิท จากนั้นนำฝ้ายลงไปย้อมและทิ้งไว้จนหายร้อน จากนั้นนำฝ้ายไปหมักโคลนแม่น้ำโขงเพื่อให้นุ่มและสีติดทน โคลนที่ใช้เป็นโคลนธรรมชาติ อยู่ใกล้ชุมชน โคลนบริเวณนี้อยู่ในจุดที่เกิดบั้งไฟพญานาค ตามความเชื่อของชาวบ้าน และยังเป็นเส้นทางสัญจรของสัตว์ป่า โคลนจากจุดนี้มีความอุดมสมบูรณ์ และให้สีที่แตกต่างจากโคลนในบริเวณอื่น ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของผ้าดารานาคี เมื่อย้อมและหมักโคลนเสร็จแล้ว สีของฝ้ายจะออกมาเป็นสีเทา หลังจากนั้นก็นำไปทอเป็นผืนได้ นอกจากหมากค้อเขียว เปลือกต้นชมพู่ป่า และเปลือกต้นคูนราชพฤกษ์แล้ว ทางกลุ่มยังนำเปลือกต้นหมากมาย้อมเป็นสีน้ำตาล เพื่อสร้างสีสันและลายผ้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นโดยเวลาทอเป็นลายตารางแบบไม่เท่ากัน ถือเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของผ้าขาวม้าดารานาคี อ่านมาถึงตรงนี้จะรู้เลยว่า กว่าจะได้ผ้าสักผืนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาสไปเที่ยวที่กลุ่มทอผ้าฝ้ายพื้นเมืองบ้านสะง้อ อย่าลืมอุดหนุนสินค้าจากชุมชนกันนะคะ มีทั้งผ้าขาวม้าลายที่เป็นเอกลักษณ์กว่า 12 ลาย เช่น ลายผู้ว่า ลายน้ำไหล ลายสองฝั่งโขง และลายปทุมทิพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเสื้อ กางเกง หมวก และพวงกุญแจรูปน้องปลาวาฬ (หินสามวาฬ) สุดน่ารักให้เลือกชอปด้วย ใครชอบเสื้อผ้าสีเอิร์ธโทน ต้องมีเสียทรัพย์กันแน่นอน

ดารานาคี เสน่ห์ผ้าทอแห่งลุ่มน้ำโขง อ่านเพิ่มเติม

วัดนาคูหา แพร่

วัดนาคูหา จุดเช็คอินใหม่ของเมืองแพร่.ที่ตั้ง : บ้านนาคูหา ต.สวนเขื่อน อ.เมืองแพร่ จ.แพร่พิกัด : https://goo.gl/maps/nhgQFbMqXxW5yXi66 วัดนาคูหา วัดเล็ก ๆ ประจำหมู่บ้าน ตั้งอยู่กลางทุ่งนาล้อมรอบไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อน ด้วยเพราะมีภูมิประเทศที่สวยงาม ท่ามกลางธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ อีกทั้งระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้ทั้งวัดนาคูหาและบ้านนาคูหา เป็นจุดหมายปลายทางที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว สะพานไม้ไผ่ หรือเรียกตามภาษาพื้นเมืองทางเหนือว่า “ขัวแตะ” เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของวัดนาคูหา ตัวสะพานเริ่มจากลานด้านหน้าองค์พระเจ้าตนหลวงทอดยาวข้ามท้องทุ่งไปยังชายเขาอึกจุดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด  . การเดินทาง : จากตัวเมืองแพร่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 101 (แพร่-น่าน) ผ่านบ้านทุ่งโฮ้ง และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1101 ผ่าน ต.ร่องฟอง จนถึงสามแยก ต.สวนเขื่อน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1024 ตรงไปประมาณ 16 กิโลเมตร ถึงวัดนาคูหา รวมระยะทางจากตัวเมืองแพร่ 25 กิโลเมตร เอกลักษณ์เด่นของวัดนาคูหา คือ พระเจ้าตนหลวง พระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางทุ่งนา พระหัตถ์ซ้ายถือลูกสมอ มีความเชื่อกันว่าลูกสมอมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้สารพัด หากขอพรด้วยลูกสมอ (ซึ่งต้นสมอมีขึ้นทั่วไปในหมู่บ้าน) โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพ จะได้พรสมดังปรารถนา พระอุโบสถของวัด มีสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายงดงามตามแบบพุทธศิลป์ท้องถิ่น หากมาเที่ยวในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน จะได้สัมผัสบรรยากาศท้องทุ่งนาสีเขียว สูดไอดินเคล้ากลิ่นไอฝน ถ้ามาในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ก็จะได้เห็นรวงข้าวสีท้องเต็มท้องทุ่ง พร้อมลมหนาวที่เริ่มพัดมาเยือน ได้บรรยากาศที่ดีไปอีกแบบ แนะนำให้มาเที่ยวและถ่ายภาพในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น เพราะแสงกำลังสวย และอากาศไม่ร้อนจนเกินไป นอกจากนี้ในหมู่บ้านนาคูหา ยังมีชาวบ้านส่วนหนึ่งประกอบอาชีพเลี้ยงสาหร่ายน้ำจืด หรือที่เรียกว่า “เตา” ซึ่งต้องเลี้ยงในแหล่งน้ำจืดที่สะอาดและบริสุทธิ์เท่านั้น โดยจะนำมาแปรรูปเป็นสินค้าของฝากต่าง ๆ เช่น สบู่เตา ข้าวเกรียบเตา กะละแมเตา ฯลฯ กะละแมเตา หนึ่งในของฝากยอดนิยมจากบ้านนาคูหา มีจำหน่ายบริเวณวัดนาคูหาและร้านขายของฝากตลอดแนวถนนในหมู่บ้าน มีโอกาสไปแอ่วเมืองแพร่ครั้งหน้า อย่าลืมแวะไปเที่ยววัดนาคูหาและบ้านนาคูหานะคะ

วัดนาคูหา แพร่ อ่านเพิ่มเติม

ปั่นเลียบโขง จังหวัดนครพนม

ปั่นเลียบโขง จังหวัดนครพนม วัดมหาธาตุ จุดแรก แอดขอพาทุกคนปั่นเลียบริมโขงมาสักการะพระธาตุนคร วัดมหาธาตุ เป็นศิริมงคลกันก่อน.วัดมหาธาตุมีปูชนียสถานที่สำคัญ คือ พระธาตุนคร เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันเสาร์ เชื่อกันว่าผู้ที่มานมัสการพระธาตุแห่งนี้ จะได้รับอานิสงส์ส่งเสริมบุญบารมีและสุขภาพแข็งแรง.ที่ตั้ง : ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนมเปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/e671QVtP4XU2 บ้านลุงโฮจิมินห์ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว แอดจะพาปั่นต่อไปอีกประมาณ 5.6 กิโลเมตรมาทางถนนเส้นที่จะไปสนามบิน ชื่อนี้เกี่ยวข้องกับเวียดนามแน่นอน บ้านลุงโฮจิมินห์ เป็นบ้านไม้หลังเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เพราะเป็นบ้านที่ท่านโฮจิมินห์ อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมาพักอาศัย ครั้งที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2467-2474 เพื่อหาทางกอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศสใกล้ ๆ กันยังมี “พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม” ที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวชีวประวัติทั้งช่วงที่อยู่เวียดนาม และในเมืองไทยของท่านโฮจิมินห์ รวมทั้งการทำงาน และการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ.เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.เข้าชมฟรีโทร. 0 4252 2430พิกัด : https://goo.gl/maps/GBWoxfkzQGr9n66Q9 องค์พญาศรีสัตตนาคราช จากบ้านลุงโฮจิมินห์ เราปั่นกลับไปทางริมแม่น้ำโขงอีกครั้ง ปั่นเพลิน ๆ 4.6 กิโลเมตรก็มาถึงแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดนครพนมที่ต้องห้ามพลาด “พญาศรีสัตตนาคราช” หรือรูปปั้นพญานาค 7 เศียร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงระหว่างถนนสุนทรวิจิตรกับถนนนิตโย เพื่อน ๆ จะมองเห็นได้แต่ไกล องค์พญาศรีสัตตนาคราช สีเหลืองทอง พ่นน้ำ สร้างจากความเชื่อและความศรัทธาของพี่น้องชาวไทยและชาวลาว ที่เชื่อว่าพญานาคจะคอยดูแลปกปักรักษาผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขงและองค์พระธาตุพนม.ช่วงหัวค่ำ จะมีการเปิดไฟประดับรอบองค์พญาศรีสัตตนาคราช และบริเวณใกล้ ๆ คือลานพนมนาคา เป็นลานกว้างเหมาะกับการชมวิวริมแม่น้ำโขงและความสวยงามของทิวเขาของอีกฝั่ง.พิกัด : https://goo.gl/maps/dvCuR5ETQcnWmcAW7 วัดนักบุญอันนา หนองแสง เลียบถนนสุนทรวิจิตรห่างออกไปแค่ 3 กิโลเมตร เราก็จะได้พบกับ“วัดนักบุญอันนาหนองแสง” โบสถ์คริต์ที่มีความสวยงามมาก และยังถือว่าสัญลักษณ์ของเมืองนานาชาติ เนื่องจากมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาอาศัยอยู่ เช่น คนไทย คนลาว คนญวณ เป็นต้น.วัดนักบุญอันนาหนองแสง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2469 โดยบาทหลวงเอดัวร์ นำลาภ อธิการโบสถ์ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ส่วนด้านหน้าคือโบสถ์ที่มีลักษณะเหมือนหอคอยคู่ ยอดแหลมตั้งเด่นเป็นสง่า สามารถมองเห็นได้จากไกล ๆ.ที่ตั้ง : บ้านหนองแสง ถนนสุนทรวิจิตร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนมโทร. 042 516 050พิกัด : https://goo.gl/maps/idCTUEqXBhA2 อุโมงค์นาคราช ทุกคนยังไหวกันอยู่ใช่ไหม แอดจะพาไปบริหารกล้ามขากันต่อ เพียงแค่ 1 กิโลเมตรเราก็ปั่นมาถึงอุโมงค์นาคราช จุดที่สายนักปั่นห้ามพลาด จุดนี้เป็นระยะทางสั้น ๆ ประมาณ 300 เมตร มีลักษณะคล้ายอุโมงค์ ผนังเป็นเหล็กโปร่ง ทางกว้าง สามารถปั่นสวนกันได้ ใครผ่านจุดนี้แอดแนะนำให้แวะมาเก็บภาพสวย ๆ กัน.พิกัด : https://goo.gl/maps/WHnw1DxbTEEtpUQeA สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ปิดท้ายด้วยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำจากฝั่งประเทศไทยไปยังบ้านเวินใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บริเวณใต้เชิงสะพานฝั่งไทยเป็นสถานที่พักผ่อน ชมวิวแม่น้ำโขง รวมทั้งเป็นจุดที่ดีที่จะชมพระอาทิตย์ค่อย ๆ ตกอีกด้วย.พิกัด : https://goo.gl/maps/ruPnyHgsyGS2 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 20 พฤศจิกายน 2563

ปั่นเลียบโขง จังหวัดนครพนม อ่านเพิ่มเติม

5 พิกัดชมทะเลหมอกสุดปัง

5 พิกัดชมทะเลหมอกสุดปัง . ลมหนาวใกล้เข้ามาแล้ว กิจกรรมสุดฮิตในช่วงฤดูหนาวแบบนี้คงหนีไม่พ้นการไปดื่มด่ำธรรมชาติบนยอดดอย ชมทะเลหมอก และเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าอย่างใจจดใจจ่อ . วันนี้แอดมี 5 พิกัดชมหมอกยามเช้ามาแนะนำ เอาไว้เป็นไอเดียสำหรับการวางแผนท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวที่จะถึงนี้ค่ะ 1. จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จังหวัดยะลา2. จุดชมวิวดอยกิ่วลม จังหวัดเชียงใหม่3. เขาหลวง จังหวัดสุโขทัย4. สวนยาหลวง บ้านสันเจริญ จังหวัดน่าน5. ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จังหวัดยะลา เป็นจุดชมวิวยอดฮิตของอำเภอเบตง อยู่ในพื้นที่ของเขาไมโครเวฟ ที่นี่สามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ตลอดทั้งปี เพราะถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ และมีแม่น้ำปัตตานีไหลผ่าน นอกจากทะเลหมอกแล้ว เราจะได้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามของเขาไมโครเวฟด้วย จุดชมวิวทะเลหมอกมี 2 จุด ได้แก่ จุดชมวิว กม. 32 เป็นจุดที่มองเห็นทะเลหมอกได้ชัดที่สุด ถ้าเพื่อน ๆ จะขึ้นมาชมทะเลหมอกที่จุดนี้ ต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ แล้วเดินขึ้นมาประมาณ 500 เมตร ถ้าเดินไม่ไหว สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซต์ขึ้นมาได้ ค่ารถคนละ 20 บาท ตอนนี้มีสกายวอล์คเปิดให้บริการแล้ว ใครอยากสัมผัสหมอกกันแบบใกล้ชิด ต้องห้ามพลาดจุดนี้เลยค่ะ.จุดชมวิวอีกจุดหนึ่งอยู่ถัดลงมาจากจุดแรก อยู่ใกล้โซนร้านอาหาร เป็นลานระเบียงกว้างขวาง จุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถนำรถมาจอดได้.ที่ตั้ง: ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลาพิกัด: https://goo.gl/maps/Ljk4R7YUKT5v8xTQ7  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลอัยเยอร์เวง 0 7328 5111 จุดชมวิวดอยกิ่วลม จังหวัดเชียงใหม่ จุดชมวิวดอยกิ่วลมตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง นักท่องเที่ยวสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกท่ามกลางภูเขาที่สลับซับซ้อนสวยงาม รวมทั้งยังสามารถมองเห็นดอยหลวงเชียงดาว ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทยได้อีกด้วย นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาด.ภายในอุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น จุดชมวิวดอยช้าง สวนดอกไม้หลากสี น้ำพุร้อนโป่งเดือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบ้านพักและลานกางเต็นท์ให้บริการ โดยเปิดให้กางเต็นท์ค้างแรมในเดือนตุลาคม-เมษายน ของทุกปี .อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่พิกัด: https://goo.gl/maps/rm3K7hn6samaCMVb8โทร. 0 5324 8491, 08 4908 1531 เขาหลวง จังหวัดสุโขทัย เขาหลวง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติรามคำแหง มีความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 1,200 เมตร บนยอดเขามีทิวทัศน์ที่สวยงามและปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าธรรมชาติ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี บนยอดเขาสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก และทะเลหมอกได้ เพื่อน ๆ สามารถเดินเท้าขึ้นไปพิชิตยอดเขาหลวงได้ ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินขึ้นไปบนยอดเขาราว 4 ชั่วโมง ดังนั้น ถ้าใครอยากพิชิตยอดเขาหลวง เตรียมร่างกาย เตรียมน้ำและเสบียงไปให้พร้อมนะคะ.อุทยานแห่งชาติรามคำแหง ต.นาเชิงคีรี อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัยพิกัด: https://goo.gl/maps/KNJeNQWvwQ5XcaFE6โทร. 09 8883 9297 สวนยาหลวง บ้านสันเจริญ จังหวัดน่าน หมู่บ้านสันเจริญเคยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ก่อนจะเปลี่ยนมาปลูกกาแฟเป็นอาชีพหลัก จนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน จากบ้านสันเจริญ เราสามารถขึ้นไปชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกได้บนยอดดอยสวนยาหลวง ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีลักษณะเป็นเนินภูเขาหญ้า สามารถมองเห็นทัศนียภาพของภูเขาได้สุดสายตา 360 องศา นอกจากนี้ดอยสวนยาหลวงยังเป็นแนวสันเขาที่เป็นรอยต่อระหว่างอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กับอำเภอปง จังหวัดพะเยา เรียกว่ามาที่เดียวได้ชมวิว 2 จังหวัดเลยค่ะ การขึ้นไปชมวิวบนยอดดอยสวนยาหลวง ต้องนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากหมู่บ้านสันเจริญขึ้นไป เส้นทางเป็นถนนลูกรังและค่อนข้างชัน ตลอดเส้นทางจะได้เห็นความสวยงามของไร่กาแฟที่ปลูกกระจายอยู่ทั่วหุบเขา ยิ่งในช่วงเช้า บรรยากาศจะยิ่งสวยงามแปลกตา เพราะจะมีสายหมอกจาง ๆ ปกคลุมไร่กาแฟ ระหว่างทางจากบ้านสันเจริญไปยังยอดดอยสวนยาหลวงมีที่พักรองรับนักท่องเที่ยว เรียกว่า coffee farm stay เป็นที่พักเรียบง่ายกลางไร่กาแฟ ใครอยากตื่นมาจิบกาแฟพร้อมชมวิวไร่กาแฟยามเช้า ต้องไปพักที่นี่เลยค่ะ.ที่ตั้ง : ต.ผาทอง อ.ท่าวังผา จ.น่านพิกัด https://goo.gl/maps/Ljk4R7YUKT5v8xTQ7กลุ่มท่องเที่ยวชุมชนเชิงอนุรักษ์ดอยสวนยาหลวง บ้านสันเจริญ โทร. 08 6390 7737 ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย เป็นจุดชมวิวบนเขาสูง สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นกลางลำน้ำโขงและแนวเขาสลับซับซ้อนในเขตประเทศลาวได้ ถ้าอยากเห็นหมอกแบบแน่น ๆ แอดแนะนำให้มาชมในช่วงฤดูหนาวค่ะ การเดินทางขึ้นไปที่ภูห้วยอีสันไม่สามารถใช้รถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปได้ เพราะว่าทางขึ้นสูงและชันมาก เพื่อน ๆ สามารถใช้บริการรถอีแต๊กได้ โดยจุดบริการรถอีแต๊กจะอยู่ที่อบต.บ้านม่วง ค่าบริการคนละ 60 บาท (ไป-กลับ) ในการชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก แนะนำให้มาขึ้นรถอีแต๊กเวลาประมาณ 05.00 น. เพราะระยะทางจากจุดขึ้นรถไปถึงภูห้วยอีสัน ใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที.ที่ตั้ง: ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคายพิกัด: https://goo.gl/maps/JvNbFTfrWd8nK2pp8เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 04.00 น.โทร. 0 4241 4871, 09 6068 2362, 08 7219 5500 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 4 ธันวาคม 2563

5 พิกัดชมทะเลหมอกสุดปัง อ่านเพิ่มเติม

Amazing Phang Nga เกาะพระทอง สะวันนาแห่งแดนใต้

เกาะพระทอง ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพังงาและใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย พื้นที่บนเกาะพระทองส่วนใหญ่เป็นดินปนทราย มีความสวยงามและยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก นักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อนที่ The Moken Eco Village ซึ่งเป็นทั้งที่พักและยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำมากมาย เกาะพระทองจะมีช่วงเวลาปิดเกาะ คือช่วงปลายเดือนเมษายน-ตุลาคมของทุกปี สำหรับการเดินทางไปเกาะพระทอง เราสามารถขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือคุระบุรี ซึ่งเป็นท่าเรือข้ามไป The Moken Eco Village ที่อยู่ห่างจากฝั่ง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงโดยเรือหางยาวขนาดกลาง เรือจะจอดให้เราขึ้นเกาะได้สองฝั่งคือ ด้านหน้าหาดและหลังหาด.ค่าบริการเรือเรือหางยาว เที่ยวละ 1,500 บาท ใช้เวลาสักพักเราก็มาถึงเกาะพระทองกันแล้ว The Moken Eco Village เป็นที่พักแบบ Eco มีห้องพักประมาณ 20 ห้อง ไม่มีไฟฟ้าแต่จะใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด (Solar Cells) ซึ่งจะหยุดการทำงานในเวลา 21.00 น. แต่สามารถใช้พลังงานที่สะสมต่อได้ตลอดคืน  บอกเลยว่าใช้ชีวิตกันแบบเรียล ๆ และสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแบบนี้แหละ.ค่าบริการห้องพักราคาเริ่มต้นที่ 2,400 บาท/ห้อง**ราคาขึ้นอยู่กับฤดูกาล แนะนำให้สอบถามราคาโดยตรงกับที่พัก** ล้างหน้าล้างตากันสักหน่อยเพราะเจอลมทะเลมาเต็ม ๆ ช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน บรรยากาศเเดดร่มลมตกแบบนี้ พร้อมแล้วกับกิจกรรมแรกของพวกเรา รถพร้อมเราก็พร้อม ไปเยือนทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งภาคใต้กันเลย  ไฮไลท์ของเรามาแล้ว ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สะวันนาแห่งภาคใต้” เพราะมีทุ่งหญ้าสีเหลืองทองเตี้ย ๆ เรียกว่า หญ้าเสือหมอบ ขึ้นสลับกับต้นเสม็ดขาวที่ตั้งกระจายเป็นหย่อม ๆ จำนวนมาก อย่างกับอยู่ในป่าซาฟารีเลยล่ะ เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและสวยงามของที่นี่ ซึ่งต้นอ่อนของหญ้าเสือหมอบนั้นก็เป็นอาหารหลักของกวางบนเกาะนั่นเอง ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะไปชมคือ ยามเช้าตรู่ หรือ ช่วงบ่ายแก่ ๆ หากโชคดีจะได้เห็นเหยี่ยวขาวและนกแก๊ก หรือนกเงือกพันธุ์เล็กที่สุดในประเทศไทยด้วยนะ ทุ่งสะวันนาบนเกาะพระทองจะเต็มไปด้วย “ต้นเสม็ดขาว” ที่ลำต้นจะมีเยื่อบาง ๆ ลอกออกมาเป็นแผ่น ๆ ได้ ซึ่งเปลือกของต้นเสม็ดขาวนั้นสามารถนำไปทำเป็นฝาบ้านหรือมุงหลังคาได้ เพราะมีคุณสมบัติช่วยในการเก็บอุณหภูมิให้เย็นอยู่เสมอ ต้นเสม็ดขาวจะขยายพันธุ์โดยอาศัยความร้อน ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า หรือ การเผา นอกจากทุ่งหญ้าสะวันนาที่เราไปชมกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่ยังพาเราเดินสำรวจและชมพืชพันธุ์เฉพาะถิ่นที่หายากอีกด้วย เช่น ดอกกระดุมเงิน ดอกสีขาวเล็ก ๆ ที่บานอยู่เต็มทุ่งไปหมดดอกศรนารายณ์ เป็นกล้วยไม้หายาก มีสีขาวแซมเหลือง ลักษณะเหมือนลูกศร ในพังงาสามารถพบได้ที่เกาะพระทองเท่านั้นหยาดน้ำค้างและหยดน้ำค้าง เป็นพืชกินแมลงมีทั้งสีเขียวและสีแดง น่ารักจุ๋มจิ๋ม บนเกาะพระทองนั้นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีทีวี หรือสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนัก แต่กลับเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งแบบครอบครัวและคู่รักเลยค่ะ มีเตียงไม้เล็ก ๆ ให้นอนอาบเเดด หรือจะนั่งชิล ๆ ยามเย็นก็ฟินไปอีกแบบ ตะวันจะลับขอบฟ้า เราออกมาเดินรับลมริมหาดกันแบบชิล ๆ ซึมซับบรรยากาศนี้ไว้ ใครจะได้มาเที่ยวแบบนี้บ่อย ๆ ล่ะจริงมั้ย กิจกรรมยามดึกของเราในวันนี้ คือ การชมปูเสฉวน เรียกได้ว่าอลังการบ้านปูมากกก เราเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังจุดชมปูกันแบบมืดๆ เพราะปูเสฉวนจะออกหากินในตอนกลางคืน แต่แนะนำว่าให้เตรียมไฟฉายไปส่องปูด้วยนะคะ แอดเจอเพียบเลย มีทั้งตัวใหญ่ยักษ์ บ้างก็ตัวเล็ก อยู่กันเป็นฝูงเลยล่ะ ตื่นเต้น ๆ  เราใช้เวลาอยู่สักพักในการสำรวจหาเจ้าปู และถ้าโชคดีเราอาจจะได้เห็นฝูงกวางยามค่ำคืนด้วย เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 2 มกราคม 2562

Amazing Phang Nga เกาะพระทอง สะวันนาแห่งแดนใต้ อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวดอยตีดู้ว์ จ.น่าน

หนาวนี้ที่รอคอย… ในช่วงนี้อากาศกลับมาเย็นลงอีกครั้งหนึ่งแล้วนะคะ สมกับที่หลายคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ.อากาศหนาวๆ ก็มักจะมาพร้อมกับทะเลหมอกสวยๆ วันนี้แอดก็จะมาแนะนำสถานที่ชมทะเลหมอกแห่งใหม่ของ จ.น่าน กันค่ะ รับรองว่าสวยไม่แพ้ที่อื่นเลย . สถานที่ชมทะเลหมอกแห่งใหม่ที่แอดพูดถึงก็คือ “ดอยตีดู้ว์” จ.น่าน.ซึ่งชื่อ “ดอยตีดู้ว์” นั้นก็มาจากภาษาม้ง ที่แปลว่า “ใกล้ขอบฟ้า” นั่นเองค่ะ ถึงแม้ว่าดอยตีดู้ว์จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสัมผัสทะเลหมอกที่นี่เป็นจำนวนมาก สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากจะเดินทางมาชมความงามนี้ด้วยตนเอง แอดแนะนำให้มาช่วงเช้าระหว่างเวลา 06.30-08.30 น. นะคะ.เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดของการชมทะเลหมอก และเพื่อนๆ ยังจะได้สัมผัสกับอากาศหนาวเย็นอีกด้วยค่ะ ดอยตีดู้ว์ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองน่านมากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียง 30 นาทีเท่านั้นค่ะ หากใครไม่อยากเดินทางไปชมทะเลหมอกในตอนเช้า แต่อยากตื่นขึ้นมาแล้วพบกับทะเลหมอกเลย ที่ดอยแห่งนี้ก็มีจุดกางเต็นท์ไว้คอยให้บริการด้วยนะคะ ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณจี โทร. 061 381 0962 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 3 มกราคม 2562

เที่ยวดอยตีดู้ว์ จ.น่าน อ่านเพิ่มเติม

ติด (ใจ) … เกาะสุกร ลองไปดูก่อน แล้วจะรัก

เกาะสุกร จ.ตรัง เกาะที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว อบอวลไปด้วยวิถีชีวิตที่โดดเด่นและน่าสนใจ .เป็นเกาะขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่งเพียง 3 กิโลเมตร เต็มไปด้วยทุ่งนา และธรรมชาติที่เขียวขจี โอบล้อมด้วยทัศนียภาพอันสวยงามของทะเลอันดามัน.แอดได้มีโอกาสไปเที่ยวและได้ทำกิจกรรมต่างๆ บนเกาะแล้วประทับใจมากๆ เลยอยากจะมาชวนให้แฟนเพจให้ลองเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตอันน่าสนใจของชาวเกาะแห่งนี้ดู การเดินทางไปเกาะสุกร.สามารถขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือตะเสะ ที่ตั้งอยู่ใน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง มีเรือรับ-ส่ง บริการตลอด 24 ชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีไปยังเกาะสุกร ราคาคนละ 30 บาท.พิกัดท่าเรือตะเสะ https://goo.gl/maps/o5EXa8H16YH2  กิจกรรมยอดฮิตบนเกาะสุกร คือการนั่งรถซาเล้งเที่ยวรอบเกาะ โดยไกด์ท้องถิ่นที่เป็นคนขับของเราจะพาไปชมทิวทัศน์รอบเกาะ และพาไปแวะชม ชิม ชอป ของดี ของเด็ดประจำเกาะสุกร.เหมารถซาเล้งเที่ยวรอบเกาะ ราคา 400 บาท/คันติดต่อได้ที่ บังสุนัน โทร. 094 318 1075 เริ่มทริปของเราด้วยการไปชมวิถีชีวิตบนเกาะสุกรกันเลย เกาะสุกรเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ห่างจากชายฝั่งเพียง 3 กิโลเมตร ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ทำอาชีพประมง ทำสวนยาง และเกษตรกรรม ที่นี่มีการทำนาข้าวซึ่งเกาะสุกรถือเป็นหนึ่งในไม่กี่เกาะในประเทศไทย ที่มีการทำนาบนเกาะ ว้าววว ดูสิ มองทางไหนก็มีแต่นาข้าวสีเขียวสบายตา นอกจากนี้ บนเกาะยังมีผลไม้ที่มีชื่อเสียงคือ แตงโมที่ปลูกอยู่ริมชายหาด บอกเลยว่ารสหวานอร่อยมาก ๆ ถ้าใครอยากมาลองว่ารสชาติหวานขนาดไหน ต้องมาช่วงเดือนพฤศจิกายน – เมษายนนะ ไปต่อกันที่จุดชมวิวเกาะสุกร อยู่ห่างจากท่าเรือเกาะสุกร 4 กิโลเมตร สามารถชมทิวทัศน์ของเกาะสุกร และมองเห็นสันหลังมังกรได้พิกัด : https://goo.gl/maps/vZBMJK5xTyN2 ท่าเรือบ้านแหลม บริเวณนี้ชาวบ้านนิยมมาตกปลา และเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้พิกัด : https://goo.gl/maps/dL1iPJfbN1L2 หลังจากชมวิวกันจนหนำใจแล้ว เราไปแวะดูของเด็ดของเกาะสุกรกันดีกว่า ไปที่กลุ่มทำเครื่องแกงกันเลย ขนาดยังเข้าไปไม่ถึงห้องครัว กลิ่นเครื่องแกงก็ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกมาแต่ไกล แอดนี่รีบตามกลิ่นไปอย่างรวดเร็วเลย ที่นี่มีการทำเครื่องแกง 4 อย่าง ได้แก่ เครื่องแกงกะทิ เครื่องแกงส้ม เครื่องแกงคั่วพริก เครื่องแกงไก่และแกงเนื้อ โดยแม่บ้านจะมารวมกลุ่มกันทุกวัน และทำเครื่องแกงวันละ 1 อย่าง เครื่องแกงมีขายทั้งแบบซอง แบบกระปุก ฯลฯราคาก็ตามนี้เลย– แบบซอง ซองละ 7 บาท– แบบกระปุก กระปุกละ 10 บาท– แบบครึ่งกิโลกรัม ราคา 75 บาท– แกงส้ม ราคากิโลกรัมละ 140 บาท– แกงอื่น ๆ ราคากิโลกรัมละ 150 บาท ใครสนใจอยากซื้อมาปรุงอาหาร โทรสั่งได้ที่เบอร์ 084 304 1104 เขามีบริการส่งไปรษณีย์ด้วยนะ หลังจากนั่งรถซาเล้งตะลอนมาเกือบครึ่งวัน บวกกับกลิ่นเครื่องแกงที่ชวนให้หิว แอดว่าเราไปหาอะไรทานกันดีกว่า แอดจะพาไปทานอาหารท้องถิ่น สไตล์ชาวเกาะกัน อาหารมาแบบจัดเต็มเลยทีเดียว ทั้งปลาทอด หมึกผัดน้ำหมึก แกงส้มปลากระบอกรสจัดจ้าน ปลาส้ม แกงกะทิหน่อไม้ น้ำพริกกะปิรสเด็ดที่มาคู่กับผักพื้นบ้านหลายชนิด และน้ำชุปหยำแบบใต้แท้ ๆ มื้อนี้อร่อยจนวางช้อนไม่ลงเลยละค่ะ กินอิ่มแล้ว เรี่ยวแรงก็กลับมา เราไปทำกิจกรรม D.I.Y ที่เมื่อมาเกาะสุกรต้องห้ามพลาด นั่นก็คือ ระบายสีผ้าบาติก เป็นกิจกรรมสนุก ๆ ให้ความเพลิดเพลิน ที่ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิด เพราะมีคุณครูคอยประกบอยู่ข้าง ๆ ลายที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะสุกร คือลายแตงโม และลายปลาที่แหวกว่ายอยู่ในท้องทะเล ครั้งนี้แอดจัดไปเบา ๆ 2 ลาย ช่วยกันระบายคนละไม้คนละมือ แป๊บเดียวก็เสร็จค่ะ หลังจากระบายสีเสร็จแล้ว ต้องทิ้งไว้ให้สีแห้งสนิท แล้วนำผ้าไปเคลือบโซเดียมซิลิเกต เพื่อกันสีตก 6-8 ชั่วโมง ล้างน้ำยาออกด้วยน้ำเปล่า 1 ครั้ง จากนั้นนำผ้าไปต้มในน้ำเดือดที่ผสมผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน เพื่อลอกเอาเส้นเทียนออกจากตัวผ้า แล้วล้างน้ำเปล่าออกอีก 1 รอบ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย  #ไปต่อไม่รอแล้วนะ มาทำขนมตาหยาบต่อกันเลย ขนมตาหยาบเป็นขนมพื้นบ้านของภาคใต้ ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซีย ที่เกาะสุกรจะนิยมทานกับชาหรือกาแฟในตอนเช้า ส่วนผสมมีดังนี้– แป้งห่อ ใช้แป้งสาลี แป้งข้าวเหนียว น้ำกะทิ น้ำใบเตย และเกลือเล็กน้อยมาผสมกัน– ไส้ ใช้มะพร้าวทึนทึกขูดกับน้ำตาลปีบ เคี่ยวให้เข้ากัน วิธีทำคือ ตั้งกระทะโดยใช้ไฟอ่อน นำแป้งที่ผสมแล้วหยอดลงไปในกระทะ แล้วหมุนกระทะให้แป้งเป็นวงกลม วิธีสังเกตว่าแป้งสุกหรือไม่นั้น ถ้าแป้งสุกจะเป็นสีเขียวเสมอกัน และขอบแป้งจะร่อนออก นำแป้งออกจากกระทะ วิธีที่สะดวกที่สุดคือ ใช้มือหยิบเลยจ้า ทนร้อนนิดเดียว นำแป้งมาพักไว้ จากนั้นใส่ไส้ลงไป แล้วห่อให้สวยงาม.รสชาติของขนมตาหยาบจะหอมกลิ่นใบเตย และได้ความหวานจากไส้มะพร้าว อร่อยมาก ๆ ค่ะ หยุดทานไม่ได้เลย ทำขนมตาหยาบอย่างเดียวยังไม่หนำใจ ไปทำขนมคล้องใจกันต่อดีกว่า.วิธีการทำไม่ยากมากนัก เริ่มจากนำแป้งอเนกประสงค์มาผสมกับไข่ไก่ นวดให้เข้ากัน ปั้นให้เป็นเส้นยาวพอประมาณ แล้วนำมาคล้องซ้าย คล้องขวา เกี่ยวกันให้เป็นเหมือนห่วง 3 อัน ซึ่งขั้นตอนนี้ ต้องใช้ทักษะในการคล้องสักเล็กน้อย  จากนั้นนำไปทอดให้แป้งพองตัว และมีสีเหลืองนวล ๆ เมื่อทอดจนได้ที่แล้ว นำขนมขึ้นจากกระทะ แล้วชุบด้วยน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวาน แต่ถ้าใครไม่ชอบหวานก็ไม่ต้องใส่น้ำตาลก็ได้ค่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขนมคล้องใจของเรา.ตัวขนมมีลักษณะเป็นแป้งโปร่งๆ กรุบกรอบ เนื้อไม่แน่นมาก หอมหวาน ทานคู่กับชาหรือกาแฟจะฟินมาก ๆ หลังจากกินขนมจนพุงกางแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อนหย่อนใจอีกครั้ง.เราเดินทางเข้าที่พัก และออกมาชมวิวที่ชายหาด พระอาทิตย์ตกที่เกาะสุกรสวยมากเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนเกาะสุกรเลยแหละ…………………………………………………………….หนึ่งวันของแอดบนเกาะสุกร ถือว่าใช้ไปอย่างคุ้มค่า แฮปปี้สุด ๆ ใครอยากตามรอยมาฟินแบบแอด ก็รีบมากันนะ ป้า ๆ น้า ๆ ที่น่ารักรอต้อนรับทุกคนอยู่ค่ะ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center

ติด (ใจ) … เกาะสุกร ลองไปดูก่อน แล้วจะรัก อ่านเพิ่มเติม

มอหินขาว อุทยานแห่งชาติภูแลนคา จ.ชัยภูมิ

มอหินขาว ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ตำบลท่าหินโงม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ที่มาของชื่อมอหินขาวนั้น คำว่า “มอ” มาจากภาษาอีสาน แปลว่า เนิน เขา หรือที่สูง ส่วน “หินขาว” มาจากเรื่องเล่าของชาวบ้านที่ว่า ในสมัยก่อนทุกคืนวันพระจะมีแสงสีขาวส่องมาจากก้อนหิน จึงเรียกกันว่าหินขาว ซึ่งจากการตรวจสอบของกรมทรัพยากรธรณีพบว่ามอหินขาวมีอายุราว 195 – 197 ปี ส่วนใหญ่เป็นหินทรายขาวค่ะ มาถึงไฮไลท์ของมอหินขาวนั่นก็คือ เสาหิน 5 ต้น ที่มีขนาดแตกต่างกัน ขนาดใหญ่ที่สุดสูงราว 12 เมตร กว้างประมาณ 22 คนโอบทีเดียว ซึ่งเสาหินทั้ง 5 ต้นนี้ก็มีชื่อที่ตั้งขึ้นตามความเชื่อดังนี้ เสาหินต้นที่ 1 ชื่อว่า “ขุนศรีวิชัย” เชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้จะได้รับพรให้มีชัยชนะเสาหินต้นที่ 2 ชื่อว่า “หลวงปู่ฤาษี” เชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้จะได้รับพรด้านโชคลาภและหายจากอาการเจ็บป่วยเสาหินต้นที่ 3 ชื่อว่า “หลวงสมชาย” เชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้จะได้รับพรด้านความมีสง่าราศีเสาหินต้นที่ 4 ชื่อว่า “หลวงจันทร์” เชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้จะได้รับพรให้มียศฐาบรรดาศักดิ์เสาหินต้นที่ 5 ชื่อว่า “หมื่นสิงขร” เชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้จะได้รับพรให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นอกจากเสาหิน 5 ต้นที่เป็นไฮไลท์แล้ว ที่นี่ก็ยังมีหินกลุ่มอื่นๆ อีก อย่างในภาพนี้จะเป็นหินเจดีย์และหินโขลงช้างค่ะ การเดินทาง : จากตัวเมืองชัยภูมิใช้ทางหลวงหมายเลข 2051 (ชัยภูมิ-ตาดโตน) (ทางไปน้ำตกตาดโตน) ขับไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติตาดโตนให้เลี้ยวซ้าย ถึงตรงนี้จะมีป้ายบอกชัดเจน ขับตามป้ายบอกทางไปได้เลยนะคะ สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจกางเต็นท์นอนดูดาว ทางอุทยานฯ ก็ได้จัดลานกางเต็นท์ไว้บริการด้วยค่ะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 093 093 9193, 097 280 5434 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 13 มกราคม 2562

มอหินขาว อุทยานแห่งชาติภูแลนคา จ.ชัยภูมิ อ่านเพิ่มเติม

Walking Bangkok : เสาชิงช้า – ศาลเจ้าพ่อเสือ

เที่ยวง่ายๆ ในหนึ่งวันฉบับคนมีเวลาน้อย วันนี้แอดจะชวนเพื่อนๆ ไปเดินเที่ยว ถ่ายรูป และกินของอร่อยกันรอบกรุงเทพฯ สำหรับวันนี้เราจะไปลัดเลาะในเส้นทางแรกนั่นคือ เสาชิงช้า – ศาลเจ้าพ่อเสือ  โกปี๊ เฮี้ยะไถ่กี่ ร้านกาแฟโบราณรุ่นเก๋ากว่า 60 ปี ที่มีต้นกำเนิดมาจากร้านขายของโชห่วย กลายมาเป็นร้านกาแฟ เฮี้ยะไถ่กี่ บน ถ.วิสุทธิกษัตริย์ ต่อมาได้มีการขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 4 สาขา ในชื่อว่า โกปี๊ เฮี้ยะไถ่กี่ สาขา 1 เสาชิงช้าสาขา 2 ผ่านฟ้าสาขา 3 ตลาดเสรีมาร์เก็ต เดอะไนน์ พระราม 9สาขา 4 เดอะ ไบรท์ พระราม2 เช้านี้แอดตั้งใจจะพาเพื่อนๆ มาฝากท้องกันที่นี่ ซึ่งเค้าก็มีหลากหลายเมนูให้เลือกทั้งของว่างทานเล่น และเมนูอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็น ไข่กระทะ สเต็กหมู สเต็กปลา ข้าวต้ม ข้าวปลาแซลมอน ขนมปังปิ้ง โรตี ฯลฯ ทางร้านให้ลูกค้าบริการตัวเองนะคะ เดินมาสั่งและรับอาหารหรือเครื่องดื่มที่หน้าเคาน์เตอร์ด้วยตัวเองได้เลย สำหรับมื้อเช้าของแอดเป็น “ไข่กระทะ” ไข่ดาว 2 ฟอง และหมูสับ มาพร้อมชุดขนมปัง ที่ประกอบด้วยขนมปัง หมูยอ และกุนเชียง เครื่องแน่นอยู่นะ แต่ถ้ายังไม่จุใจก็สามารถเพิ่มชีสและเบคอนได้ ทางร้านเรียกว่า “ไข่กระทะครบสูตร” หรือจะไม่เพิ่มก็ได้ แล้วแต่ความชอบเลยจ้า ไม่อิ่มขอต่ออีกชาม “เส้นใหญ่ต้มยำ” เมนูนี้ใครได้ลองชิมแล้วต้องอยากซดน้ำต้มยำร้อนๆ บอกเลยว่าโล่งคอสุดๆ เส้นใหญ่เหนียวนุ่ม เครื่องต้มยำก็แซ่บ เครื่องดื่มของร้านเป็นสไตล์โบราณ แต่ก็มีความร่วมสมัยอยู่ด้วย ทั้งชา กาแฟ นมเย็น โอเลี้ยง ฯลฯ แก้วสูงๆ นั้นเรียกว่า “ชาเฟ” เป็นทั้งชาและกาแฟในแก้วเดียวกัน กาแฟเข้มข้นผสมชาซีลอนแท้ๆ โปะด้วยวิปครีมนุ่มๆ ดื่มตอนแรกจะได้กลิ่นชาก่อน จากนั้นตามด้วยรสเข้มๆของกาแฟ ฟินมาก ถัดมาคือ “โอวัลตินภูเขาไฟ” เมนูที่หลายคนคงจะเคยดื่ม และยังชื่นชอบไม่เคยเปลี่ยน แก้วสุดท้าย “ชาซีลอนเย็น” รสชาติเข้มข้น หวานมัน หอมชามาก คนรักชาห้ามพลาด โกปี๊ เฮี้ยะไถ่กี่ ณ เสาชิงช้า ที่ตั้ง : 37 อาคารหัวมุมซอยสำราญราษฎร์ ถนนศิริพงษ์ กรุงเทพฯ (ใกล้ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร)เปิดทุกวัน เวลา 07.00 – 20.00 น.โทร. 091 979 1498พิกัด : https://goo.gl/maps/bH2Ena3PSZL2 เรามุ่งหน้าเดินจากร้านกาแฟ ผ่านศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ตรงมายังถนนมหรรณพ เดินมาเรื่อยๆ เเวะชิม “ขนมกุ๋ยช่าย เจ๊ต้อย” เจ้าดังกันก่อน ร้านนี้เปิดมา 10 กว่าปีแล้ว เป็นกุ๋ยช่ายต้นตำรับแป้งบางนุ่ม ไส้เยอะมาตั้งแต่สมัยรุ่นแม่ของเจ้าของร้าน น้ำจิ้มรสชาติจัดจ้าน โดดเด่นด่วยกุ๋ยช่ายทรงหลังเต่า ไม่แบนเหมือนที่อื่นๆ แตกต่างไม่เหมือนใคร กุ๋ยช่ายร้านนี้มีทั้งหมด 6 ไส้ด้วยกัน ได้แก่ กะหล่ำ-เห็ดหอม หน่อไม้สดกุ้งแห้ง เผือก มันแกว และกุ๋ยช่าย ราคาชิ้นละ 7 บาท ที่ตั้ง : 122 ถนนมหรรณพ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯเปิดทุกวัน เวลา 07.00 – 15.00 น.โทร. 062 857 3777, 081 836 5941พิกัด : https://goo.gl/maps/FKRgkkLbQ112 อิ่มแล้วพร้อมลุยต่อ จากร้านกุ๋ยช่าย เดินตรงไปตามถนนมหรรณพจนสุดทางก็จะเจอ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ตั่วเหล่าเอี้ย” เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนต่างมากราบไหว้ขอพร เสริมดวงบารมี รวมถึงสะเดาะเคราะห์แก้ปีชงต่าง ๆ อีกด้วย ที่ตั้ง : 468 ถนนตะนาว แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กรุงเทพฯเปิดทุกวัน เวลา 06.00 – 17.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/r1VnBaxTgFN2 ออกจากศาลเจ้าพ่อเสือ เดินไปทางขวานิดเดียวก็จะพบกับ “ซุ้มประตู” ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปผสมไทย ย่านแพร่งสรรพศาสตร์ ลักษณะเป็นกรอบประตูรูปซุ้มโค้ง ภายในวงกลมด้านบนประดับกระจกสีและประติมากรรมเทพธิดากรีกขนาดเกือบเท่าคนจริงอยู่ในท่ายืนถือคบไฟ แต่เดิมบริเวณนี้คือวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ (พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์) เจ้ากรมช่างมหาดเล็กสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งภายหลังวังได้เกิดเพลิงไหม้เสียหายจนหมด คงเหลือเพียงซุ้มประตูวังเท่านั้น แวะถ่ายรูปกันสักหน่อยแล้วไปลุยกันต่อ จัดหนักกันอีกมื้อที่ “นายอ้วนเย็นตาโฟบะเต็ง” ตั้งอยู่ในตรอกนาวา จากซุ้มประตูวังเดินตรงมาทางขวาเรื่อยๆ ซอยจะอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนถึงแพร่งนรา (สังเกตธนาคารกรุงเทพหน้าปากซอย) เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว มีลูกค้ารอคิวต่อแถวซื้อเป็นจำนวนมาก จนต้องขยายร้านเป็นสองคูหาเลยทีเดียว ที่ตั้ง : 41 ตรอกนาวา ถนนตะนาว แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯเปิดทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 – 21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/5cwTFWcZPCD2 ความอร่อยของร้านนี้คือ ลูกชิ้นที่ทางร้านทำเอง สดใหม่ทุกวัน ไม่ใส่สารกันบูด รสชาติก๋วยเตี๋ยวที่เข้มข้น และเครื่องที่อัดแน่นจนเต็มชาม ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปลา เต้าหู้ เกี๊ยวกรอบ หมึกกรอบ เรียกได้ว่าจัดเต็ม สำหรับใครที่สั่งก๋วยเตี๋ยวแห้งและเย็นตาโฟแห้ง ก็จะมีหมูบะเต็งหวาน ๆ เค็ม

Walking Bangkok : เสาชิงช้า – ศาลเจ้าพ่อเสือ อ่านเพิ่มเติม

ปัว 2 วัน 1 คืน : ชิมโกโก้ ชมธรรมชาติ

วันที่ 1บ่อเกลือสินเธาว์จุดชมวิวดอยภูคา 1715Cocoa Valley วันที่ 2โรงเรียนชาวนาวังศิลาแลงวัดภูเก็ต วันที่ 1 ใครมาเที่ยวน่าน ก็ต้องไม่พลาดแวะอำเภอบ่อเกลือ ถือว่าเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเลยล่ะ อำเภอบ่อเกลือเป็นที่ตั้งของบ่อเกลือโบราณอายุกว่า 800 ปี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์บนภูเขาแห่งเดียวในโลก ในอดีตที่นี่มีบ่อเกลือหลายบ่อ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 บ่อเท่านั้นคือ บ่อเหนือและบ่อใต้ ชาวบ้านที่นี่ยังคงต้มเกลือด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมเพื่อใช้ในการบริโภค และมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามจำหน่ายอีกด้วย. ที่ตั้ง : อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่านเปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. (เข้าชมฟรี)บ่อเกลือจะปิดช่วงประเพณีเข้าพรรษาช่วงเดือนกรกฏาคม-กันยายน และวันสงกรานต์ของทุกปีโทร. 087 176 2016 (กลุ่มที่นำเกลือไปแปรรูปเป็นเกลือสปา)พิกัด : https://goo.gl/maps/aaigsLsHJn2y3dwh8 จุดชมวิวดอยภูคา 1715 จุดชมวิวดอยภูคา ตั้งอยู่ริมถนนหมายเลข 1256 อยู่เลยทางเข้าอุทยานฯ ไปประมาณ 4 กม. เป็นจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวแวะชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม รวมถึงทะเลหมอกด้วยนะ นับเป็นอีกแห่งที่สวยสุด ๆ ไม่แพ้ที่อื่น ๆ เลยล่ะ.ในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกชมพูภูคาเริ่มทยอยบานสะพรั่งบริเวณอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ซึ่งชมได้ปีละครั้งเท่านั้น หากมีโอกาสแวะไปชมกันนะ.ที่ตั้ง : ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1256 อำเภอปัว จังหวัดน่านพิกัด :  https://goo.gl/maps/Y4TcBDyTN4pwwAHB8 สาวกช็อกโกแลตไม่ควรพลาด เพราะเราจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่จากสวนโกโก้แท้ ๆ ในประเทศไทยที่จังหวัดน่าน “Cocoa Valley” ที่นี่เปิดเป็นคาเฟ่ที่ใช้วัตถุดิบจากสวนและยังเป็นรีสอร์ทอีกด้วย เอาล่ะ…เดี๋ยวแอดพาทุกคนเข้าสวนไปเก็บผลโกโก้กันสด ๆ และลงมือทำช็อกโกแลตด้วยตัวเองกันค่ะ ก่อนอื่นเลย เจ้าหน้าที่จะอธิบายที่มาที่ไปของโกโก้และขั้นตอนการเก็บ ซึ่งโกโก้นั้นต้องใช้เวลาการปลูกกว่า 3 ปีเลยนะจึงจะสามารถเก็บผลผลิตมาใช้ได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราเก็บผลโกโก้สด ๆ จากต้นกับมือเลยล่ะ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะใช้มีดหั่นลงไปตรงกลางของผลโกโก้และวนให้รอบจนขาดออกจากกันเพื่อเราดูเมล็ด แอดบอกเลยว่าเมล็ดโกโก้สีขาว ๆ นั้นสามารถกินได้ด้วยนะ มีรสชาติออกเปรี้ยว ๆ แถมยังมีประโยชน์ช่วยเรืองความจำอีกด้วย หลังจากเราเก็บผลโกโก้จากสวนแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเราไปดูวิธีการถัดไปคือ ต้องนำผลโกโก้ไปหมักและตากแห้ง จะเป็นหน้าตาแบบนี้เลย จากนั้นก็ฝัดเพื่อเอาฝุ่นออกและแยกเปลือกออกมา ซึ่งเปลือกยังสามารถนำไปบดเพื่อใช้ย้อมผ้าได้อีกด้วย ถึงเวลาที่เราสนุกกันละ ถึงเวลาทำช็อกโกแลตกันแล้วค่ะ โดยจะใช้โกโก้ที่ผ่านการแปรรูปแล้วมาผสมกับน้ำตาลโตนดเพื่อให้ได้รสหวาน ส่วนใครชอบแบบเข้มข้นก็ไม่ต้องผสมน้ำตาลเลยก็ได้ โกโก้ที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้ ค่อนข้างมีอุณหภูมิสูง เราจึงต้องทำให้อุณหภูมิของโกโก้พอดีกับอุณหภูมิห้องเสียก่อน โดยการเทโกโก้ลงบนโต๊ะหินอ่อนปาดสลับไปมา จนรู้สึกว่าโกโก้เริ่มหนืด จากนั้นก็ตักใส่ชามและเทลงในกรวย แล้วก็บีบโกโก้ลงในเฟรมที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยอัลมอนด์ ลูกเกดตามความชอบได้เลย  ตกแต่งหน้าตาช็อกโกแลตเรียบร้อยก็นำไปแช่เย็นประมาณ 5 นาที เราก็จะได้ช็อกโกแลตฝีมือตัวเองกลับบ้าน หากเพื่อน ๆ อยากมาทำกิจกรรมสามารถติดต่อจองล่วงหน้าได้ค่ะ.กิจกรรมใช้เวลา 45 นาที ราคาคนละ 350 บาท ที่ตั้ง : 339 หมู่ 8 ตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่านเปิดทุกวัน เวลา 10.00 – 18.00 น.โทร. 063 791 1619พิกัด : https://goo.gl/maps/nB649qmGhBx วันที่ 2 โรงเรียนชาวนาที่นี่เปิดเป็นฟาร์มสเตย์ ตั้งอยู่กลางทุ่งนาบริเวณบ้านนาคำ ที่นี่เน้นวิถีธรรมชาติและได้สัมผัสวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา.นอกจากเป็นที่พักแล้ว โรงเรียนชาวนาก็ยังมีกิจกรรมให้ทำด้วยค่ะ ขึ้นอยู่กับฤดูกาล แต่บรรยากาศโดยรอบ โรงเรียนชาวนาเต็มไปด้วยทุ่งนา ถ้าไปในช่วงฤดูดำนา เพื่อน ๆ ก็จะได้เรียนดำนา หรือหากไปในช่วงที่กำลังรอการเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อน ๆ ก็สามารถได้เกี่ยวกันด้วยนะ สำหรับกิจกรรมต้องติดต่อล่วงหน้าไว้ด้วยนะคะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าพักก็สามารถแวะมาถ่ายรูปกับวิวทุ่งนา โอบล้อมด้วยภูเขา สูดอากาศบริสุทธิ์กันให้เต็มปอด.ที่ตั้ง : โรงเรียนชาวนา 225 หมู่ 1 บ้านนาคำ ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว จังหวัดน่านที่พักราคา 600 – 4,000 บาท/หลัง (รวมอาหารเช้า)โทร. 089 999 7737พิกัด : https://goo.gl/maps/XN7gnfSfVZP2 วังศิลาแลง สำหรับใครที่มีโอกาสไปอำเภอปัว ก็อย่าลืมแวะมาชมความสวยงามของ วังศิลาแลง หรือเรียกกันว่าแกรนด์แคนยอนเมืองปัว.ที่นี่มีลักษณะเป็นซอกหินผาที่เกิดจากการกัดเซาะของลำน้ำกูนที่ไหลผ่านมาเป็นเวลานาน ประกอบด้วยวังน้ำและโตรกผาเป็นช่วง ๆ โดยมีวังน้ำประมาณ 7 วัง รวมระยะทางกว่า 400 เมตร การเดินทางเข้าไปสามารถเดินเท้าเข้าไปจากฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำลงไปได้เลย ประมาณ 15 นาทีก็ถึง แต่ระหว่างทางเดินต้องระมัดระวังกันด้วยนะ บางจุดจะค่อนข้างชันและแคบ.ไม่น่าเชื่อว่าซอกหินผาที่ดูธรรมดา แต่ความจริงนั้น เราจะได้พบกับธรรมชาติอันงดงามที่ซ่อนตัวอยู่อย่างลึกลับแบบนี้.ที่ตั้ง : บ้านหัวน้ำ หมู่ 5 ตำบลศิลาแลง อำเภอปัว จังหวัดน่าน (ติดกับฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ)พิกัด : https://goo.gl/maps/EpwqkebJsm62  วัดภูเก็ต วัดภูเก็ต ที่ไม่ใช่จังหวัดภูเก็ต แต่แท้จริงแล้วอยู่จังหวัดน่าน แค่ชื่อก็ถือว่าเป็นจุดน่าสนใจ ชื่อวัดมาจากการเรียกชื่อตามหมู่บ้านที่ชื่อว่า “หมู่บ้านเก็ต” และเนื่องจากเป็นวัดตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งทางเหนือ เรียกว่า “ดอย” หรือ “ภู” จึงมีชื่อว่า “วัดภูเก็ต” หมายถึง วัดบ้านเก็ตที่อยู่บนภู หรือ ดอย ไฮไลท์ของวัดนี้จะมีระเบียงชมวิวด้านหลังวัด ซึ่งจะติดกับทุ่งนาเขียวขจี โอบล้อมด้วยภูเขาของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา สำหรับช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ทุ่งนาจะออกรวงสวยงามด้วยนะ.ที่ตั้ง : บ้านเก็ต หมู่ 2 ตำบลวรนคร อำเภอปัว จังหวัดน่านโทร. 084 046 9745 (เจ้าอาวาส)พิกัด : https://goo.gl/maps/WSPrL4bUdgT2

ปัว 2 วัน 1 คืน : ชิมโกโก้ ชมธรรมชาติ อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top