สถานที่ท่องเที่ยว

สะพานทาชมภู จังหวัดลำพูน : สะพานรถไฟสวยต้องห้ามพลาด

สะพานทาชมภู หรือที่ชาวลำพูนเรียกว่า สะพานขาว ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดทาชมภู ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน อยู่ระหว่างสถานีรถไฟขุนตานกับสถานีรถไฟทาชมภู.เริ่มก่อสร้างสะพานแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2462 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2463 เพื่อใช้เป็นเส้นทางเดินรถไฟจากลำปางมายังเชียงใหม่ โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน หรือพระนามเดิม พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ทรงเป็นวิศวกรควบคุมงาน สะพานแห่งนี้มีความโดดเด่นกว่าสะพานรถไฟแห่งอื่น คือ เป็นสะพานโครงคอนกรีตเสริมเหล็ก มีลักษณะรูปทรงโค้ง ทาด้วยสีขาว รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ยาว 87.3 เมตร.ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกและท้าทายทางวิศวกรรมของคนไทยในสมัยนั้น เนื่องจากโดยปกติแล้วสะพานรถไฟจะสร้างด้วยเหล็กเพราะสามารถทนต่อแรงสะเทือนและอ่อนตัวได้ดีกว่า.แต่ช่วงเวลาที่สร้างสะพานแห่งนี้เป็นช่วงภาวะสงคราม ขาดแคลนเหล็ก ทำให้ไม่สามารถนำมาสร้างสะพานได้ แต่ด้วยการคำนวณและควบคุมงานที่ยอดเยี่ยมทำให้สะพานทาชมภูยังคงใช้งานได้อยู่จนถึงทุกวันนี้  หลาย ๆ คนคงแปลกใจว่า สะพานนี้มีชื่อว่า ทาชมภู คงจะคิดว่า สะพานแห่งนี้ทาด้วยสีชมพูแน่ ๆ.สาเหตุเพราะว่าสะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำแม่ทา ที่ไหลผ่านหมู่บ้านทาชมภู อำเภอแม่ทา จึงถูกเรียกว่า สะพานทาชมภู นั่นเอง  คำว่า “ทา” ในที่นี้ไม่ใช่คำกริยา แต่เป็นคำนามอันหมายถึง “แม่น้ำแม่ทา” ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านอำเภอแห่งนี้ หลายตำบลหลายหมู่บ้านที่นี่จึงมีคำว่าทาอยู่ในชื่อ เช่น ตำบลทาสบเส้า ตำบลทาสบชัย วัดทาทุ่งหลวง เป็นต้น  ปัจจุบันสะพานทาชมภู กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดในจังหวัดลำพูน ที่ไม่ว่าใครเดินทางไปท่องเที่ยวก็จะต้องแวะไปถ่ายรูปคู่กับสะพานรถไฟสีขาวแห่งนี้อยู่เสมอ.ที่ตั้ง ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน

สะพานทาชมภู จังหวัดลำพูน : สะพานรถไฟสวยต้องห้ามพลาด อ่านเพิ่มเติม

วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี

วัดป่าภูก้อน เกิดขึ้นจากพุทธบริษัท ที่ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของธรรมชาติและป่าต้นน้ำซึ่งกำลังถูกทำลาย จึงมีการทำเรื่องขออนุญาตกรมป่าไม้ในการใช้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาตินายูง-น้ำโสมขึ้นเพื่อสร้างวัด และฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมให้กลับมามีความสมบูรณ์ ทางวัดไม่ได้ดูแลเพียงในบริเวณวัด แต่ยังช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่อยู่รอบๆ วัดด้วย ต่อมา กรมป่าไม้ก็อนุญาตให้จัดตั้งพุทธอุทยานในนาม พุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน ด้วยเหตุนี้ วัดป่าภูก้อนจึงมีความสงบเย็น มีความวิเวก เหมาะกับการบำเพ็ญภาวนากรรมฐานที่สุด.ปัจจุบันวัดป่าภูก้อนถือเป็นวัดและสถานที่ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามระเบียบของกรมป่าไม้ โดยทางวัดได้ช่วยกรมป่าไม้ดูแลงานด้านป่าไม้ ในการป้องกันไฟป่า การบุกรุกป่า ตลอดจนการล่าสัตว์ผิดกฎหมายในพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ วัดป่าภูก้อน มีพระวิหารสวยงามโดดเด่นสะดุดตา เป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ มีประตูทางเข้าออก 3 ด้าน ผนังด้านในพระวิหาร มีภาพพุทธประวัติ และภาพทศชาติ มีการตกแต่งแบบภาพปั้นนูนต่ำ หล่อด้วยทองแดง ด้านบนของทุกภาพ จะมีการแกะสลักบทสวดอิติปิโสด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนสีขาว ภายในพระวิหาร เป็นที่ประดิษฐานของ “พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี” สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากประเทศอิตาลี มีความยาว 20 เมตร ใช้หินอ่อนถึง 43 ก้อน นำมาแกะสลักแล้วยกขึ้นเรียงบนฐาน มีพุทธลักษณะงดงาม สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบในปี พ.ศ. 2554 พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี จุดสำคัญอีกหนึ่งจุดคือ “พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์” หนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 มีการอัญเชิญตราสัญลักษณ์ และพระรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาประดิษฐานภายในองค์พระมหาเจดีย์ด้วย.ภายในองค์พระเจดีย์ ชั้นบนยอดจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนชั้นอื่นมีรูปหล่อเหมือนบูรพาจารย์ รวมถึงเครื่องอัฐบริขารและรูปภาพครูบาอาจารย์สายกรรมฐานจัดวาง นับเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวอีสานอีกหนึ่งแห่งเลยทีเดียว  วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี.ที่ตั้ง 99 หมู่ที่ 6 ตำบล บ้านก้อง อำเภอ นายูง อุดรธานี 41380สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารโครงการฯ 08 9111 9119, 08 6243 7864คุณจันทิมา 08 2835 0668คุณยูร 09 0747 2228.เวลาทำการ : ประตูวัด เปิด-ปิด เวลา 05.30 – 18.30 น.ประตูพระวิหาร เปิด-ปิด เวลา 08.30 – 17.00 น.เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/watpaphukon/.รถทุกชนิดสามารถขึ้นไปบนวัดได้ แต่ถ้าเป็นรถบัสคันใหญ่ต้องจอดตรงทางขึ้น แล้วต่อรถสองแถวไปยังวัด ค่าโดยสารคนละ 20 บาท นั่งได้ไม่เกินคันละ 12 คน 

วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี อ่านเพิ่มเติม

โบสถ์คริสต์อีสานบ้านเฮา

วัดนักบุญอันนา หนองแสง จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่บนถนนเลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง มองเห็นวิวภูเขาของฝั่งประเทศลาว ให้ความรู้สึกสงบและร่มรื่น โบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิกแห่งนี้อยู่คู่กับชาวนครพนมมายาวนานกว่าร้อยปี เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนานาชาติที่มีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น คนไทย คนญวน คนจีน คนลาว เป็นต้น อาสนวิหารแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ด้านหน้าเป็นหอคอยคู่ ยอดแหลมสูง ตัวอาคารภายนอกทาสีเหลือง งามเด่นเป็นสง่าเห็นได้แต่ไกล.โบสถ์หลังนี้เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่แทนหลังเดิมที่ถูกฝรั่งเศสทิ้งระเบิดพังเสียหายในสมัยที่มีกรณีพิพาทอินโดจีน โดยคงสถาปัตยกรรมให้คล้ายคลึงกับโบสถ์หลังเดิม ก่อนวันคริสต์มาสของทุกปี ชาวคริสต์ในแต่ละชุมชนจะประดิษฐ์ตกแต่งดาวในรูปแบบต่าง ๆ จัดเป็นขบวนแห่ดาวบริเวณรอบวัดแห่งนี้ นับเป็นงานประจำปีที่มีความสำคัญต่อชุมชนมาก หากสนใจเข้าเยี่ยมชมและถ่ายรูปสวย ๆ ในโบสถ์ แอดแนะนำให้โทรสอบถามล่วงหน้าหรือสอบถามผ่านFacebook : https://web.facebook.com/saintannanongsang(เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจจำกัดจำนวนการเข้าชม).ตารางมิสซา วันจันทร์ -ศุกร์ เวลา 06.15 น. วันอาทิตย์ มิสซาเช้า 07.00 น. มิสซาเย็น 19.00 น..ที่ตั้ง 184 / 1 ถนนสุนทรวิจิตร ตำบลหนองแสง เมืองนครพนม จังหวัดนครพนมเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.30 น. – 16.30 น.โทร. 08 1975 6826 วัดสองคอนมรณสักขี หรือสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี จังหวัดมุกดาหาร.ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำโขง เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และเคยได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2539.พื้นที่ทั้งหมดของโบสถ์คริสต์มีประมาณ 90 ไร่ ส่วนหน้าของโบสถ์เป็นลานกว้าง เพื่อรองรับผู้คนที่มาร่วมงานเฉลิมฉลอง บุญราศรี ที่จัดขึ้น 2 ครั้งของทุกปี คือวันที่ 22 ตุลาคม และวันที่ 16 ธันวาคม โบสถ์คริสต์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุญราศรีมรณสักขี ทั้ง ๗ ท่าน ที่ได้สร้างวีรกรรมแห่งวีรชนคริสตชน โดยยอมพลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในพระเจ้า ณ หมู่บ้านสองคอนแห่งนี้ จนได้รับการยกย่องเป็นบุญราศีทั้งเจ็ดแห่งเมืองสองคอน.คำว่า “บุญราศี” หรือ “นักบุญ” (THE BLESSED) เป็นการใช้นำหน้าชื่อยกย่องคริสตชนที่เสียชีวิตไปแล้ว และภายหลังปรากฎว่าคุณงามความดีของท่านขจรขจายจนมีผู้คนเคารพนับถือมาก ส่วนคำว่า “มรณสักขี” (MARTYR) คือผู้ที่เสียสละชีวิตของตนเพื่อยืนยันความเชื่อต่อพระเจ้า เมื่อเดินไปทางหลังโบสถ์นอกจากจะเป็นพื้นที่โล่งได้ชมวิวแม่น้ำโขงแล้ว ยังมีเรือนอนุรักษ์ หรือบ้านมาร์ตีร์ เป็นบ้านไม้แบบดั้งเดิมและยุ้งข้าวทรงพื้นบ้าน เพื่อรำลึกถึงการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายของบุญราศี มีเครื่องใช้ไม้สอยแบบวิถีชาวบ้านอยู่ในบ้าน สำหรับพิธีมิสซา จะมีทุกวันวันอาทิตย์ เวลา 07.00 น..ที่ตั้ง บ้านสองคอน ต.ป่งขาม อ.ว่านใหญ่ จ.มุกดาหารเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 07.00 น. – 18.00 น. (ไม่มีค่าใช้จ่าย)โทร. 08 1183 5064 โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ หรือวัดอัครมหาเทวดามีคาแอล จังหวัดยโสธร.ประวัติการก่อตั้งโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ เริ่มจากปี พ.ศ. 2451 มีชาวบ้านหนองซ่งแย้จำนวน 5 ครอบครัวเดินทางไปพบบาทหลวงเดชาแวลและบาทหลวงอัมโบรซีโอ ที่บ้านเซซ่ง ตำบลเซียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ขอให้ช่วยไล่ผีเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบและถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน บาทหลวงทั้งสองไปช่วยตามคำขอ จนเหตุการณ์ดีขึ้น ชาวบ้านทั้ง 5 ครอบครัวนี้จึงสมัครใจเข้านับถือศาสนาคริสต์ และมีการสร้างโบสถ์หลังแรกในปี พ.ศ. 2452 เป็นกระต๊อบฝาขัดแตะเล็กๆ เพื่อเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา โดยมีบาทหลวงเดชาแนล เป็นอธิการโบสถ์คนแรก โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้หลังปัจจุบันนี้ถือเป็น Unseen in Thailand เนื่องจากเป็นโบสถ์คริสต์ที่สร้างด้วยไม้ล้วน ๆ และเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้เวลาก่อสร้างไม่น้อยเลย แค่เตรียมการก็ใช้เวลาถึง 3 ปีแล้ว เนื่องจากมีขนาดใหญ่มาก กว้าง 16 เมตร ยาว 57 เมตร ใช้ไม้มุงหลังคาถึง 80,000 แผ่น นับเป็นโบสถ์ที่เกิดจากความร่วมมือและความสามัคคีของชาวบ้านทุกคนที่นี่ เสาบางต้นยาวถึง 20 เมตร ต้องใช้คนช่วยกันลากจูง 30-40 คนทีเดียว ก่อสร้างอย่างงดงาม ในที่สุดโบสถ์ก็สำเร็จลุล่วงใน พ.ศ. 2497 พิธีมิสซา มีทุกวันวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 06.30 น. วันเสาร์ เวลา 17.00 น. และวันอาทิตย์ 07.00 น..ที่ตั้ง หมู่ 2 บ้านซ่งแย้ ต.คำเตย อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธรเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 07.00 – 17.00 น.โทร. 08 1389 7660 (หลวงพ่อไพฑูรย์)

โบสถ์คริสต์อีสานบ้านเฮา อ่านเพิ่มเติม

Happy Moo, Happy Meal โคขุนโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร

Happy Moo, Happy Meal โคขุนโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร.เมื่อพูดถึงอาหารอีสาน ก็ต้องนึกถึงอาหารรสแซบอย่างส้มตำ ปลาร้าสุดนัว และข้าวเหนียวไก่ย่างร้อน ๆ แต่จริง ๆ แล้วภาคอีสานก็มีชื่อเสียงเรื่องเนื้อไม่แพ้ส้มตำ เนื้อที่แอดพูดถึงคือ เนื้อโคขุนโพนยางคำ ของขึ้นชื่อจังหวัดสกลนครนั่นเอง คนรักเนื้อคงคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะโด่งดังทั้งคุณภาพและความอร่อย มาดูกันว่าความอร่อยของเนื้อโพนยางคำมีที่มาอย่างไร.เนื้อโคขุนโพนยางคำมีต้นกำเนิดที่หมู่บ้านโพนยางคำ ตำบลโนนหอม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร หมู่บ้านแห่งนี้ได้จัดตั้งเป็นสหกรณ์โพนยางคำขึ้นในปี พ.ศ. 2523 วัวที่เกษตกรเลี้ยงเป็นวัวเนื้อลูกผสมไทย-ฝรั่งเศส ที่เกิดจากการผสมเทียมโดยใช้น้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์วัวเนื้อ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ชาโรเลส์ (Charolais) จากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งใช้เป็นสายพันธุ์หลัก พันธุ์ซิมเมนทอล (Simmental) จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และพันธุ์ลิมูซีน (Limousin) จากประเทศฝรั่งเศส ทำให้ได้วัวที่ทนต่อสภาพอากาศของเมืองไทย และมีโครงสร้างกล้ามเนื้อรวมถึงไขมันที่ดี.เกษตกรจะเริ่มทำการขุนวัว เมื่อวัวมีอายุประมาณ 2 ปี โดยให้วัวยืนในคอกและป้อนอาหารสูตรพิเศษ ที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติอย่างหญ้า ฟาง และธัญพืชเป็นหลัก เพื่อทำให้เนื้อนุ่มยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการดูแลอย่างพิถีพิถัน เช่น ทำความสะอาดคอกวัวเป็นประจำ อาบน้ำ แปรงขน และเปิดเพลงให้วัวฟัง การทำเลี้ยงดูแบบนี้ ทำให้วัวไม่เครียด และกินอาหารได้มากขึ้นระยะเวลาในการขุน จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี หรือบางตัวก็นานถึง 1 ปีครึ่ง เพื่อให้เนื้อมีไขมันแทรกอย่างทั่วถึง.เมื่อรู้กันแล้วว่า เกษตรกรตั้งอกตั้งใจเลี้ยงวัวเพื่อให้พวกเราได้บริโภคเนื้อแสนอร่อย แอดก็ขอเอาใจคนรักเนื้อด้วยพิกัดร้านโคขุนโพนยางคำรสเด็ด ที่เมื่อไปถึงจังหวัดสกลนครต้องไปทานให้ได้ – ร้านสเต็กสหกรณ์ฯ โพนยางคำ มีสเต็กและอาหารอีสานรสเด็ดให้เลือกหลายเมนู และถ้าใครอยากซื้อเนื้อไปทำกินเอง ที่นี่ก็มีจำหน่ายเช่นเดียวกันที่ตั้ง : หมู่ 10 บ้านโพนยางคำ ต.โนนหอม อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนครพิกัด : https://goo.gl/maps/S93XwSG6hzKuJTKq7เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 16.45 น.โทร. 0 4270 4677.– ร้านเตาถ่าน โพนยางคำ ร้านปิ้งย่างโคขุนเจ้าดังของสกลนคร เนื้อที่ร้านใช้จาก 3 แหล่ง คือ สหกรณ์โพนยางคำ สหกรณ์หนองสูง และนครพนมบีฟ ปัจจุบันร้านเตาถ่านมี 3 สาขา ได้แก่ สาขาอำเภอสว่างดินแดน สาขาถนนสุขเกษม และสาขาถนนเสรีไทย อำเภอเมืองสกลนครโทร. 0 4209 2337.– ฟาร์มฮัก เป็นทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และฟาร์มแกะในที่เดียวกัน ภายในฟาร์มมีร้านปิ้งย่างโคขุนคุณทองที่คนชอบกินเนื้อต้องห้ามพลาดที่ตั้ง : ถ.สกลนคร-นาแก ต.โนนหอม อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนครพิกัด : https://g.page/farmhug?shareเปิดทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 11.00 – 22.00 น. เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 22.00 น.โทร. 08 8572 6288 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 15 ธันวาคม 2563

Happy Moo, Happy Meal โคขุนโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร อ่านเพิ่มเติม

หนองหาร สกลนคร

หนองหาร เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ 123 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่เทศบาลเมืองสกลนครและอำเภอโพนนาแก้ว เป็นแหล่งรับน้ำจากลำห้วยหลายสาย และเป็นต้นน้ำของลำน้ำก่ำซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม.มีตำนานเล่าขานการกำเนิดหนองหารชื่อ “ตำนานผาแดงนางไอ่” เล่าว่า พระธิดาแห่งนครเอกชะทีตา ชื่อนางไอ่คำ มีความงามเลื่องลือ พระบิดาของนางประกาศว่าผู้ชนะแข่งขันจุดบั้งไฟจะได้อภิเษกกับนางไอ่คำ มีชายหนุ่มมาร่วมแข่งขันมากมาย แม้ท้าวพังคีผู้เป็นเจ้าชายพญานาคก็ยังปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกขึ้นมาชมโฉมนางไอ่คำ นางไอ่คำนั้นรักอยู่กับท้าวผาแดง แต่ท้าวผาแดงพ่ายแพ้การแข่งขัน ขณะเดียวกันกระรอกเผือกท้าวพังคีก็ถูกนายพรานยิงตาย พญานาคแห่งเมืองบาดาลโกรธแค้นนัก บันดาลฟ้าฝนกระหน่ำ แผ่นดินยุบตัว บ้านเมือง ผู้คน รวมทั้งท้าวผาแดงที่พยายามช่วยนางไอ่คำหนีก็จมหายไปจนหมด เหลือแต่หนองน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งในเวลาต่อมาก็คือหนองหารแห่งนี้นี่เอง.ระดับน้ำในหนองหารมีความลึกประมาณ 3-4 เมตร อำนวยประโยชน์ในด้านการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการประมง ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในชุมชนรอบหนองหาร .นอกจากนั้น เมื่อครั้งที่ชาวท่าแร่ที่เป็นคริสตังอพยพมาจากตัวเมืองสกลนครที่อยู่อีกฝั่งของหนองหาร โดยวิธีการต่อแพไม้ไผ่ขนาดใหญ่บรรทุกผู้คนและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ข้ามหนองหารมายังฝั่งชุมชนท่าแร่ในปัจจุบัน.ภายในชุมชนจึงสร้างโบสถ์ชื่อว่า “อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล” เป็นโบสถ์รูปทรงคล้ายเรือ เพื่อระลึกถึงการใช้เรือและแพในการอพยพมาจากตัวเมืองสกลนครนั่นเอง  เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 14 ธันวาคม 2563

หนองหาร สกลนคร อ่านเพิ่มเติม

หนาวนี้ที่ภูผายล…สกลนคร

หนาวนี้ที่ภูผายล…สกลนคร . ช่วงนี้อากาศกำลังดี หากใครอยากไปสัมผัสลมหนาวท่ามกลางป่าเขา แอดขอแนะนำภาคอีสานแถบเทือกเขาภูพานค่ะ นั่นคือ อุทยานแห่งชาติภูผายล อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร เราจะได้กางเต็นท์ดูดาว โต้ลมหนาวแบบชิล ๆ . แอดบอกเลยว่าใครไปแล้ว จะต้องติดใจบรรยากาศของที่นี่อย่างแน่นอน อุทยานแห่งชาติภูผายล เดิมเรียกว่าอุทยานแห่งชาติห้วยหวด เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนชลประทานตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 บริเวณนี้เป็นที่ราบสูงสลับกับเทือกเขาหินทราย ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน และเป็นต้นน้ำของแม่น้ำสำคัญหลายสาย.เนื่องจากอุทยานแห่งชาติถภูผายลอยู่ในพื้นที่ราบสูง จึงมีอากาศเย็นตลอดปี หากไปในช่วงฤดูหนาว เพื่อน ๆ จะได้สัมผัสอากาศหนาว และไอหมอกที่ลอยเหนืออ่างเก็บน้ำ.ค่าธรรมเนียมชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาทเต็นท์ เปิดให้เข้ากางเต็นท์ทุกวัน เข้าได้ไม่เกิน 18.00 น.ค่าสถานที่กางเต็นท์ (กรณีนำเต็นท์ไปเอง) หลังละ 30 บาทเช่าเต็นท์ หลังละ 225 บาทบ้านพักอุทยานฯ หลังละ 1,800 บาท พักได้ 6 คนโทร. 083 835 9096 ภายในอุทยานฯ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งบ้านพักอุทยานฯ และลานกางเต็นท์ นักท่องเที่ยวนิยมมาพักแรมโต้ลมหนาวกัน แอดบอกเลยว่าชิลสุด ๆ ไม่ว่าจะมากับแก๊งค์เพื่อนหรือครอบครัว ร้านค้าจะเป็นร้านสวัสดิการ ยังไม่มีร้านอาหารเปิดบริการมากนัก แอดแนะนำให้เตรียมอาหาร เครื่องดื่มเข้ามาเอง แต่อย่าลืมช่วยกันรักษาความสะอาด และรักษากฎระเบียบของอุทยานฯ กันด้วยนะคะ สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำภายในอุทยานฯ คือ อ่างเก็บน้ำห้วยหวด อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 700 เมตร รถยนต์สามารถเข้าถึง หรือจะเดินเท้าเข้าไปก็ได้เช่นกัน บริเวณนี้เป็นอ่างเก็บน้ำ และเป็นจุดชมวิว โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตก สะท้อนกับสายน้ำยามเย็น เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยล่ะ.นอกจากนี้ สามารถติดต่อเช่าเรือแคนู พายเล่นในอ่างเก็บน้ำได้ด้วยนะ แต่ต้องระมัดระวัง ทำตามกฎระเบียบเพื่อความปลอดภัยของตัวเองนะคะ.ขอบคุณรูปภาพจากเพจ : อุทยานแห่งชาติภูผายล – Phu Pha Yon National Park  เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 18 ธันวาคม 2563

หนาวนี้ที่ภูผายล…สกลนคร อ่านเพิ่มเติม

สวนหลวง ร.9

เพื่อน ๆ ชอบเที่ยวสวนดอกไม้กันไหม? . ถ้าชอบล่ะก็ ตามมาเลย เพราะวันนี้แอดจะชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวสวนพฤษศาสตร์กลางกรุงอย่าง ”สวนหลวง ร.9” ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้จัดงานประจำปี “งานพรรณไม้งามอร่ามสวนหลวง ร. 9” ไป ใครที่พลาดโอกาสไม่ต้องเสียดาย เพราะแอดจะบอกว่า สวนหลวง ร.9 เที่ยวได้ทุกวัน ไม่ต้องรอให้มีงานก็สวยเหมือนจัดงานอยู่ตลอดเวลา สวนหลวง ร.9 เป็นสวนสาธารณะและสวนพฤกษศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มีพื้นที่ทั้งหมด 500 ไร่ เกิดจากกลุ่มบุคคลและส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันบริจาคก่อสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้า ฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2530.ภายในสวนหลวง ร.9 รวบรวมพันธุ์ไม้ไว้หลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งของไทยและต่างชาติ ไม้หายาก รวมถึงสมุนไพรต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ที่จัดเป็นสวนสวย ๆ ให้ชาวกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนและชื่นชม  เนื่องจากสวนหลวง ร.9 มีพื้นที่ใหญ่มาก จึงมีการแบ่งพื้นที่ภายในออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ สถานรัชมงคล สวนกิจการ และลานพฤกษพรรณ ซึ่งแต่ละโซนเป็นยังไง ตามไปดูกันเลย 1.สถานรัชมงคล ประกอบด้วย.– อุทยานมหาราช มีสวนราชพฤกษ์และสระน้ำพุ 3 สระ ตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้มากมาย– หอรัชมงคล เป็นอาคารศิลปะไทยประยุกต์หลังคาสีทองทรง 9 เหลี่ยม ภายในเป็นห้องกระจก 9 ห้อง จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และสิ่งของส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9– สวนนานาชาติ รวมสวนหลายสัญชาติทั้งจากโลกตะวันออกและตะวันตก คือ สวนจีน สวนญี่ปุ่น สวนสเปน สวนอังกฤษ สวนฝรั่งเศส สวนอิตาลี และยังมีอาคารจิโอเดสิคโดม ที่มีการแสดงพันธุ์ไม้ทนแล้งเช่น พันธุ์ไม้ทะเลทราย ไม้อวบน้ำต่าง ๆ จากทั้งในและต่างประเทศ– สวนรมณีย์ พื้นที่ประมาณ 50 ไร่ ออกแบบโดยเลียนแบบธรรมชาติจากหลายภูมิภาคในประเทศไทย เหมือนกับได้จำลองสวนหิน น้ำตก ลำธารมาไว้กลางเมือง– ศาลาพุฒ-จันทน์ ศาลาไม้สักทองที่ปลูกพันธุ์ไม้หอมไว้โดยรอบ– อาคารถกลพระเกียรติ เป็นอาคารสำหรับจัดสัมมนาและจัดงานเลี้ยง จุคนได้ประมาณ 100 คน บรมราชินีนาถบุปผาลัย เป็นประติมากรรมเฉลิมพระเกียรติประดับภาพพิมพ์ที่จำลองพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 2. สวนกิจการ ประกอบด้วย.– สวนน้ำ พื้นที่ประมาณ 40 ไร่ จำลองพื้นที่ให้คล้ายกับทุ่งพรุตามธรรมชาติ เพื่อไว้ศึกษาสัตว์น้ำและพรรณไม้– สนามราษฎร์และศูนย์กีฬา เป็นสนามขนาดใหญ่พื้นที่ 70 ไร่ มีเวทีกลางแจ้งและศาลาไว้สำหรับจัดกิจกรรม เป็นบริเวณที่ใช้จัดงานพรรณไม้งามอร่ามสวนหลวง ร.9 และตลาดนัดต้นไม้ บริเวณศูนย์กีฬามีสระว่ายน้ำและสนามเทนนิส ไว้สำหรับบริการประชาชน– กระโจมแตร ศาลาแบบเรอเนซองส์ ทรงเรขาคณิต หลายคนมาใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน– สวนไม้ผลเมืองร้อน สวนนี้รวบรวมไม้ผลเมืองร้อนไว้กว่า 50 ชนิด เพื่อการศึกษาเรียนรู้– สวนกล้วย เป็นสวนที่รวบรวมพันธุ์กล้วยที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 50 สายพันธุ์– สวนกำแพงหิน เป็นสวนที่ปลูกไม้ดอกตามซอกหิน มีทั้งไม้พุ่มและไม้ดอกล้มลุก ปลูกผลัดเปลี่ยนกันไปตลอดทั้งปี 3. ลานพฤกษพรรณ.มีพื้นที่ประมาณ 150 ไร่ รวบรวมพรรณไม้ไว้มากกว่า 3,300 ชนิด โดยปลูกตามหลักอนุกรมวิธานและนิเวศวิทยา เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาและส่งเสริมการอนุรักษ์ ซึ่งประกอบไปด้วย.– หอพฤกษศาสตร์ เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์พืชที่รวบรวมพรรณไม้แห้ง พรรณไม้ดอง จัดแสดงแบบเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ รวมทั้งยังมีห้องสมุดทางด้านพฤกษศาสตร์สำหรับผู้ที่สนใจได้ค้นคว้าเพิ่มเติมอีกด้วย– สวนมไหสวรรย์ไม้ดัดไทย เป็นสวนที่รวบรวมไม้ดัดและเขามอต่าง ๆ เช่น ตะโก ข่อย มะขาม โมก ซึ่งศิลปะการทำไม้ดัดมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายแล้ว ถือเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ไปด้วย– สวนกล (เขาวงกต) เป็นสวนที่ปลูกต้นข่อยโดยตัดแต่งให้มีลักษณะเป็นกำแพง มีแนวทางเดินซับซ้อน เพื่อความสนุกและตื่นเต้นในการค้นหาทางออกนั่นเอง– เรือนเฟิร์นและกล้วยไม้ เป็นพื้นที่ปลูกเฟิร์นและกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ ทั้งพันธุ์พื้นบ้าน และพันธุ์หายาก รวมถึงพันธุ์จากต่างประเทศมากกว่า 100 ชนิด– สวนสมุนไพรเฉลิมพระเกียรติ มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ มีสมุนไพรกว่า 400 ชนิด โดยแยกเป็นกลุ่ม เช่น กลุ่มสมุนไพรตามคุณสมบัติการรักษาโรค กลุ่มสมุนไพรถอนพิษ เป็นต้น– พืชวงศ์หญ้า หญ้าหลายชนิดเป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง อ้อย ฯลฯ รวมถึงพืชที่ใช้ในการจักสาน และพืชที่ช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น หญ้าแฝก ตระไคร้หอม เดือย ฯลฯ– สวนบัวเบญจพรรณ รวบรวมบัวไว้มากมายกว่า 200 สายพันธุ์ เช่น บัวหลวง บัวสาย รวมถึงพันธุ์หายากจากต่างประเทศ และยังมีบัวลูกผสมที่มาจากนักผสมพันธุ์บัวของไทยอีกด้วย– อาคารแสดงพรรณไม้ในร่ม เป็นอาคารหลังคากระจกพรางแสงที่ปลูกพันธุ์ไม้ที่ชอบความชื้นและแสงรำไร มีทั้งพันธุ์ไม้หายาก และพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้น มากกว่า 500 ชนิด  พลับพลายอด เป็นศาลากลางน้ำ ที่จำลองแบบมาจากพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ พระราชวังบางประอิน บริเวณสระน้ำจะปลูกบัวสุทธาสิโนบลและมีพรรณไม้น้ำชนิดต่าง ๆ ไว้โดยรอบ กิจกรรมและค่าบริการต่าง ๆ.– เก็บค่าผ่านประตูตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. คนละ 10 บาท– ค่าจอดรถมอเตอร์ไซค์ 5

สวนหลวง ร.9 อ่านเพิ่มเติม

1 Day Trip ไหว้พระขอพร ต้อนรับปีใหม่

เคยสงสัยไหมว่า…ทำไมถึงต้องทำบุญ 9 วัด? . การทำบุญไหว้พระ 9 วัดนั้นเริ่มขึ้นจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา และได้รับความนิยมอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน บวกกับคติความเชื่อของคนไทย เลข 9 ถือว่าเป็นเลขมงคล เป็นตัวเลขที่พ้องเสียงกับคำว่า “ก้าว” หมายถึงก้าวหน้า จึงมีการนำเสนอเส้นทางไหว้พระ 9 วัดใน 1 วันขึ้นมา . ความจริงแล้ว การทำบุญไหว้พระจะทำกี่วัดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสบายใจ ขอแค่เราได้รับความสุขและประสบการณ์ดี ๆ จากการทำบุญไหว้พระก็พอ สำหรับแอดเอง นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอยากลองทำดูสักครั้ง . เรื่องความเชื่อถือเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลนะคะ เนื่องจากแต่ละวัดอยู่ใกล้กัน เดินทางสะดวก แอดจึงเลือกเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ แต่หากจะขับรถไปเอง แอดต้องบอกก่อนว่าบางวัดไม่มีที่จอดรถ เพื่อน ๆ อาจจะต้องไปหาที่จอดรถในละแวกนั้นแทน เส้นทางไหว้พระ 9 วัด พร้อมจุดเช็คอิน ถ่ายรูป ร้านอาหารอร่อย ๆ.– โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ ณ เสาชิงช้า– วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร– เสาชิงช้า– วัดพระศรีรัตนศาสดาราม– วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร– วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร– วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร– ร้านอาหารต้นมะกอก– วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร– วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร– วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร– วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร สำหรับทริปวันนี้ แอดจะพาไปหลายที่ แนะนำว่าให้เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้านะคะ แต่ก่อนอื่นแอดจะพาไปหาอะไรเบา ๆ รองท้องกันก่อน.โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ ณ เสาชิงช้า .ร้านเก่าแก่คู่พระนครอายุอานามกว่า 60 ปี มีต้นกำเนิดมาจากร้านโชห่วย ก่อนจะกลายมาเป็นร้านกาแฟ เฮี้ยะไถ่กี่ในปัจจุบันมีหลายสาขา ซึ่งร้านที่แอดพาไปนั้นเป็นสาขาแรก.เปิดทุกวัน 07.00-20.00 น.โทร. 02 629 0646, 091 979 1498ที่ตั้ง ถนนศิริพงษ์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ร้านนี้มีอาหารหลากหลายเมนูให้เลือก ทั้งของว่างทานเล่นและเมนูอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็นไข่กระทะ สเต็กหมู สเต็กปลา ข้าวต้ม ข้าวปลาแซลมอน ขนมปังปิ้ง โรตี ฯลฯ  ความโดดเด่นของร้านคือเครื่องดื่มสไตล์โบราณที่ผสมผสานความร่วมสมัย มีทั้งชา กาแฟ นมเย็น โอเลี้ยง ให้เลือกดื่มได้ตามใจชอบ เติมพลังยามเช้ากันแล้ว เรามาเริ่มต้นเดินทางกันเลย วัดแรกอยู่ไม่ไกลจากร้านโกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ ออกจากร้านแล้วเลี้ยวซ้าย เดินมาเพียง 300 เมตรเท่านั้น.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกกันติดปากว่า “วัดสุทัศน์” เป็นวัดที่ใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานถึง 3 รัชกาลทีเดียวกว่าจะเสร็จสมบูรณ์.ความน่าสนใจของวัดนี้คือ “พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต)” ที่อัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จ.สุโขทัย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยแบบหล่อสำริดที่นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดของไทย วัดสุทัศน์เป็นวัดที่ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่นๆ เพราะมีสัตตมหาสถานเป็นอุเทสิกเจดีย์ (สถานที่สำคัญ 7 แห่งที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุขหลังตรัสรู้).ความเชื่อ : หากมาสักการะที่นี่ จะช่วยให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป.เปิดทุกวัน 08.00-16.00 น.โทร. 02 222 6932, 02 222 9635ที่ตั้ง ถนนบำรุงเมือง แขวงวัดราชบพิตร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาวัดนี้ คือ แวะไปถ่ายรูป “เสาชิงช้า” แลนด์มาร์กขนาดใหญ่หน้าวัด วัดต่อมา แอดจะพาเพื่อน ๆ มาไหว้พระที่.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม.พระอารามหลวง ณ ใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ เป็นวัดที่รู้จักกันดีในชื่อ “วัดพระแก้ว” ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” (พระแก้วมรกต) เป็นวัดหลวงที่ไม่มีพระจำพรรษา และยังเป็นวัดสำคัญที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาประกอบพระราชพิธีสำคัญนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อ : หากมาสักการะพระแก้วมรกตด้วยดอกบัวคู่และธูปเทียนแล้ว ชีวิตจะมีแต่ความรุ่งเรือง มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย.จากวัดสุทัศน์มาวัดพระแก้ว เพื่อนๆ สามารถเดินทางได้หลายวิธี จะเดินหรือใช้บริการ MRT ก็ได้ แต่ถ้าอยากประหยัดเวลา แนะนำให้นั่งรถประจำทางสาย 12 จากหน้าวัดสุทัศน์ไปที่ลงป้ายบริเวณใกล้เคียงกับวัดพระแก้วได้เลย .เปิดทุกวัน เวลา 08.30-15.30 น.โทร. 02 623 5500 ต่อ 3100, 02 224 3290ที่ตั้ง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ออกจากวัดพระแก้วแล้ว เราไปต่อที่.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์).“วัดโพธิ์” เป็นวัดเก่าแก่ประจำรัชกาลที่ 1 ซึ่งต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ทั้งหมด มีการนำศิลปะจีนมาผสมผสานในการสร้างพระอารามครั้งนี้ด้วย สังเกตได้ตั้งแต่เดินเข้าวัดมา ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตู หน้าบัน เก๋งจีน รวมถึงตุ๊กตาอับเฉาที่สำคัญวัดโพธิ์ยังมีชื่อเสียงในเรื่องการนวดแผนไทยเพื่อสุขภาพ และบำบัดอาการเจ็บป่วย เป็นที่รู้จักของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอีกด้วย ไฮไลท์สำคัญของวัดนี้คือ “พระพุทธไสยาสน์” หรือ “พระนอน” ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ นับเป็นพระนอนที่งดงามองค์หนึ่งของไทย.ความเชื่อ : เชื่อว่าหากได้มานมัสการที่นี่ จะทำให้อยู่ดีกินดี มีความร่มเย็นเป็นสุข ดุจอยู่ใต้ร่มโพธิ์นั่นเอง.เปิดทุกวัน เวลา 08.30-17.30 น.โทร. 02 226 0335, 02 226 0369ที่ตั้ง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วัดต่อไป แอดจะพาเพื่อน ๆ นั่งเรือจากท่าเตียน ข้ามฟากไปยังฝั่งธนฯ กันบ้าง.วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร.วัดอรุณฯ หรือวัดแจ้ง สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นวัดสำคัญในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวัง โดยเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้ง แล้วขยายเขตพระราชฐาน วัดแจ้งจึงกลายเป็นวัดในพระราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยอยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดารามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความโดดเด่นของวัดนี้ก็คือพระปรางค์องค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย “พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก” และกล่าวกันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงปั้นพระพักตร์ด้วยพระองค์เองอีกด้วย.ความเชื่อ : หากใครได้มาไหว้พระในวัดนี้ จะมีชีวิตรุ่งโรจน์ทุกวันคืน.เปิดทุกวัน

1 Day Trip ไหว้พระขอพร ต้อนรับปีใหม่ อ่านเพิ่มเติม

ท่องโลกใต้น้ำ ชมท้องทะเล 4 อควาเรียม ภาคตะวันออก

ใครกำลังมองหาที่เที่ยวใกล้กรุง แอดอยากชวนให้ไปชมโลกใต้น้ำกับ 4 อควาเรียมของภาคตะวัน ออก ถึงแม้จะไม่ได้สัมผัสท้องทะเล แต่เราจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตจากท้องทะเลอย่างใกล้ชิด ได้ทั้งความสนุก ความสวยงามของทะเลและความรู้เน้น ๆ แถมไม่ไกลจากรุงเทพฯ อีกด้วย Underwater World พัทยา จังหวัดชลบุรี.สถานที่ถัดมา หากใครมาเที่ยวพัทยา ต้องไม่พลาด Underwater World จังหวัดชลบุรี เปิดบริการมานานกว่า 10 ปี ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เป็นอีกสถานที่จัดแสดงสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่รวบรวมไว้ทั้งปลาน้ำจืดและสัตว์แปลกหลายพันธุ์.ที่นี่มีหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโซน Touch Pool โซนปะการัง โซนปลาฉลามปละปลากระเบน เป็นต้น ใครมา Underwater World ห้ามพลาดชม “กระเบนนก” พี่ใหญ่ใจดีประจำอุโมงค์ อีกทั้งยังมีการแสดงให้อาหารปลาให้ชมด้วยนะ ราคาบัตร ผู้ใหญ่ 250 บาท / เด็ก ราคา 150 บาท เปิดทุกวัน เวลา 09.00-17.30 น. โทร. 0 3875 6878 , 08 1575 1006พิกัด : https://goo.gl/maps/5CUZmVSiSE27knup6 สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง (Rayong Aquarium) จังหวัดระยอง.Aquarium เมืองระยองเป็นสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของระยองที่ให้นักท่องเที่ยวทุกวัยได้เข้าไปศึกษา เดินดู ปลาทะเลหลากหลายสายพันธุ์อย่างใกล้ชิด อควาเรียมที่นี่มีไฮไลท์คือเดินลอดอุโมงค์แก้วได้บรรยากาศอยู่โลกใต้ทะเลที่มีปลาขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือหัว ตื่นเต้นกันสุด ๆ ถ้าหากถ่ายรูปน้องปลาในอควาเรี่ยมทุกที่ ห้ามใช้แฟลตเด็ดขาด เพราะมันจะเป็นอันตรายแก่น้องปลา และรูปไม่ค่อยสวยนะคะ ราคาบัตร ผู้ใหญ่ 30 บาท / เด็ก 10 บาทเปิดวันพุธ-ศุกร์ เวลา 10.00-16.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-17.00 น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร)โทร. 0 3865 3741พิกัด : https://goo.gl/maps/XXnuW7mRccmJnd3TA พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน จังหวัดชลบุรี.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนหรือสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน เป็นอีกที่ที่แอดอยากแนะนำเพราะที่นี่มีไฮไลท์ห้ามพลาดคือ แมงกระพรุนเรืองแสงและตู้ปลาปลาขนาดใหญ่ที่มีสัตว์ใต้น้ำไว้ให้เราชมอย่างตื่นตาตื่นใจเลยทีเดียว . ราคาบัตร ผู้ใหญ่ 80 บาท / เด็ก 40 บาท เปิดทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. โทร. 0 3839 1672-3 พิกัด : https://goo.gl/maps/hw5c2Dw4N7tyBzZW8 คุ้งกระเบน อควาเรียม จังหวัดจันทบุรี.สถานที่สุดท้ายไปกันที่จังหวัดจันทบุรี แอดเชื่อว่าเพื่อน ๆ ต้องคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดีนั่นคือ คุ้งกระเบน อควาเรียม ตั้งอยู่ในโครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนริมชายหาดแหลมเสด็จด้วยนะ.นี่นี่จัดแสดงสัตว์น้ำและปลาหลากหลายชนิด เป็นปลาที่พบได้ในบริเวณอ่าวคุ้งกระเบน ทะเลเจ้าหลาว และแหลมเสด็จ เช่น ปลาฉลามเสือดาว ปลาฉลามครีบดำ ปลากระพงขาว ปลากะพงแดง ปลาโรนันที่ใกล้สูญพันธุ์ ปลานีโม่ ปลาโฉมงาม ปลาปักเป้า ฯลฯ. เข้าชมฟรี เปิดวันอังคาร-วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. / วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.30- 17.30 น. (ปิดวันจันทร์)พิกัด : https://goo.gl/maps/saAt651UZqHdNPPE7

ท่องโลกใต้น้ำ ชมท้องทะเล 4 อควาเรียม ภาคตะวันออก อ่านเพิ่มเติม

เยือนวัดเก่า ไหว้พระนอน

เวลาเดินทางท่องเที่ยวไปจังหวัดต่าง ๆ มีหลายคนที่มักจะปักหมุดจุดไหว้พระไว้อย่างน้อยหนึ่งวัด เพื่อเป็นสิริมงคลในทริปนั้น ๆ แอดก็เป็นคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน รอบนี้เราไปอ่างทอง-สิงห์บุรี สองเมืองเก่าที่จะหันซ้ายหรือหันขวาก็มีวัดวาอารามเต็มไปหมด แถมคำขวัญของทั้งสองจังหวัด ยังเชิญชวนให้ไปกราบพระนอนอีกด้วย . แอดเลยรวบรวม 7 วัดที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ หรือพระนอนของทั้ง 2 จังหวัดนี้มาให้ดูกันว่ามีที่ไหนบ้าง จังหวัดอ่างทอง วัดราชปักษีวัดท้ายย่านวัดขุนอินทประมูลวัดป่าโมกวรวิหารวัดสุวรรณเสวริยาราม.จังหวัดสิงห์บุรี วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหารวัดจำปาทอง จังหวัดอ่างทอง.วัดราชปักษี (วัดนก) .วัดนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในวัด ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าสมัยอยุธยา องค์พระเดิมนั้นชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก แต่ในปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่กว่า 400 ปี “พระรอดวชิรโมลี” ที่สร้างสมัยพระเจ้าทรงธรรม ในราว พ.ศ. 2163 ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ด้วย.เปิดทุกวันตั้งแต่ 07.00-18.00 น.ที่ตั้ง: ตําบลโพสะ อําาเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทองพิกัด https://goo.gl/maps/EZoRwXzXAwmaZagS9  วัดท้ายย่าน . วัดท้ายย่านเป็นวัดเก่าแก่ ภายในวิหารมีพระนอน หรือ “พระพุทธไสยาสน์ปุนญญาภา” ขนาดใหญ่ มีความยาว 18 วา 9 นิ้ว สูง 9 เมตร องค์พระห่อหุ้มด้วยผ้าไหมทอง สวยงามมาก.นอกจากนี้ ภายในวิหารยังมีรูปหล่อหลวงพ่อรอด อายุกว่า 100 ปี เป็นรูปหล่อโบราณลงรักดําทั้งองค์ เนื้อปูนเก่า และรูปหล่อหลวงพ่อลาภคู่กัน เป็นเนื้อปูนแต่มีรอยแตกอยู่บ้าง ซึ่งชาวอ่างทองให้ความเคารพเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเกจิดังอันดับต้น ๆ ของจังหวัด ซึ่งวัดท้ายย่านแห่งนี้มีเกจิดังและชื่อเป็นมงคลทั้ง 4 องค์คือ หลวงปู่รอด หลวงพ่อลาภ หลวงพ่อบุญ และหลวงพ่อทาน ประดิษฐานอยู่ในวิหารเพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชา.นอกจากนี้ ในอำเภอเมืองอ่างทองยังมีวัดพระนอนอีกแห่งหนึ่งก็คือ วัดสุวรรณเสวริยาราม หากเพื่อน ๆ มีโอกาสได้เดินทางไปกราบไหว้พระนอนที่วัดแห่งนี้ อย่าลืมเอารูปมาฝากกันด้วยนะคะ .เปิดทุกวันตั้งแต่ 07.00-18.00 น.ที่ตั้ง: ตำบลศาลาแดง อําเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทองพิกัด https://goo.gl/maps/PcBx3LrZSfLpJteJ7 พระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่วัดขุนอินทประมูลมีนามว่า “พระศรีเมือง” เป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีขนาดใหญ่และยาวเป็นอันดับสองของไทย มีความยาวถึง 50 เมตร (25 วา) เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหาร แต่ต่อมาวิหารโดนไฟไหม้หักพังไป เหลือเพียงองค์พระอยู่กลางแจ้งมาจนถึงทุกวันนี้.นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีซากโบราณสถานวิหารหลวงพ่อขาว ที่เหลือเพียงฐาน ผนังบางส่วน และองค์พระพุทธรูป และในศาลาเอนกประสงค์ มีศาลรูปปั้นขุนอินทประมูลและโครงกระดูกมนุษย์นิรนาม ที่พบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541.ปัจจุบัน วัดขุนอินทประมูล เป็นวัดที่ชาวอ่างทองรวมทั้งผู้คนต่างถิ่นให้ความเคารพศรัทธามากราบไหว้ ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลกันเป็นจำนวนมาก เปิดทุกวันตั้งแต่ 07.00-18.00 น.ที่ตั้ง: ตำบลอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทองพิกัด: https://goo.gl/maps/51WtbLXA67YNnWbq7 วัดป่าโมกวรวิหาร . พระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก มีพุทธลักษณ์ที่งดงามมาก องค์พระเป็นปูนปั้นปิดทอง พระเศียรหนุนพระเขนยทรงกระบอก 3 ใบ มีความยาวประมาณ 24 เมตร เล่ากันว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาและจมอยู่หน้าวัด ราษฎรได้บวงสรวงแล้วช่วยกันลากขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ.ในพระราชพงศาวดาร กล่าวว่า ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช พระองค์ได้เสด็จฯ มาชุมนุมพลและถวายสักการบูชาพระพุทธรูปองค์นี้.เปิดทุกวันตั้งแต่ 07.00-18.00 น.ที่ตั้ง: ตำบลป่าโมก อําาเภอเมืองป่าโมก จังหวัดอ่างทองพิกัด https://goo.gl/maps/PxNY5XxyJnAg9x3u6  จังหวัดสิงห์บุรี วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร . พระนอนจักรสีห์เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสิงห์บุรี เป็นพระพุทธรูปปางไสยาส์ขนาดใหญ่ มีความยาว 47 เมตร 42 เซนติเมตร มีพุทธลักษณะตามแบบศิลปะสุโขทัยที่งดงามมากควรค่าแก่การไปชม.ด้านหน้าวิหารมีต้นสาละลังกาขนาดใหญ่อยู่หลายต้น ต้นสาละนี้เป็นต้นไม้สำคัญในพระพุทธศาสนา ชาวบ้านเชื่อว่าหากได้อธิษฐานและปรบมือใต้ต้นสาละแล้วดอกสาละร่วงลงมา คำอธิษฐานนั้นจะประสบผลตามที่หวังไว้.โทร. 036 520 251, 036 543 415เปิดทุกวันตั้งแต่ 06.00-17.00 น.ที่ตั้ง: ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีพิกัด: https://goo.gl/maps/PgV8KpyUoD7CK9Tx วัดจำปาทอง . ที่นี่เดิมเป็นวัดร้างชื่อ “วัดแม่ทอง” จนเมื่อมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดจำพรรษา ก่อนจะเข้ามาบูรณะวัดขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดจำปาทอง” เพื่อให้พ้องกับบ้านจำปาทองซึ่งเป็นชุมชนใกล้วัด.ภายในวัด ประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ สีทองอร่าม สร้างขึ้นตามศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นที่เก็บรักษาเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จประพาสล่องแม่น้ำน้อย ลักษณะเป็นเรือมาดเก๋ง ประเภทเรือแจว ชื่อว่า “เรือจำปาทองสิงห์บุรี”.โทร. 036 595 433เปิดทุกวันตั้งแต่ 08.00-16.30 น.ที่ตั้ง: ตำบลโพประจักษ์ อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรีพิกัด: https://goo.gl/maps/1CE5VzdYCoJQ7kpJ9 

เยือนวัดเก่า ไหว้พระนอน อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top