สถานที่ท่องเที่ยว

สถานที่สักการะองค์พญานาคในภาคอีสาน

สถานที่สักการะองค์พญานาคในภาคอีสาน.ความเชื่อเรื่องพญานาคอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน สังเกตได้จากสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งที่สร้างรูปปั้นพญานาคขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล และเนื่องจากเทศกาลออกพรรษาและงานบั้งไฟพญานาคเพิ่งผ่านพ้นไป แอดจึงอยากชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ที่เกี่ยวข้องกับพญานาค เผื่อใครศรัทธาในองค์พญานาค ก็สามารถไปกราบไหว้ขอพรกันได้ค่ะ วิหารเทพวิทยาคม จ.นครราชสีมา ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านไร่ วิหารแห่งนี้เป็นอุทยานธรรมกลางบึงน้ำขนาดใหญ่ ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เป็นมหาวิหารแห่งพระไตรปิฎก และเป็นสถานที่รวบรวมพุทธประวัติ พระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิหารแห่งนี้จึงเป็นสถานที่แห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่นำเอาพระไตรปิฎกมาแสดงและให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป.วิหารเทพวิทยาคมประดับด้วยเซรามิกโมเสกชิ้นเล็กๆ กว่า 20 ล้านชิ้น บริเวณทางเข้าจะมีสะพานพญานาคทอดยาวไปสู่ตัววิหาร สะพานแห่งนี้เป็นสะพานแห่งศรัทธา เดินข้ามผ่านโลกมนุษย์สู่โลกแห่งธรรม.ภายในวิหารมี 5 ชั้น ได้แก่– ชั้นใต้ดิน เป็นเรื่องของความเชื่อ โชคลาภ จัดแสดง 7 สิ่งนำโชคในโลกใต้บาดาล คือมังกร พญานาค ปลาอานนท์ จระเข้ พญาเต่า ปลาม้าน้ำ และ ปะการังแดง– ชั้นที่ 1 จัดแสดงภาพพุทธประวัติ เเละ ต้นโพธิอธิฐาน– ชั้นที่ 2 จัดแสดงเรื่องราวของพระวินัยปิฎกเเละวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขรรธ์ปรินิพพาน– ชั้นที่ 3 เรื่องราวของพระธรรมปิฎก และพระธรรมขันธ์– ชั้นดาดฟ้า ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เเละรูปหล่อปิดทองของหลวงพ่อคูณ.ที่ตั้ง : วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมาพิกัด : https://goo.gl/maps/QyHwWtvTrdyRbBDP7  พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช จังหวัดมุกดาหาร “พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช” ตั้งอยู่บริเวณลานหินของวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นผู้ปกปักรักษา “พระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์” และสร้างขึ้นเนื่องในวาระเฉลิมฉลองการก่อตั้งวัดครบ 100 ปี ออกแบบโดยนายประพัฒน์ มะนิสสา หรืออาจารย์ปื้ด ช่างปั้นชาวมุกดาหาร ที่มีความศรัทธาในองค์พญานาคเป็นอย่างมาก พญาศรีมุกดาฯ มีลำตัวยาว 122 เมตร สูงประมาณ 20 เมตร มีรูปลักษณ์น่าเกรงขาม ชูคอหันไปทางแม่น้ำโขง ลำตัวขดไปมาอย่างพลิ้วไหว มีการลงสีไล่ระดับอย่างสวยงาม ทำให้ดูมีมิติและมีความสมจริง ถือเป็นรูปปั้นพญานาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มาที่นี่ต้องอย่าลืมสักการะขอพรองค์พญานาค ด้วยการตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเดินลอดท้องพญานาคทั้ง 7 ช่อง ที่มีความหมายมงคลต่างๆ ดังนี้ลองช่องที่ 1 เพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตาลอดช่องที่ 2 เพื่อปกปักรักษาจากภัยพาลลอดช่องที่ 3 เพื่ออยู่ทิพยวิมานแดนสุขีลอดช่องที่ 4 เพื่อความโชคดี มั่งมีปลอดภัยลอดช่องที่ 5 เพื่อมีพลานามัย ไร้โรคาลอดช่องที่ 6 เพื่อหน้าที่การงาน และชีวิตรุ่งเรืองลอดช่องที่ 7 เพื่อเงินเนืองนอง ทองไหลหลั่ง จากนั้นนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา และนำผ้าแดงที่เขียนชื่อตัวเองไปผูกไว้ที่ต้นไม้รอบๆ พญานาค เพื่อความเป็นสิริมงคล.ที่ตั้ง : หมู่ที่ 5 ต.ศรีบุญเรือง อ.เมืองมุกดาหาร จ. มุกดาหารพิกัด : https://goo.gl/maps/Whs3qfxPTyC2 พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช จังหวัดมุกดาหาร เป็นประติมากรรมพญานาคสีขาว ตรงเกล็ดประดับด้วยหินอ่อน สูง 11 เมตร ยาว 51 เมตร ถือเป็นแลนด์มาร์กที่สวยงามและโดดเด่นของแก่งกะเบา นักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้ขอพร ถวายขันหมากเบ็ง และลอดใต้ท้องพญานาค เพื่อความเป็นสิริมงคลในเรื่องความสำเร็จ ร่ำรวย และสุขภาพแข็งแรง.ที่ตั้ง : ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหารพิกัด : https://goo.gl/maps/5BTxQdYY3oFyjFZc7 ศาลพ่อปู่พญาอนันตนาคราช จังหวัดมุกดาหาร ศาลพ่อปู่พญาอนันตนาคราช อยู่บริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ชาวบ้านเชื่อกันว่า ณ เสาต้นที่ 2 ของสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งนี้ เป็น “ถ้ำพญานาค” ซึ่งเป็นจุดที่พญานาคจะขึ้นมาให้พรและปกปักรักษาลูกหลาน รวมทั้งผู้ที่มาสักการะ นอกจากนี้ในวันที่ 8-9 มิถุนายนของทุกปี ก็จะมีพิธีบวงสรวงพ่อปู่พญาอนันตนาคราชอีกด้วย.ที่ตั้ง : สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ต.บางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหารพิกัด : https://goo.gl/maps/BTv1W6jjVGdNMKeL9 องค์พญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่บริเวณเขื่อนหน้าเมืองริมแม่น้ำโขง ลักษณะเป็นรูปปั้นพญานาคขดหาง มี 7 เศียร พ่นน้ำได้ หล่อด้วยทองเหลือง มีความสูงจากฐาน 16.29 เมตร ใต้ฐานขององค์พญานาคมีห้องจัดแสดงประวัติการก่อสร้างองค์พญาศรีสัตตนาคราชอยู่ด้วย ทุกวันตอนพลบค่ำจะมีการเปิดไฟประดับรอบองค์พญาศรีสัตตนาคราช และบริเวณใกล้กันมีลานพนมนาคา เป็นลานคอนกรีตกว้างเหมาะสำหรับชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขง และชมความสวยงามของทิวเขาฝั่งเมืองท่าแขก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว.ที่ตั้ง : ริมแม่น้ำโขง บริเวณจุดตัดระหว่างถนนสุนทรวิจิตรกับถนนนิตโย อ.เมือง จ.นครพนมพิกัด : https://goo.gl/maps/TuU3NM75j5UXTaAZ8 ป่าคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี คำชะโนด หรือวังนาคินทร์คำชะโนด มีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ เต็มไปด้วยต้นชะโนด ตามตำนานพื้นบ้านเล่าว่า สถานที่แห่งนี้เป็นประตูสู่เมืองบาดาล ถิ่นที่อยู่อาศัยของพญานาค ซึ่งปกครองโดยองค์ปู่พญาศรีสุทโธนาคราช และองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี ภายในเกาะคำชะโนดมีศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทีไม่เคยแห้ง เชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำที่สามารถทะลุไปถึงแม่น้ำโขงได้ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางให้เดินชมความงามของป่าคำชะโนดอีกด้วย ที่ตั้ง : ต.บ้านม่วง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานีพิกัด : https://goo.gl/maps/NduSibPHggKgtcXa8 เปิดทุกวัน เวลา 06.00 – 18.00 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 18 ตุลาคม 2562

สถานที่สักการะองค์พญานาคในภาคอีสาน อ่านเพิ่มเติม

ชม 2 ภู…ดูน้ำตก จังหวัดบึงกาฬ

บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วจังหวัด หากเพื่อนๆ ยังไม่เคยไป แอดมีแหล่งท่องเที่ยว 3 แห่งมานำเสนอ.ภูสิงห์ เขตป่าสงวนที่มีหินสวยๆ ซ่อนอยู่ รอให้ไปค้นหาภูทอก บันไดไม้แห่งศรัทธาสู่ภูเขาแห่งธรรมน้ำตกถ้ำพระ สไลเดอร์ธรรมชาติ ถ่ายภาพยังไงก็สวย.อยากรู้เป็นยังไง ตามแอดไปดูกันเลย ที่แรกที่แอดจะแนะนำก็คือ “ภูสิงห์” สถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่ เป็นภูเขาหินทรายสีชมพูล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีเนื้อที่ 12,000 ไร่.ที่ตั้ง : ต.นาสิงห์ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน 05.00 – 17.00 น. (ขาลงเที่ยวสุดท้ายไม่เกิน 18.30 น.)ติดต่อเจ้าหน้าที่ สอบถามข้อมูล หรือบริการนำเที่ยว โทร. 080 196 1631ททท. สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 สิ่งอำนวยความสะดวก – มีจุดกางเต็นท์อยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รองรับได้ประมาณ 1,000 หลัง หากใครไม่ได้นำอุปกรณ์กางเต็นท์มาเช่าได้ที่นี่เลย สอบถามราคาได้ที่เจ้าหน้าที่ ส่วนค่าธรรมเนียมในการกางเต้นท์ แล้วแต่เพื่อนๆ จะบริจาคกันตามใจ**ไม่อนุญาตให้กางเต็นท์ด้านบนภูสิงห์**– มีร้านอาหารตามสั่ง ขนม และเครื่องดื่มอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว– สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่ารถโฟร์วีลขึ้นไปเที่ยวตามจุดต่างๆได้ ค่าบริการคันละ 500 บาท นั่งได้ 10 คน **นักท่องเที่ยวสามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปได้ แต่แอดแนะนำให้ใช้บริการของภูสิงห์จะดีกว่า เนื่องจากทางค่อนข้างซับซ้อน** ไฮไลท์แรกของภูสิงห์ที่แอดจะแนะนำ ได้แก่ “ลานธรรมภูสิงห์” ลานกว้างขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปหลวงพ่อพระสิงห์ประดิษฐานอยู่ หากเพื่อนๆ สังเกตดู จะเห็นว่าหินทรายด้านหลังพระพุทธรูปนั้นดูคล้ายกับสิงโตหมอบ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ภูสิงห์” นั่นเอง ที่นี่เป็นสถานที่ที่พระสงฆ์และฆราวาสใช้จัดกิจกรรมทางศาสนาและสวดมนต์ภาวนาเป็นประจำทุกปี จุดต่อมาคือ “หินสามวาฬ” แลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องไปถ่ายรูปสวยๆ กัน มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายวาฬ 3 ตัว พ่อ แม่ ลูก แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีเขียว โดยปกติเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ขึ้นเฉพาะหินวาฬพ่อและแม่เท่านั้น เนื่องจากหินวาฬลูกมีลักษณะเป็นสันเขาแหลม อาจทำให้เกิดอันตรายได้ แอดไปแล้วได้ภาพสวยๆมาเยอะเลย เพื่อนๆ คนไหนไปมาแล้ว เอาภาพมาอวดแอดได้นะ จากบนนี้เราจะมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลถึงแม่น้ำโขงและเมืองปากกระดิ่ง ประเทศลาวเลย ส่วนพื้นที่สีเขียวๆ ด้านล่างนี้คือสวนยางพารา ซึ่งบึงกาฬถือเป็นจังหวัดที่ปลูกต้นยางมากที่สุดในภาคอีสานเลยทีเดียว มาต่อกันที่ “หินหัวช้าง” เป็นโขดหินขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายหัวช้าง พอขึ้นมาแล้วเหมือนเรานั่งอยู่ตรงหัวช้างเลย “หินช้าง” อยู่ตรงข้ามกับหินหัวช้าง มีลักษณะคล้ายช้างยืนเต็มตัว ซึ่งหินช้างนี้เราไม่สามารถขึ้นไปได้นะ ดูได้อย่างเดียว “ส้างร้อยบ่อ” (“ส้าง” เป็นภาษาถิ่น แปลว่า “บ่อ”) จุดชมวิวริมผาที่มีลักษณะเป็นหลุมขนาดต่างๆ กัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาและการกัดกร่อนของลมฝน ในฤดูฝนในส้างจะมีน้ำขังด้วย จากจุดนี้สามารถมองเห็นหนองกุดทิงได้ และนอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกด้วย สถานที่ต่อมาที่เราจะไปกันก็คือ “วัดภูทอก” สถานปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบที่มีความงดงามทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร โดยมีทางเดินเป็นสะพานไม้เวียนรอบเขาจนถึงชั้นบนสุด ภูทอกน้อย เป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร หรือ วัดภูทอก ดังนั้นเมื่อมาที่นี่ เพื่อนๆ ก็ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยและปฏิบัติตามกฎของวัดกันด้วยนะ ที่ตั้ง : บ้านคำแคน ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬเปิดทุกวัน 08.00 – 18.00 น.ททท.สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 จุดท้าทายของภูทอก คือการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาที่สูงชัน โดยชั้นที่ 1-3 จะเป็นบันไดไม้ขึ้นไป เมื่อมาถึงสุดทางของชั้นที่ 3 จะมีบันไดแยกเป็น 2 ทาง ทางขวามือระยะทางสั้นกว่าแต่ทางค่อนข้างชัน ส่วนทางซ้ายนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้ แต่ทางขึ้นไปยังชั้น 5 เป็นบันไดที่ค่อนข้างชัน และต้องเดินผ่านซอกหินแคบๆ ขึ้นไป เมื่อถึงชั้น 5 เราจะพบกับ “ถ้ำวิหารพระ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสังขารของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้บุกเบิกสถานที่แห่งนี้ จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักที่ร่มรื่นและมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่น้อยเลย วิวของภูทอก ก็จะเป็นอะไรประมาณนี้ จุดท้าทายของภูทอก คือการปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาที่สูงชัน โดยชั้นที่ 1-3 จะเป็นบันไดไม้ขึ้นไป เมื่อมาถึงสุดทางของชั้นที่ 3 จะมีบันไดแยกเป็น 2 ทาง ทางขวามือระยะทางสั้นกว่าแต่ทางค่อนข้างชัน ส่วนทางซ้ายนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วจะมีทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้ แต่ทางขึ้นไปยังชั้น 5 เป็นบันไดที่ค่อนข้างชัน และต้องเดินผ่านซอกหินแคบๆ ขึ้นไป เมื่อถึงชั้น 5 เราจะพบกับ “ถ้ำวิหารพระ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและสังขารของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้บุกเบิกสถานที่แห่งนี้ จุดนี้ถือเป็นจุดแวะพักที่ร่มรื่นและมีทัศนียภาพที่สวยงามไม่น้อยเลย จากพุทธวิหารจะมองเห็นภูทอกใหญ่ได้อย่างชัดเจน และเมื่อเดินกลับไปตามทางเดิม เราก็จะเจอทางเดินไม้เวียนรอบเขาซึ่งนำทางไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 6 (จริงๆ มีชั้นที่ 7 ด้วย แต่สภาพเป็นป่าที่ค่อนข้างรก จึงไม่แนะนำให้ขึ้นไป) การปีนป่ายขึ้นมายังภูทอกและเดินบนทางเดินไม้รอบหน้าผานั้น นอกจากจะทำให้ได้เสียเหงื่อแล้ว ยังต้องใช้ความระมัดระวังและมีสติในทุกย่างก้าวอีกด้วย สำหรับแอดแล้วถือว่าเป็นเหมือนการฝึกจิตอย่างหนึ่งเลยนะ และที่สำคัญแอดยังได้ความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่สามารถพิชิตภูทอกได้สำเร็จแถมมาด้วย บนชั้นที่ 6 นอกจากการเดินชมวิวรอบหน้าผาบนทางเดินไม้แล้ว อีกจุดที่แอดว่าน่าสนใจมากๆ ก็คือ “ถ้ำพญานาค” ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นช่องเล็กๆ อยู่ด้านหลังพระพุทธรูปนาคปรก ว่ากันว่าคือปากทางเข้าเมืองพญานาค และเมื่อแหงนมองขึ้นไปบนเพดานถ้ำ ก็จะเห็นหินสีเขียวติดอยู่ มองแล้วคล้ายกับดวงตาของพญานาคเลย ข้อควรปฏิบัติก่อนขึ้นเขา เนื่องจากภูทอกเป็นวัดและสถานที่ปฏิบัติธรรม ผู้มาเยี่ยมชมจึงควรปฏิบัติตามกฎที่ทางวัดตั้งไว้อย่างเคร่งครัด ได้แก่ – ไม่ส่งเสียงดังรบกวนพระสงฆ์ที่กำลังปฏิบัติธรรม– ห้ามขีดเขียนข้อความลงบนหิน– แต่งกายสุภาพ (ห้ามใส่เสื้อแขนกุด เอวลอย กระโปรงสั้น กางเกงขาสั้น ฯลฯ)– ห้ามนำอาหารขึ้นไปรับประทานด้านบนโดยเด็ดขาด (เพราะอาจมีลิงเข้ามาแย่งอาหาร) ภูทอกจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้น ระหว่างวันที่ 10

ชม 2 ภู…ดูน้ำตก จังหวัดบึงกาฬ อ่านเพิ่มเติม

จุดชมวิวป้อมปี่

ในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ หลายคนคงนึกถึงอากาศหนาวเย็นและสายลมบางๆ ที่พัดผ่านมาสัมผัสผิวกาย รวมทั้งไอหมอกที่บ่งบอกว่าตอนนี้กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว…..และในช่วงที่อากาศเย็นสบายแบบนี้ การได้ไปกางเต็นท์นอนดูดาว รอชมพระอาทิตย์ตกนั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่พิเศษไม่น้อยเลยทีเดียว.หากใครยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แอดขอแนะนำที่นี่เลย “จุดชมวิวป้อมปี่” เพราะที่นี่มีทุกสิ่งที่เราต้องการ.จุดชมวิวป้อมปี่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีhttps://goo.gl/maps/cZEY9HPtHaCU7VJy9 . เกร็ดความรู้ : “ป้อมปี่” เพี้ยนมาจากคำว่า “เปอปี่” ซึ่งเป็นภาษากระเหรี่ยง แปลว่า “ต้นอ้อ” “จุดชมวิวป้อมปี่” ตั้งอยู่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม ซึ่งเป็นสถานที่ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาที่เขียวขจีและผืนน้ำอันนิ่งสงบ บอกได้เลยว่าที่แห่งนี้นั้นเหมาะแก่การรับลมเย็นๆ และพักผ่อนหย่อนใจสุดๆ ค่าเข้าชม– ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท– ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท.ค่าธรรมเนียมยานพาหนะ– รถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน– รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน.ค่าที่พัก– เต็นท์ขนาดเล็กนอนได้ 2-3 คน ราคา 225 บาท/คืน– หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่ากางเต็นท์ 30 บาท/คืน.ปล.ที่นี่มีห้องน้ำรวมไว้ให้บริการ ส่วนไฟฟ้าเพื่อนๆ สามารถใช้ได้ที่ศูนย์อำนวยการค่ะ นอกจากเราจะได้นอนกางเต็นท์พร้อมชมธรรมชาติที่สวยงามแล้ว การทำอาหารด้วยตนเองแอดบอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ เพราะเราจะได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร อีกทั้งยังได้เรียนรู้การพึ่งพาตนเองอีกด้วย.หากใครที่ไม่ได้เตรียมเตาปิ้งย่างมาด้วย สามารถขอเช่าได้ที่ศูนย์อำนวยการ ราคาชุดละ 100 บาทค่ะ ทำอาหารเสร็จแล้ว เราก็มารอชมพระอาทิตย์ตกกันดีกว่าค่ะ ซึ่งต้องบอกเลยว่าจุดชมวิวป้อมปี่นั้น เป็นสถานที่ที่เราสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามอีกจุดหนึ่งของกาญจนบุรีเลยทีเดียว.ที่นี่เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ คล้อยต่ำลงและหายลับไป เหมือนกับว่าพระอาทิตย์กำลังตกน้ำยังไงยังงั้นเลยค่ะ นอกจากบรรยากาศยามเย็นจะสวยงามแล้ว บรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่ก็ฟินไม่แพ้ที่ไหนๆ เลยค่ะ เพราะเราจะได้ชมดวงดาวนับร้อยนับพันที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งหากโชคดียังมีโอกาสได้ชมทางช้างเผือกอีกด้วย.ปล.แนะนำว่าอย่านอนดึกนะคะ เพราะหากตื่นสายเพื่อนๆ จะอดเห็นไอน้ำที่ดูคล้ายหมอก ที่ลอยอยู่เหนือบริเวณอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นความงดงามอีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดให้หลายคนเดินทางมายังจุดชมวิวป้อมปี่แห่งนี้นั่นเองค่ะ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 16 ตุลาคม 2562

จุดชมวิวป้อมปี่ อ่านเพิ่มเติม

ป่าสนวัดจันทร์ Go Green

ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ไปสัมผัสบรรยากาศอันเขียวขจีและชุ่มฉ่ำที่โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ จังหวัดเชียงใหม่กันดีกว่า ที่นี่บรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนกายและใจเป็นที่สุด.โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)  ที่ตั้ง : ต.บ้านจันทร์ กม.40 หมู่บ้านห้วยอ้อ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่พิกัด : https://goo.gl/maps/Mgf8gxcX67f9DWGMAเปิดทำการทุกวัน : 08.00 – 22.00 น.เบอร์โทรศัพท์จองที่พัก : 053 249 349เบอร์โทรศัพท์เจ้าหน้าที่ : 086 181 3388Facebook : FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป..การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง 1. จากขนส่งอาเขต นั่งรถสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน รถออกเวลา 07.00 น. / 09.00 น. / 10.30 น. / 12.30 น. / 14.30 น. และ 16.00 น. (สำหรับค่าโดยสารสามารถสอบถามได้ที่ บ.เปรมประชา โทร.053 304 748) จากนั้นนั่งรถสองแถวบริเวณตลาดแสงทอง อ.ปาย ไปที่บ้านวัดจันทร์ รถมีวันละ 1 เที่ยว เวลา 13.00 น 2. จาก บขส.(ช้างเผือก) นั่งรถสองแถวป้ายบ้านวัดจันทร์ (รถสีเหลือง) รถออกเวลา 09.00 น. และ 11.00 น. ราคาคนละ 150 บาท ถ้าให้ส่งที่ อ.อ.ป. คิดเพิ่มคนละ 40 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง  โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นป่าสนที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่อำเภอปาย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอสะเมิง และบางส่วนของอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่กว่า 150,000 ไร่.สามารถเที่ยวได้ทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะที่สุดคือ เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ถ้ามาเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ จะได้พบกับความเขียวขจีและสดชื่นในแบบกรีนซีซั่น แต่ถ้ามาช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์จะเป็นช่วงใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีสวยงาม เหมาะสำหรับถ่ายภาพมากๆ เลยล่ะ ที่นี่มีบ้านพักกว่า 30 หลัง และมีหลายแบบ พักได้ตั้งแต่ 2 – 10 คน ราคาหลังละ 800 – 2,000 บาท.ค่าบริการเสริม– ค่าเช่าที่นอนเสริม (ราคา 200 บาท)– ค่าเช่าจักรยาน (ราคา 100 บาท/วัน/คัน)– ค่าอาหารเช้า (ราคา 100 บาท/คน)– ค่าอาหารกลางวัน (ราคา 120 บาท/คน)– ค่าอาหารเย็น (ราคา 150 บาท/คน) มีบริการพื้นที่กางเต็นท์ สามารถรองรับได้ประมาณ 300 หลัง แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง โดยมีค่าธรรมเนียม 50 บาท/คน/คืน และต้องนำอาหารมาเอง แต่ถ้าไม่ได้เตรียมมา ก็สามารถแจ้งทางศูนย์ฯ ให้เตรียมอาหารให้ได้ค่ะ ไฮไลท์ของโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์คงจะหนีไม่พ้นป่าสนที่สวยงาม และบรรยากาศชิลๆ ริมอ่างเก็บน้ำ ถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว จะได้เห็นวิวอ่างเก็บน้ำและหมอกสวยๆ แบบนี้ สะพานไม้ท่ามกลางป่าสนเป็นอีกจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาด ถ้าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ในตอนกลางคืน เพื่อนๆ จะได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้า บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เหมาะกับการพาแฟนไปนั่งดูดาว แต่คนโสดก็ไม่ต้องกลัวเหงา พาแก๊งเพื่อนมาถ่ายรูปดาว รับรองได้รูปสวยๆ กลับไปแน่นอน ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากชาวบ้าน โมบายที่ทำจากไม้แกะสลัก ผ้าทอของชาวปกาเกอะญอ โปสการ์ด เสื้อยืด ฯลฯ.ขอบคุณรูปภาพจาก เพจ FIO Watchan – ป่าสนวัดจันทร์ อ.อ.ป. อยู่กลางป่ากลางเขาก็ไม่ต้องกลัวหิว เพราะที่นี่เลี้ยงเราดีมากๆ อาหารแม้จะเป็นเมนูทั่วไป แต่รสชาติอร่อยจนต้องขอเติมรอบสอง กระซิบไว้หน่อยว่า ห้ามพลาดน้ำพริกกะปิ เพราะรสชาติจัดจ้าน เข้มขัน ทานกับผักสดและแคบหมูยิ่งอร่อย เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 ตุลาคม 2562

ป่าสนวัดจันทร์ Go Green อ่านเพิ่มเติม

We are Krabi กระบี่ดี๊ดี

We are Krabi กระบี่ดี๊ดี “กระบี่” จุดหมายปลายทางสุดฮิตที่ต้องไปสัมผัส ทุกคนเห็นด้วยมั้ยว่าเที่ยวกระบี่ครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่มีเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี มาทั้งทีก็ต้องไปปักหมุดเช็คอินให้ครบ .สำหรับวันนี้แอดจะมาแนะนำพอเป็นน้ำจิ้ม เพราะที่กระบี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายเลยล่ะ มาดูกันว่ามีที่ไหนบ้าง “วัดถ้ำเสือ อ่าวลูกธนู” ตั้งอยู่ที่บ้านถ้ำเสือ อำเภอเมือง วัดนี้เป็นวัดที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ ภายในวัดเป็นสำนักวิปัสสนา มีพระธาตุเจดีย์วัดถ้ำเสือ หลวงปู่ทวด และเจ้าแม่กวนอิมให้เราได้สักการะ นอกจากนี้ด้านบนยังมีจุดชมวิวที่สามารถชมได้แบบ 360 องศา ซึ่งจะต้องเดินขึ้นบันได 1,237 ขั้นขึ้นไป ที่มาของชื่อ “ถ้ำเสือ” สันนิษฐานกันว่ามาจากบริเวณด้านหน้าของทิวเขาอ่าวลูกธนู หรือที่เรียกว่า “เขาแก้ว” เคยมีเสือโคร่งขนาดใหญ่อาศัยอยู่ ซึ่งภายในถ้ำก็ยังปรากฎหินธรรมชาติเป็นรูปอุ้งเท้าเสืออยู่นั่นเอง.พิกัด : https://goo.gl/maps/dro624PocP9fJdxEA “วัดมหาธาตุวชิรมงคล” หรือ “วัดบางโทง” ตั้งอยู่ในอำเภออ่าวลึก วัดนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามนั่นคือ พระมหาธาตุเจดีย์ พระมหาธาตุเจดีย์มีรูปแบบคล้ายคลึงกับเจดีย์พุทธคยา สูง 95 เมตร มีสีเหลืองทองอร่าม โดดเด่นเห็นมาแต่ไกล โดยรอบเจดีย์มีการตกแต่งด้วยประติมากรรมต่างๆ คล้ายกับที่อินเดีย งดงามวิจิตรมาก ที่นี่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย ใครมีโอกาสมาเที่ยวกระบี่ก็ต้องห้ามพลาดวัดนี้เลยล่ะ เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.โทร. 075 656 014พิกัด : https://goo.gl/maps/HnqnzDVfccLeNQjQA “เขาขนาบน้ำ” อำเภอเมือง ที่นี่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ลักษณะเป็นเขาสองลูก สูงประมาณ 100 เมตร ตั้งขนาบแม่น้ำกระบี่ด้านหน้าตัวเมือง โดยรอบเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวจากท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 10-15 นาที ใกล้ๆ กับเขาขนาบน้ำยังมีชุมชนเกาะกลาง มีทั้งหอพิพิธภัณฑ์และศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้าน ซึ่งจัดแสดงเครื่องใช้สมัยโบราณ เช่น หัวเรือโทง ฯลฯ นอกจากนี้หากใครอยากสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน ก็สามารถเช่าเรือจากท่าเรือเจ้าฟ้าไปยังชุมชนเกาะกลางได้ ราคาประมาณ 300-400 บาท.พิกัด : https://g.page/khaokanabnam?share “ป่าพรุท่าปอม” หรือ “ท่าปอมคลองสองน้ำ” อำเภอเมือง เป็นลำธารที่มีน้ำจืดและน้ำเค็มไหลมาบรรจบกัน จึงได้ชื่อว่าคลองสองน้ำ ที่นี่เป็นป่าพรุ มีพันธุ์ไม้หลายชนิดทั้งป่าบกและป่าชายเลน มีปลาน้ำจืดและปลาน้ำกร่อยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ตลอดเส้นทางจะมีทางเดินไม้ระแนงให้เราได้ชมทัศนียภาพสองข้างทางและศึกษาธรรมชาติด้วย โดยมีป้ายบรรยายสื่อความหมายเป็นระยะ สำหรับคนที่อยากเล่นน้ำ ที่นี่เค้าอนุญาตให้เล่นได้แค่บางจุดเท่านั้น เพื่ออนุรักษ์สภาพคลองให้ยังคงความเป็นธรรมชาติค่ะ ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/T2NZn48WZ4B5GqnV6 “น้ำตกร้อนคลองท่อม” อำเภอคลองท่อม เป็นน้ำร้อนที่ซึมขึ้นมาจากผิวดิน น้ำไม่ร้อนมาก อุณหภูมิประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส โดยรอบมีต้นไม้ปกคลุมบรรยากาศร่มรื่นมากๆ น้ำตกร้อนคลองท่อมมีลักษณะคล้ายน้ำตกเล็กๆ ไหลลงมาเป็นชั้น นักท่องเที่ยวสามารถเล่นน้ำได้ด้วยนะ จากลานจอดรถต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 400 เมตร ก็จะถึงตัวน้ำตก ที่นี่มีห้องอาบน้ำ ห้องสุขา ร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการด้วย ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาทชาวต่างชาติ 90 บาท เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/eDShTYJG7SBgXfLY7 อีกหนึ่งไฮไลท์ห้ามพลาดของกระบี่ก็คือ “สระมรกต” นั่นเอง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อำเภอคลองท่อม ลักษณะเป็นสระน้ำใจกลางป่า น้ำใสเป็นสีเขียวมรกต บริเวณโดยรอบเป็นป่าร่มรื่น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งชมนกหาดูได้ยากอย่าง นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล และนกเงือกดำ เป็นต้น การเข้าไปยังสระมรกต สามารถเดินเท้าจากที่ทำการฯ เข้าไป มี 2 เส้นทาง คือ– เส้นทางแรก ระยะทาง 800 เมตร เป็นดินลูกรัง– เส้นทางสอง ระยะทาง 1400 เมตร เป็นทางเดินปูนซีเมนต์ สามารถเดินชมศึกษาธรรมชาติได้ ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท เปิดทุกวัน เวลา 08.30-17.30 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/MAcjwMksgZjqS7qJA มาภาคใต้จะไม่มีของขึ้นชื่อติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยคงไม่ได้ “ดาหลาบาติก” อำเภอเมือง ร้านจำหน่ายผ้าบาติกลวดลายโบราณที่ใครๆ ต่างต้องยกนิ้วให้ นักท่องเที่ยวสามารถไปเลือกชมเลือกซื้อกลับบ้านได้ นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นการสาธิตทำผ้าบาติกด้วยนะ แต่แนะนำให้ติดต่อล่วงหน้าค่ะ ไม่เพียงเท่านี้ ร้านผ้าบาติกในจังหวัดกระบี่ยังมีอีกมากมายให้เราไปชอปไปชม ของสวยๆ แอดบอกเลยว่าของมันต้องมี เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-17.00 น.(ปิดวันอาทิตย์)โทร. 086 682 8998พิกัด : https://goo.gl/maps/pdnefQm6z7eMbazh8 “ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามัน” อำเภอเมือง เป็นแหล่งเรียนรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของจังหวัดกระบี่และภาคใต้ฝั่งอันดามัน แบ่งเป็น 4 โซนหลักๆ ได้แก่ อาคารนิทรรศการแสดงงานหมุนเวียน– จัดแสดงผลงานของศิลปินทุกรุ่นและทั่วโลกตลอดทั้งปี โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป พิพิธภัณฑ์ลูกปัดอันดามัน (ANDAMAN BEADS MUSEUM)– จัดแสดงความรู้ด้านลูกปัดโบราณที่มีชื่อเสียงของจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย หอศิลป์อันดามัน– จัดแสดงผลงานศิลปะที่หลากหลาย โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง และศิลปินแห่งชาติ โรงเรียนต้นกล้าอันดามัน– โรงเรียนฝึกอบรม และจัดกิจกรรมต่างๆ สำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป สามารถเข้ามาอบรมเป็นคอร์สได้ฟรี ภายในมีลูกปัดหลากหลายชนิด หลากหลายรูปแบบให้เราได้ชมกันมากมาย

We are Krabi กระบี่ดี๊ดี อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ Life Community Museum Buengkan.ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดบึงกาฬ เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวเล็กๆ แต่มีแนวคิดสุดยิ่งใหญ่ “พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต” โดยคุณขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์ชื่อดังของเมืองไทย .ด้วยความที่คุณขาบเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะและการออกแบบ จึงได้นำเอาศิลปะร่วมสมัยเข้ามาผสมผสานเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้แก่ชุมชน ทั้งยังให้คำแนะนำในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้จากการขายสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร นำไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้ในอนาคต.บรรยากาศภายในชุมชนจะเป็นยังไง ตามแอดมาดูกันเลย!! พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ ที่ตั้ง: ชุมชนบ้านขี้เหล็กใหญ่ ต.หนองพันทา อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬพิกัด: https://goo.gl/maps/nBxfdciSLnAPHjyt9เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.Facebook : พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จ.บึงกาฬโทร. 086 229 7626, 081 612 8853 กิจกรรมต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ– พักค้างคืนที่โฮมสเตย์ ราคา 300 บาท/คน (พักได้ 20 คน มีแอร์ทุกห้อง)– ท่องเที่ยวจังหวัดบึงกาฬแบบ One day trip ราคา 599 บาท/คน (รับตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป)– เช่าจักรยานปั่นชมภาพวาดพญานาคภายในชุมชน ราคา 20 บาท/คัน– เช่าชุดพื้นบ้านอีสานใส่เที่ยวเก๋ๆ (โสร่งสำหรับผู้ชาย และผ้าซิ่นสำหรับผู้หญิง) ราคา 100 บาท/คน– ชมศูนย์อาชีพชุมชนยั่งยืน ได้แก่ เครื่องจักสาน ลูกประคบสมุนไพร และยาหม่องกลิ่นตะไคร้หอม– นอกจากนี้ยังมีบริการให้เช่าสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งศึกษาดูงานด้วย เงื่อนไขการเข้าชม– จ่ายเงินก่อนเข้าชม (คนละ 50 บาท)– ไม่หยิบจับเคลื่อนย้ายสิ่งของ– ถ่ายภาพให้เต็มที่– สำรวมกายใจเมื่ออยู่ในห้องพระ  เมื่อเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เราจะเห็นภาพวาดพญานาคตามผนังบ้านหลายหลังตลอดสองข้างทาง เมื่อเข้าไปจนสุดทาง ก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัด บึงกาฬ ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทยอีสานหลังเก่าแก่กว่า 60 ปี ของคุณขาบ ที่ได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ บริเวณด้านข้างของตัวบ้านที่ต่อเติมออกมาเป็นลานอเนกประสงค์นั้น ก็มีผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านในชุมชนมาวางจำหน่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋ารูปทรงต่างๆ กระติ๊บข้าวเหนียว เสื้อผ้า ฯลฯ รวมทั้งยังมีเวทีให้ศิลปิน นักออกแบบ และนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ มาจัดแสดงผลงานอีกด้วย  หากเพื่อนๆ ลองสังเกตดูตามตัวบ้าน จะเห็นบันไดและประตูหน้าต่างทาด้วยสีเขียว “ตั้งแช” ซึ่งเป็นสีเขียวน้ำทะเลที่สบายตา สื่อความหมายถึงต้นไม้และธรรมชาติ เพิ่มสีสันให้บ้านหลังนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น  ชั้นบนของบ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดับอยู่ทุกห้อง เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีมุมจัดแสดงเครื่องแต่งกายเวลาไปวัดของชาวอีสานในสมัยก่อนให้ชมด้วย โดยชาวบ้านนิยมสวมเสื้อขาว ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นไหมและผู้ชายนุ่งโสร่ง อีกด้านของตัวบ้าน มีห้องครัวพื้นบ้านแบบอีสาน ที่มีเครื่องครัวต่างๆ ที่เคยใช้งานจริงจัดแสดงไว้ให้ชมด้วย ที่สำคัญมีไหปลาร้าที่คุณขาบบอกให้แอดลองเปิดดมดูด้วยนะ ถ้าอยากรู้ว่ากลิ่นเป็นยังไง เพื่อนๆ ต้องไปลองดมเอง  พื้นที่ด้านนอกตรงข้ามบ้านเป็นลานวัฒนธรรมกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีแคร่ไม้ให้นั่งพัก ด้านบนมีโคมไฟสุ่มไก่สุดเก๋ไก๋ และยังมีภาพวาดสีสันสดใสบนกำแพงสังกะสีด้วย สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลย เพราะมีพร็อพของจริงให้ถ่ายได้อย่างเต็มที่ ทั้งสุ่มไก่ สุ่มปลา เชือกจูงควาย ใครไปแล้วได้ภาพสวยๆ มาโพสอวดแอดได้เลยนะ ใกล้ๆ กับบ้านมียุ้งข้าว ซึ่ง “Alex Face” ศิลปิน Graffiti Street Art ชื่อดังระดับโลก เพิ่งมาสร้างสรรค์ผลงานสุดเจ๋งเอาไว้!! คราวนี้มาในธีม “น้องมาร์ดี กับ พี่นาค” น่ารักน่าชังมาก ใครชอบน้องมาร์ดีต้องมาให้ได้นะ  หากเพื่อนๆ มีเวลา แอดแนะนำให้เดินชมภาพพญานาคที่กระจายอยู่รอบชุมชนให้ทั่วเลยนะ ภาพวาดมากมายเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ได้ปรับให้มีความทันสมัยแต่ก็ยังสะท้อนความเป็นชุมชนได้เป็นอย่างดี  ภาพพญานาคส่วนใหญ่ที่ปรากฏจะเกี่ยวข้องกับอาชีพและความชอบของเจ้าของบ้านหลังนั้นๆ เช่น พญานาคกับไอศกรีมซันเดย์ พญานาคตำส้มตำ พญานาคกำลังตัดผม พญานาคกับจักรยาน เป็นต้น ถ้าเดินกันเหนื่อยแล้ว สามารถมาแวะเติมพลังกันได้ที่พิพิธภัณฑ์ (แต่ต้องจองล่วงหน้านะ) ที่นี่เค้ามี “พาแลง” ที่นำเอาอาหารถิ่นมาจัดรวมกันเป็นชุด สำหรับแอดแล้วไม่มีคำไหนที่ไม่อร่อยเลย รสมือแม่ครัวนัวและวัตถุดิบดีมาก ที่สำคัญได้รับรางวัลเกียรติยศชนะเลิศของโลก Local Table จากเวที Gourmand Awards ประเทศฝรั่งเศสมาแล้วด้วย .หากเพื่อนๆ มาตรงกับวันเสาร์ สามารถมาเดินเล่นที่ตลาดชุมชนพอเพียง บริเวณลานวัฒนธรรมตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ มาอุดหนุนอาหารและพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านได้ด้วย การเดินทาง  เครื่องบิน: จากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี มีบริการรถเช่าทั้งรถยนต์และรถตู้   รถยนต์ : จากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 สู่จังหวัดหนองคาย จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ไปจนถึงแยกโพนพิสัย เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2267 ไปจนถึงแยกบ้านตูม เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงชนบทหมายเลข 4022 ขับไปตามทางเรื่อยๆ จะเห็นป้ายบอกทางไป อ.โซ่พิสัย ทางขวามือ ระยะทางรวม 146 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ – จาก อ.เมืองบึงกาฬ ใช้เส้นทางลัดผ่านวัดป่าดานวิเวก (ทางหลวงชนบทหมายเลข 3013) และทางหลวงหมายเลข 2095 ระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที – จากสถานีรถไฟหนองคาย นั่งรถขนส่งประจำจังหวัดไปยัง อ.โซ่พิสัย ระยะทาง 80 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 9 ตุลาคม 2562

พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ อ่านเพิ่มเติม

มืองแห่งขุนเขา-เชียงราย

“ลัดเลาะเมืองแห่งขุนเขา เที่ยวเชียงราย 2 วัน 1 คืน” วันที่ 1สวนแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวงดอยช้างมูบ อำเภอแม่สายหมู่บ้านผาฮี้ อำเภอแม่สายหมู่บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย.วันที่ 2ไร่ชาฉุยฟง อำเภอแม่จันวัดร่องเสือเต้น อำเภอเมืองวัดพระแก้วเชียงราย อำเภอเมือง จุดแรกที่เราจะไปก็คือ สวนแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร.“ดอยตุง” ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ฟ้าหลวง มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ในอดีตเคยเป็นพื้นที่แห้งแล้ง เนื่องจากชาวบ้านถางป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำกินและปลูกฝิ่น จนสมเด็จย่าทรงรับสั่งให้ปลูกป่า จึงทำให้ดอยตุงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง.สถานที่ท่องเที่ยวบนดอยตุง แบ่งเป็น 4 จุดหลักๆ คือ พระตำหนักดอยตุง หอแห่งแรงบันดาลใจ สวนแม่ฟ้าหลวง และสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง ดอยช้างมูบ ซึ่งคราวนี้ เราจะไปเที่ยวที่สวนแม่ฟ้าหลวงกัน สวนแม่ฟ้าหลวง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาดอยตุง มีพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ ภายในเป็นสวนดอกไม้นานาชนิด อาทิ ดอกซัลเวีย พิทูเนีย บีโกเนีย กุหลาบ ดอกลำโพง ไม้มงคลต่าง ๆ ไม้ยืนต้น และซุ้มไม้เลี้อยมากกว่า 70 ชนิด สำหรับคนที่ชื่นชอบกล้วยไม้ต้องถูกใจแน่ ๆ เพราะที่นี่จัดพื้นที่ให้กล้วยไม้รองเท้านารีเป็นพิเศษ เป็นรองเท้านารีพันธุ์หายากที่หน่วยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของทางสวนเพาะขึ้นเพื่อขยายพันธุ์ สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ หลายพันธุ์ได้รางวัลระดับประเทศมาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมใหม่น่าสนุกที่อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองสัมผัส นั่นคือ Doi Tung Tree Top Walk ทางเดินเรือนยอดไม้ ยาว 295 เมตร และสูงกว่า 30 เมตร ที่อยู่ท่ามกลางป่าอันแสนร่มรื่น แต่ไม่ต้องกลัว เพราะที่นี่มีอุปกรณ์เซฟตี้ให้นักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี.สวนแม่ฟ้าหลวงตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 06.30-18.00 น.โทร. 053 767 015-7 จากนั้นเราไปต่อกันที่ ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ ห่างจากสวนแม่ฟ้าหลวง ประมาณ 9 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ ตั้งอยู่บนแนวสันเขาแบ่งเขตแดนไทย-เมียนมา มีหน่วยกองกำลังป้องกันชายแดนไทย-เมียนมาประจำการอยู่ตลอด ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นี่จะเป็นผู้คอยดูแลและให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด ดอยช้างมูบแห่งนี้ เป็นจุดชมทิวทัศน์และพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในเชียงราย เพราะจากจุดนี้สามารถมองเห็นหมู่บ้านในฝั่งเมียนมาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทิวเขาน้อยใหญ่ ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ มีจุดกางเต็นท์ พร้อมห้องน้ำและห้องสุขาให้บริการ สามารถมาได้เลยโดยไม่ต้องโทรจองล่วงหน้า แต่ต้องนำเต็นท์และอุปกรณ์ต่างๆ มาเอง.นอกจากนี้ยังอนุญาตให้นำอุปกรณ์ขึ้นมาประกอบอาหารด้านบนได้ด้วย เพราะที่นี่ไม่มีร้านอาหาร มีเพียงร้านค้าสวัสดิการเล็กๆ เท่านั้น.เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ในเขตทหาร แอดแนะนำว่าให้พกบัตรประจำตัวประชาชนไปด้วย เพื่อสามารถแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้เมื่อมีการเรียกตรวจ.ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 06.00-18.00 น. ชมวิวเสร็จแล้วไปต่อกันที่ดอยผาฮี้ ห่างจากฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบประมาณ 2.5 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนี้ค่อนข้างคดเคี้ยว โปรดใช้ความระมัดระวังในการขับขี่.ดอยผาฮี้ หรือหมู่บ้านผาฮี้ตั้งอยู่ใน อำเภอแม่สาย ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย จนใน พ.ศ.2531 โครงการพัฒนาดอยตุงได้เข้ามาให้ความรู้และส่งเสริมให้ชาวบ้านหันมาปลูกกาแฟแทนการปลูกฝิ่น.ปัจจุบัน ดอยผาฮี้กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย สายพันธุ์ที่ปลูกกันที่นี่และมีชื่อเสียงไปทั่วโลกก็คือ กาแฟพันธุ์อาราบิก้า.ชาวบ้านบนดอยผาฮี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า มูเซอแดง และมูเซอดำ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกชาและกาแฟเป็นหลัก จุดที่ดีที่สุดในการชมวิวของที่นี่ก็คือ”ลานโล้ชิงช้า” ที่ตั้งชิงช้าเผ่าอาข่าประจำหมู่บ้านนี่เอง.ในช่วงปลายสิงหาคม – ต้นกันยายนของทุกปี ลานนี้จะกลายเป็นสถานที่จัดงานโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองต้อนรับฤดูเก็บเกี่ยวที่มาถึง ในงานหญิงชาวอาข่าจะแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าและเครื่องประดับต่างๆ อย่างสวยงาม ภายในหมู่บ้านเต็มไปด้วยเมล็ดกาแฟและใบชาที่ชาวบ้านนำมาตากแดดให้แห้งเพื่อรอนำไปคั่ว สมกับเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการปลูกกาแฟจริงๆ ร้านที่แอดไปใช้บริการก็คือ ร้านกาแฟผาฮี้ จุดเด่นอยู่ที่ร่มสีแดงนี่แหละ และหากใครเริ่มหิวทางร้านก็มีบริการอาหารตามสั่ง เพื่อน ๆ สามารถสั่งอาหารมาทานพร้อมกับนั่งชมวิวสวย ๆ แบบนี้ได้เลย.ในเมื่อดอยผาฮี้ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟ แน่นอนว่าจะต้องมีร้านกาแฟให้เราได้นั่งชิลและลองลิ้มชิมรสกาแฟแท้ๆ จากต้นกำเนิดแหล่งเพาะปลูก.กาแฟดอยผาฮี้ มีความโดดเด่นกว่ากาแฟที่อื่นตรงที่มีกลิ่นหอมติดหวานคล้ายผลไม้ แต่รสเข้มกลมกล่อม.ร้านกาแฟผาฮี้ มีโฮมสเตย์ให้บริการด้วยนะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 089 431 7479.หมู่บ้านผาฮี้ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จากนั้นไปต่อกันที่ ดอยผาหมี ห่างจากดอยผาฮี้ประมาณ 8 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนี้ค่อนข้างคดเคี้ยว โปรดใช้ความระมัดระวังในการขับขี่.ดอยผาหมี เป็นหมู่บ้านที่มีทิวทัศน์สวยงาม ล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด.แต่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ มายังหมู่บ้าน และมีพระราชดำรัสให้ชาวบ้านเปลี่ยนมาปลูกกาแฟแทนฝิ่น ดอยผาหมีจึงค่อย ๆ กลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟสำคัญของประเทศไทย ที่หมู่บ้านผาหมีมีร้านอาหารและร้านกาแฟหลายร้านทีเดียวที่เรียกได้ว่า เป็นร้านกาแฟหลักร้อยวิวหลักล้าน ถ้าไปเที่ยวที่นี่แล้วไม่ควรพลาด ถึงไม่สั่งอาหาร ไปนั่งพักจิบกาแฟสักครู่ก็รื่นรมย์แล้ว นอกจากนี้ ยังมีที่พักแบบโฮมสเตย์ให้บริการหลายที่ ราคาไม่แพง และเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกด้วย สามารถสอบถามข้อมูลรายชื่อที่พักได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงราย โทร. 053 717 433.หมู่บ้านผาหมีตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เริ่มวันที่ 2 กันที่ไร่ชาฉุยฟง อำเภอแม่จัน ห่างจากดอยผาหมีประมาณ 35 กิโลเมตร.ไร่ชาฉุยฟง เป็นไร่ชาชื่อดังของเชียงรายที่มีมานานกว่า 40 ปี ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เป็นแหล่งปลูกชาชั้นดี และยังเป็นผู้ผลิตชารายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายอีกด้วย ในไร่ชาฉุยฟง เราจะเห็นแปลงชาที่ปลูกเรียงรายไปตามไหล่เขาอย่างเป็นระเบียบ ระหว่างทางจะมีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้เราได้แวะจอดรถลงไปถ่ายรูปกันตลอดทาง ภายในไร่ชามีร้าน “ฉุยฟง ที คาเฟ่” ที่มีเมนูขนมและเครื่องดื่มให้ได้เลือกซื้อเลือกทานกัน สามารถนั่งชิลได้ทั้งโซนเปิดโล่ง (Open air) โซนห้องแอร์ และดาดฟ้า ซึ่งเราสามารถขึ้นไปชมวิวไร่ชาและถ่ายภาพสวยๆ ได้.ไร่ชาฉุยฟงตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายโทร. 053 771 563เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.30 น. จากไร่ชาฉุยฟง เดินทางต่อไปอีก 39 กิโลเมตร มุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อไปชมความสวยงามของวัดร่องเสือเต้นกันต่อ.วัดร่องเสือเต้น ตั้งอยู่ที่ ตำบลริมกก อำเภอเมือง

มืองแห่งขุนเขา-เชียงราย อ่านเพิ่มเติม

เส้นทางท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2 วัน 1 คืน

เส้นทางท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2 วัน 1 คืน วันที่ 1– วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จ.สุราษฎร์ธานี– พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี– ชุมชนบางใบไม้ จ.สุราษฎร์ธานี– ศาลหลักเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี วันที่ 2– อุทยานธรรมเขานาในหลวง จ.สุราษฎร์ธานี– ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด จ.สุราษฎร์ธานี– เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี วันที่ 1.เริ่มต้นทริปกันที่ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี.วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 ในช่วงที่อาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุด สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่.พระวิหารหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมธาตุไชยา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 แทนพระวิหารหลังเดิมที่ชำรุด ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ พระบรมธาตุไชยา.เป็นเจดีย์ทรงปราสาท สูง 24 เมตร ผังเป็นรูปกากบาท มีมุขทั้ง 4 ด้าน มุขด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีบันไดให้ขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปภายในได้ เหนือเรือนธาตุมีลักษณะเป็นหลังคาซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 3 ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยสถูปจำลองที่มุมและด้าน ถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอด ที่ฐานล่างมีเจดีย์บริวารทั้ง 4 มุม.สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุไชยาถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยที่สมบูรณ์ที่สุดที่เหลืออยู่ในประเทศไทย.เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระบรมธาตุไชยา จะเป็นสิริมงคลสูงสุด ช่วยให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแคล้วคลาดปราศจากอันตราย ระเบียงคด.พระบรมธาตุล้อมรอบด้วยระเบียงคด ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ รวม 180 องค์ พระอุโบสถ.พระอุโบสถตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระบรมธาตุ สร้างขึ้นแทนพระอุโบสถหลังเก่าเมื่อ พ.ศ.2498 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาทรายแดงปางมารวิชัย พระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์.พระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์ หรือที่เรียกกันว่า “พระพุทธรูป 3 พี่น้อง” ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระวิหารหลวง.สันนิษฐานว่าเดิมคงมีอาคารครอบ ซึ่งภายหลังชำรุดหักพังจึงถูกรื้อออกไป มีเรื่องเล่าว่าเคยมีการสร้างศาลาครอบถึง 3 ครั้ง แต่เกิดเหตุฟ้าผ่าศาลาทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้องค์พระจึงยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้งมาจนถึงปัจจุบัน.วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. แวะมาชมโบราณวัตถุกันต่อที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 2 อาคาร โดยอาคารหลังแรกจัดแสดงประติมากรรมจำลองจากโบราณวัตถุที่ค้นพบในอำเภอไชยา.ประติมากรรมจำลองที่สำคัญ ได้แก่ พระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร ที่เหลือเพียงพระวรกายท่อนบน ได้รับยกย่องว่าเป็นรูปเคารพที่งามที่สุดองค์หนึ่ง สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 14 ในศิลปะศรีวิชัย สันนิษฐานว่าคือพระโพธิ์สัตว์ปัทมปาณิ มีสองกร พระหัตถ์ขวาแสดงปางประทานพร ส่วนพระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัว ซึ่งองค์จริงจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ส่วนอาคารหลังที่สอง จัดแสดงโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ไปจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ รวมทั้งงานประณีตศิลป์ และเครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการวันพุธ-อาทิตย์ ตั้งแต่ 09.00-16.00 น. (หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)ค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาทสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 077 431 066 ที่ต่อมาเรามาล่องเรือชิล ๆ กันที่ ชุมชนบางใบไม้ ต.บางใบไม้ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี.“ชุมชนบางใบไม้” หรือ “ในบาง” เป็นชุมชนริมคลองที่ยังคงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย บริเวณนี้มีคลองเล็กคลองน้อยเชื่อมต่อกันนับร้อยสายก่อนไหลลงสู่แม่น้ำตาปี จึงได้ชื่อว่าเป็น “คลองร้อยสาย”.กิจกรรมที่ได้รับความนิยมของชุมชนแห่งนี้คือการล่องเรือชมความอุดมสมบูรณ์ของสองฝั่งคลอง ซึ่งเราจะเห็นต้นจากและต้นมะพร้าวเรียงรายสุดลูกหูลูกตา พี่คนขับเรือเล่าให้ฟังว่า ต้นจากที่เราเห็นนั้นสามารถนำไปทำประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใบจากนำไปห่อขนม หรือทำเป็นตับจาก ก้านจากนำไปทำเป็นไม้กวาด และลูกจากนำไปทำเป็นขนมหวาน เป็นต้น นอกจากนั้นยังมี อุโมงค์จาก ที่เกิดจากต้นจากสองฝั่งคลองโน้มเข้าหากัน เป็นจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมมาก ๆ เลยล่ะ.ชุมชนบางใบไม้ ต.บางใบไม้ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น.ค่าล่องเรือคนละ 100 บาท นั่งได้ 5 คน หรือเหมาเรือลำละ 500 บาท ใช้เวลาล่องประมาณ 2 ชั่วโมงกลุ่มท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บางใบไม้ โทร. 077 292 903 หรือ คุณจรัญญา โทร. 081 607 4935 หากต้องการล่องเรือเป็นหมู่คณะ แนะนำให้ติดต่อล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน แวะสักการะศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี.ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 รวมทั้งเพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวสุราษฎร์ธานี.ศาลหลักเมืองแห่งนี้ ได้รับการออกแบบโดยกรมศิลปากร ที่นำเอาพระบรมธาตุไชยามาเป็นต้นแบบ แต่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ลักษณะอาคารเป็นทรงจตุรมุข มีบันไดทางขึ้นสี่ด้าน หน้าบันประดับลายปูนปั้น และได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี มาประดับไว้ทั้ง 4 ด้านด้วย ภายในศาลหลักเมืองประดิษฐานเสาหลักเมืองซึ่งทำจากไม้ราชพฤกษ์ลงรักปิดทอง ส่วนยอดสลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือพรหมสี่หน้า ล้อมรอบด้วยเสาหลักเมืองจำลองซึ่งมีขนาดย่อมกว่าจำนวน 4 เสา โดยทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยมซึ่งประดับด้วยประติมากรรมรูปช้างอยู่ภายในซุ้ม ทุกวัน ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่างแวะเวียนมาสักการะบูชาศาลหลักเมืองกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเย็นถึงค่ำ จะมีการเปิดไฟส่องสว่างรอบศาลหลักเมืองด้วย สวยงามมากเลยล่ะ.ศาลหลักเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานีต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานีเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. วันที่ 2.วันนี้ต้องตื่นเช้าซักหน่อย เพราะเราจะไปชมทะเลหมอกกันที่ อุทยานธรรมเขานาในหลวง ต.ต้นยวน

เส้นทางท่องเที่ยว สุราษฎร์ธานี 2 วัน 1 คืน อ่านเพิ่มเติม

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง ตลาดน้ำคลองโพหัก อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2518

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง ตลาดน้ำคลองโพหัก อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2518.ตลาดน้ำคลองโพหักตั้งอยู่บริเวณปากคลองโพหัก อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ที่นี่เป็นตลาดน้ำเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 150 ปี ถือเป็นตลาดน้ำแห่งแรก ๆ ของจังหวัดราชบุรีเลยก็ว่าได้ ตลาดน้ำแห่งนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดน้ำหลักห้า ตลาดน้ำปากคลองบัวงาม และตลาดน้ำหน้าวัดปราสาทสิทธิ์ เป็นต้น.ในอดีตตลาดน้ำแห่งนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นศูนย์กลางในการค้าขายของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าจากหลายพื้นที่ ทั้งในอำเภอดำเนินสะดวก และอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร แต่เมื่อการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป โดยหันมาเดินทางทางบกมากขึ้น ทำให้การค้าขายทางเรือและชื่อของตลาดน้ำคลองโพหักค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา.อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำคลองโพหักได้รับการฟื้นฟูจากชาวบ้านและหน่วยงานในพื้นที่ ทำให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ “ตลาดน้ำหลักห้า” ซึ่งเราจะยังได้เห็นบ้านเรือนและร้านค้าแบบดั้งเดิม ถ้าใครอยากไปสัมผัสบรรยากาศย้อนยุค หาของอร่อย ๆ ทานหรือนั่งชิลจิบกาแฟริมคลอง อย่าลืมแวะไปเที่ยวที่ตลาดน้ำหลักห้านะคะ ตลาดเปิดทุกวัน เวลา 09.00-15.00 น. ค่ะ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 21 กันยายน 2563

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง ตลาดน้ำคลองโพหัก อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2518 อ่านเพิ่มเติม

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง เขาขนาบน้ำ จังหวัดกระบี่ ปี พ.ศ. 2507

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง เขาขนาบน้ำ จังหวัดกระบี่ ปี พ.ศ. 2507.เขาขนาบน้ำ ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีลักษณะเป็นเขาสองลูกที่ตั้งขนาบอยู่สองฝั่งของแม่น้ำกระบี่ จึงเป็นที่มาของชื่อ “เขาขนาบน้ำ”.ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่บริเวณหน้าเมืองกระบี่ เขาขนาบน้ำจึงเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของเมือง และกลายเป็นภาพจำของนักท่องเที่ยวรวมทั้งผู้ที่สัญจรผ่านไปมาจวบจนปัจจุบัน.เขาขนาบน้ำมีถ้ำที่สามารถขึ้นไปเที่ยวชมได้ โดยมีการทำบันไดปูนเอาไว้ให้เดินได้อย่างสะดวก ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม มีการจำลองวิถีชีวิตของมนุษย์โบราณ และภาพเขียนสีที่ผนังถ้ำ เนื่องจากมีหลักฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ รวมทั้งยังจำลองความเป็นอยู่ของทหารญี่ปุ่น เมื่อครั้งที่ใช้เขาขนาบน้ำแห่งนี้เป็นกองบัญชาการในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย.นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงโครงกระดูกของยักษ์ที่ถูกรัดด้วยโครงกระดูกพญานาคตามตำนานท้องถิ่น ผลงานศิลปะจากงาน “ไทยแลนด์เบียนนาเล่ กระบี่ 2018” เป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่ง.การเดินทางไปยังเขาขนาบน้ำ สามารถนั่งเรือจากท่าเรือเจ้าฟ้า (ลานปูดำ) ระยะทาง 5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และเนื่องจากบริเวณนี้เป็นน้ำกร่อย ระหว่างทางเราจึงสามารถชมความสมบูรณ์ของป่าชายเลนและสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลาตีน ลิงแสม เป็นต้น เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 2 ตุลาคม 2563

#ภาพเก่าเล่าเรื่อง เขาขนาบน้ำ จังหวัดกระบี่ ปี พ.ศ. 2507 อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top