สถานที่ท่องเที่ยว

ลัดเลาะเที่ยวชุมชนกุฎีจีน

เวลาหนึ่งวัน เราจะปล่อยให้เป็นวันธรรมดา หรือจะเปลี่ยนให้เป็นวันที่น่าจดจำก็ได้ เพียงแค่ออกไปเดินเที่ยวสบาย ๆ วันธรรมดาก็กลายเป็นวันชิลล์ ๆ แล้ว ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะไปไหน ตามแอดมา แอดจะพาไปเดินเล่น ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยของย่านชุมชนที่มีชีวิตชีวาอย่าง “ชุมชนกุฎีจีน” กัน ชุมชนกุฎีจีน.ชุมชนกุฎีจีนหรือกะดีจีน เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในชุมชนมีทั้งชาวไทย จีน ฝรั่ง เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยก่อตั้งกรุงธนบุรี ภายในชุมชนก็จะมีตรอกซอกซอยเยอะมาก ทุกมุมล้วนมีชีวิตชีวา มี Graffiti มีบ้านสวย ศาลเจ้าเก่าแก่ โบสตถ์คริสต์ พิพิธภัณฑ์ชุมชนรวมทั้งร้านอร่อย ทั้งคาวทั้งหวานน่ากินไปหมด นี่คงเป็นหนึ่งเหตุที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปไม่ขาดสาย วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร.สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นวัดเก่าแก่ มีความงดงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมผสมผสานไทยและจีน ไฮไลท์คือมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต หรือที่รู้จักกันในหมู่ชาวจีนว่า ซำปอกง ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร ส่วนภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ นับเป็น 1 ใน 2 วัดในกรุงเทพฯเท่านั้นที่มีพระประธานปางปาลิไลยก์.ผู้คนนิยมมาสักการะบูชาเพื่อขอพรให้เดินทางปลอดภัยและขอให้มีมิตรที่ดีตามชื่อของวัดแห่งนี้.เปิดทุกวัน เวลา 06.00-17.00 น.โทร. 0 2466 4643 โบสถ์ซางตาครู้ส.คำว่า ซางตาครู้ส หมายถึง ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ตามพิธีสักการะบูชาของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกโบสถ์ซางตาครู้สสร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อให้เป็นศาสนสถานของชาวโปรตุเกส ตั้งแต่ปี พ.ศ.2313 โดยโบสถ์หลังแรกเป็นโบสถ์ไม้ จนเมื่อปี พ.ศ.2376 เกิดเพลิงไหม้ชุมชนและโบสถ์ จึงต้องสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ จนเมื่อ พ.ศ. 2456 โบสถ์หลังดังกล่าวก็เก่าทรุดโทรมมากเกินกว่าจะซ่อมแซม จึงมีการก่อสร้างใหม่ นั่นก็คือโบสถ์หลังปัจจุบัน ซึ่งแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2459 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์และนีโอคลาสิก พร้อมยอดโดมที่จำลองมาจากมหาวิหารฟลอเรนซ์ ในประเทศอิตาลี จึงถือว่าเป็นวัดคริสต์ที่มีความเก่าแก่มากอยู่คู่กรุงเทพฯ บ้านวินเซอร์.บ้านวินเซอร์ หรือบ้านขนมปังขิงแห่งนี้เป็นบ้านเก่าแก่อีกหลังที่ใครมาเที่ยวกุฎีจีนก็จะถ่ายรูปไว้เสมอ แต่เดิมบ้านนี้เป็นบ้านไม้ที่ซื้อมาจากที่อื่น แล้วนำมาปลูกสร้าง ลักษณะคือบ้านไม้ 2 ชั้น โดดเด่นด้วยลายขนมปังขิง ภายนอกประดับตกแต่งตามตำแหน่งหน้าจั่ว ชายคาโดยรอบ กันสาด หน้าต่างด้านข้างของตัวบ้าน.ปัจจุบันบ้านหลังนี้ ไม่มีใครอาศัยอยู่ หากมองจากริมแม่น้ำจะมองเห็นตัวบ้านทั้งหลัง ในอดีตบ้านหลังนี้จะคงสวยงามมาก ๆ เลยล่ะ ทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมและลวดลายฉลุ ศาลเจ้าเกียนอันเกง หรือ ศาลเจ้าแม่กวนอิม.ศาลเจ้าเก่าแก่ ในชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่ระหว่างวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารและวัดซางตาครู้ส นับเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในฝั่งธนบุรี เล่ากันว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน เดิมศาลเจ้าแห่งนี้มี 2 ศาล แต่หลังจากนั้นศาลเจ้าได้ทรุดโทรมลงไปมาก ในสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวจีนฮกเกี้ยนกลุ่มหนึ่งได้รื้อศาลทั้งสองแล้วสร้างขึ้นมาใหม่เพียงศาลเดียว ซึ่งคือศาลเจ้าปัจจุบันนั่นเอง.ด้านในมีองค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมให้ได้กราบไหว้สักการะ ชมความสวยงามของงานไม้แกะสลักที่มีความประณีตและงดงาม ภายนอกศาลเจ้ามุงด้วยกระเบื้องโค้งตามแบบจีน แอบบอกก่อนว่าภายในห้ามถ่ายรูปนะคะ ถ้าอยากรูปว่าด้านในเป็นยังไง ก็ต้องมาดูด้วยตัวเอง พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน.ถ้าอยากเข้าใจชุมชนกุฎีจีนให้มากขึ้น แนะนำให้มาที่นี่ พิพิธภัณฑ์บ้านกุฏีจีนเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนและแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา ศาสนา และอาหารของชาวสยามโปรตุเกสในชุมชนกุฏีจีน รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับขนมไทยหลายชนิดที่เชื่อกันว่าท้าวทองกีบม้าได้ดัดแปลงมาจากขนมของโปรตุเกส พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน เป็นบ้านไม้สามชั้น บรรยากาศร่มรื่น น่าสบาย ชั้นล่างเป็นจุดประชาสัมพันธ์ มีร้านกาแฟเล็ก ๆ สามารถนั่งดื่มชากาแฟ และช้อปปิ้งของที่ระลึกน่ารัก ๆ ได้ ส่วนชั้น 2 เป็นห้องแสดงเรื่องราวความเป็นมาของชาวโปรตุเกสในประเทศไทย และที่มาของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส ชั้น 3 จัดแสดงเป็นห้องนอนแบบโบราณ ทั้งตู้ เตียง โต๊ะ และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมถึงเครื่องมือประกอบอาชีพ ทำให้เราเห็นภาพในอดีตของชุมชนเก่าแก่แห่งนี้เลยล่ะ พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน แต่เปิดให้เข้าชมฟรี ผู้สนใจต้องการช่วยสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ก็สามารถซื้อของที่ระลึก หรือรับประทานอาหารเครื่องดื่มที่นี่ได้.เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.30-18.00 น. (ปิดวันจันทร์)โทร. 08 1772 5184 ขนมฝรั่งกุฎีจีน.ของอร่อยห้ามพลาดเมื่อมาเยือนชุมชนกุฎีจีน ก็คือ “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” ขนมนี้มีต้นตำรับจากฝรั่ง เป็นขนมหายาก จะทำกันเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญทางศาสนา ได้รับอิทธิพลมาจากขนมของชาวโปรตุเกสเป็นขนมอบ มีส่วนผสมหลัก ๆ 3 อย่างคือ แป้งสาลี ไข่เป็ดและน้ำตาลทราย รสชาติคล้ายขนมไข่ ด้านนอกจะกรอบ ๆ ส่วนเนื้อขนมจะมีความแน่นกว่า แต่งหน้าด้วยลูกเกด ลูกพลับเชื่อม โรยหน้าด้วยน้ำตาล ปัจจุบันมีร้านบ้านป้าเล็ก บ้านป้าพรรณ ร้านหลานป้าเป้า และร้านธนูสิงห์ ที่ยังคงทำขนมโบราณชนิดนี้ขายอยู่ นอกจากนี้ ยังมีขนมอื่น ๆ ที่ต้องลิ้มลองนอกจากขนมฝรั่งกุฎีจีน– ขนมกุสลา หรือ “ขนมตรุษฝรั่ง” มีส่วนผสมแบบเดียวกันขนมฝรั่งกุฎีจีน แต่เพิ่มเนย เกลือ และน้ำเข้าไป นำไปทอดแล้วเคลือบน้ำตาล– ก๋วยตั๊ส หรือพายสัปปะรด ขนมตำรับโปรตุเกสอีกอย่างที่หาทานได้เฉพาะที่กุฎีจีน– ขนมหน้านวล ขนมไทยโบราณทำจากแป้งสาลี ไข่แดง และน้ำตาล อบให้สุก บะหมี่ไก่กรอบลาดหญ้า (หน้าวัดบุปผาราม).ใครหิวมารวมตัวกันทางนี้ แอดมีมื้อหนักมาแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ไก่กรอบ บอกเลยว่าอิ่มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เป็นบะหมี่ต้มยำที่ท็อปด้วยไก่กรอบ มีทั้งแห้งและน้ำตามใจชอบ รสชาติกลมกล่อม เผ็ดหวานกำลังดี.เปิดทุกวัน เวลา 08.00-19.00 น.โทร. 09 7185 6620 Window กาแฟ.ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ น่ารัก ใกล้กับพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน มีกาแฟ เครื่องดื่ม ไอศกรีมแบบโฮมเมด และขนมอร่อย ๆ คอยต้อนรับ.เปิดวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. (ปิดวันศุกร์)โทร. 08 4659 9515 แอดสั่ง Honey ขนมฝรั่งกุฎีจีน เป็นเมนูแนะนำของร้านค่ะ ซึ่งประกอบด้วยขนมฝรั่งกุฎีจีน ผลไม้ และไอศกรีมโฮมเมด เนื้อแป้งขนมกรอบนอกนุ่มในกินคู่กับไอศกรีม เข้ากันได้ดีเลยค่ะ ขอขอบคุณรูปภาพจากเพจ Window กาแฟ

ลัดเลาะเที่ยวชุมชนกุฎีจีน อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวย้อมใจ ไปสกลนคร : ครามรุณณี ย้อมครามด้วยใจ ตอนที่ 2

หลังจากผ่านขั้นตอนการเข็นฝ้ายไปแล้ว คุณยายจะพาไปทำอะไรต่อ ติดตามกันได้เลย ตั้งหม้อคราม สิ่งหนึ่งที่ฉันค่อยๆสัมผัสระหว่างนั่งชมแม่ๆยายๆทั้งเข็นทั้งทอฝ้ายให้ชมคือความอบอุ่นในครอบครัว ที่ทุกคนต่างมาช่วยกันในทุกๆกระบวนการ ซึ่งระหว่างที่กำลังสาธิตการเข็นฝ้าย สามีพี่รุณณีก็ง่วนอยู่กับการตัดใบมะม่วง และเตรียมส่วนผสมไว้ตั้งหม้อคราม ส่วนลูกสาวก็ช่วยตั้งไฟเตรียมต้มน้ำสำหรับย้อมร้อน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและยิ้มแย้มกันตลอดเวลา อดรู้สึกไม่ได้ว่าผ้าครามบ้านนี้ต้องมีความรักเป็นส่วนผสมด้วยแน่ๆ พี่รุณณีอธิบายเรื่องการย้อมให้ฟังว่ามีทั้งแบบย้อมร้อน และย้อมเย็น ซึ่งการย้อมร้อนของพี่รุณณีใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในการย้อมทั้งหมด และเน้นเฉพาะส่วนใบ ดอก ผล ที่จะไม่ไปทำลายต้นไม้หรือไปตัดโค่น ซึ่งพืชอื่นที่นำมาย้อมก็เช่น ใบมะม่วง กาบมะพร้าวน้ำหอม ผลกระบก ใบสัก ใบยูคาลิปตัส ประดู่ ผลคำแสด ใบสาบเสือ ใบขี้เหล็ก ฯลฯ เอามาต้มโดยอาจจะเติมปูนแดง หรือสารส้ม และเกลือเข้าไปเพื่อช่วยดึงสีสันและติดคงทนกับเส้นฝ้าย ส่วนการย้อมครามจัดเป็นการย้อมเย็น พี่รุณณีเล่าว่าสมัยก่อนในหนึ่งหม้อครามมี 3 รสถึงจะกลมกล่อม คือ เปรี้ยวจากมะขาม หวานจากกล้วยหรือน้ำตาล และเค็มจากน้ำขี้เถ้า ส่วนสูตรของพี่รุณณีมีส่วนผสมของเนื้อคราม ปูนแดง น้ำขี้เถ้า เอามาขยำๆผสมกัน จากนั้นย้ายลงหม้อ ตามด้วยน้ำมะขามเปียกที่ต้มมาเดือดๆ เทตามลงไป จากนั้นใช้ขัน ตักน้ำเทออกไปเรื่อยๆ หรือเรียกว่าโจกคราม แค่ 5-10 นาที ก็จะขึ้นฟอง ส่วนน้ำครามจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ซึ่งช่วงนี้พี่รุณณีเอ่ยปากชมตลอดว่าสีสวยมาก จากนั้นก็ปิดฝา ทิ้งให้เย็น นี่แหละการตั้งหม้อคราม เดี๋ยวก่อนนน! มีหม้อครามแล้วไม่มีผ้าย้อมครามได้ไง หลังจากคุณยายสอนฉันทอผ้าจนอ่อนใจ เพราะกว่าจะพุ่งได้แต่ละเส้นต้องลุ้นไม่แพ้วันหวยออก พี่รุณณีเลยชวนมาพับผ้ามัดย้อมกันระหว่างรอหม้อย้อมเย็นและย้อมร้อนได้ที่ ซึ่งก็ไม่ต้องเน้นทฤษฎี เราเน้นตามใจชอบ แต่พี่รุณณีก็จะคอยไกด์ว่าอยากได้ลายยังไง แกก็จะบอกให้ลองมัดแบบนั้นแบบนี้ จากนั้นก็นำไปจุ่มน้ำและเอาไม้ตีให้น้ำเข้าเส้นใย เสร็จแล้วเอาลงไปขยำๆ อยากได้เข้มๆก็แช่ไว้ โดยเฉพาะย้อมร้อนด้วยใบมะม่วงที่พี่รุณณีสาธิตด้วยใจฝ้าย พอยกขึ้นมาได้สีเหลืองอมเขียว สวยมากๆ จากนั้นก็นำไปผึ่งให้แห้ง รอชื่นชมผลงาน  ถนนผ้าคราม หลายคนเรียกที่นี่ว่า ถนนผ้าคราม เป็นกิจกรรมถนนคนเดินที่จัดทุกเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ถึงจะมาในวันธรรมดา ถนนสายนี้ก็มีร้านจำหน่ายผ้าย้อมครามสกลนคร เรียงรายอยู่หลายร้าน เพียงแต่ถ้าเป็นวันหยุดจะมีร้านรวงอื่นๆ และกิจกรรมพิเศษให้ชม ซึ่งหลังจากที่เราทำกิจกรรมย้อมครามกันมาทั้งวัน พี่รุณณีก็ใจดีขับรถพาฉันเข้าเมืองมาเดินเล่นผ่อนคลายซักหน่อย ถนนผ้าครามสายนี้อยู่ด้านหน้าวัดพระธาตุเชิงชุม เราจึงแวะสักการะพระธาตุเชิงชุมเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อน จากนั้นพวกเราก็เดินเล่นชมบรรยากาศกันไปเรื่อยๆ ซึ่งตามตรอกซอกซอยก็ยังมีหลายบ้านที่ตั้งหม้อย้อมครามกันแบบเล็กๆ น่ารัก เป็นสังคมคนทำผ้าย้อมครามที่อบอุ่น พี่รุณณีเดินไปทางไหนก็ทักทายทุกคนทุกร้าน ส่วนฉันเอง ก็อดไม่ได้ที่จะแวะดูเสื้อผ้าย้อมคราม รวมทั้งกระเป๋า และพวกเครื่องประดับต่างๆ เรียกว่าได้แต่งตัวผู้ไทมาโพสต์ท่าสวยๆ โดดเด่นกันกลางถนน แล้วยังได้ซื้อผ้าครามแท้ๆ จากสกลนครกลับบ้านไปด้วย ย้อมครามด้วยใจ เป็นเช้าที่เต็มใจตื่นแต่ฟ้ายังไม่สว่างหลังจากนอนหลับสบายในโฮมสเตย์กับเสียงฝนพรำๆ อีกกิจกรรมห้ามพลาดเมื่อมาพักกับพี่รุณณีก็คือการใส่บาตรข้าวเหนียว ซึ่งพระท่านจะออกจากวัดมาบิณฑบาตรตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้าซะอีก เช้านี้เราแต่งตัวชุดผู้ไทกันอีกรอบ (แต่ใส่ชุดนี้มาหนึ่งวันสังเกตได้ว่าใส่สบายไม่ร้อนเลย) มารอพระที่หน้าประตูวัดโนนสวรรค์ วัดประจำชุมชน ไม่นานก็มีพระเดินเรียงแถวออกมา ซึ่งชาวบ้านก็จะใส่ข้าวเหนียวในบาตรอย่างเดียว ส่วนกับข้าวเขาเอาไปถวายกันต่างหากที่วัด จัดรวมเป็นสำรับกับข้าวพร้อมถวาย จากนั้นก็รับพร กรวดน้ำ หิ้วตะกร้ากลับบ้านแบบอิ่มบุญกันถ้วนหน้า เช้านี้พี่สาวพี่รุณณีทำกับข้าวให้กินทั้ง ลาบหอยเชอร์รี่ ผัดผักบุ้ง แกงหวาย แกงเห็ด หมูย่าง พร้อมข้าวเหนียวกระติ๊บใหญ่ สำหรับนั่งล้อมวงกินข้าวกันพร้อมหน้า แต่ก่อนจะลงมือ พี่รุณณีกับคุณยายส่งข้าวเหนียวหนึ่งกำมือและไข่ต้มหนึ่งฟองมาให้ฉันถือไว้ คุณยายจับสายสิญจ์มาผูกข้อมือพร้อมอวยพรด้วยสำเนียงผู้ไท ชวนให้รู้สึกขลังมากๆ ตามด้วยพี่รุณณีที่ผูกข้อมือฉันอย่างบรรจง พร้อมคำอวยพรมากมายที่มองเข้ามาที่ตาฉันตรงๆ ข้อความหนึ่งที่จะจำไม่ลืม “ถือว่าเราเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วนะคะ” เป็นความรู้สึกที่ตื้นตันจริงๆ ถึงจะเป็นเพียง 1 คืนกับอีก 1 วันกว่าๆ ที่ได้มาเรียนรู้วิถีผ้าย้อมครามและฝ้ายเข็นมือ แต่ก็รู้สึกผูกพันกับพี่รุณณีและครอบครัวจริงๆ นั่งรถออกจากหมู่บ้านพี่รุณณีมา มองรูปในมือถือแล้วก็คิดว่า ผ้าน้ำเงินเข้มอาจจะย้อมด้วยคราม แต่คุณค่าแท้จริงอยู่ที่การย้อมด้วยใจ แล้วพบกันใหม่ค่ะพี่รุณณี.ครามรุณณี บ้านหนองไผ่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เปิดทุกวัน ติดต่อจองทำกิจกรรมล่วงหน้า โทร. 089 569 8293 (พี่รุณณี)

เที่ยวย้อมใจ ไปสกลนคร : ครามรุณณี ย้อมครามด้วยใจ ตอนที่ 2 อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวย้อมใจ ไปสกลนคร: ครามรุณณี ย้อมครามด้วยใจ ตอนที่ 1

มีคนบอกว่าเที่ยวอีสานให้ลองมาหน้าฝน จะได้ชุ่มฉ่ำกับสายฝน ทุ่งนา กลิ่นดิน และสายหมอก จะว่าไปฉันก็กำลังอยากเปลี่ยนที่หย่อนตัว นอนเล่นซักคืนสองคืนพอดี แต่จะไปที่ไหนดีน้าาา… ตัดสินใจได้ เช้าตรู่วันนั้น ฉันเลยเช็คอินขึ้นเครื่อง มุ่งหน้าสู่ จังหวัดสกลนคร ถึงจะเคยมาเยือนถิ่นผ้าย้อมครามหลายครั้ง แต่คราวนี้ตั้งใจจะมากินนอนข้างหม้อย้อมให้ฟินแบบลึกซึ้ง กันไปเลย หม้อครามในตำนาน ฉันแบกเป้ลงจากเครื่องมาไม่นาน พี่รุณณี เจ้าของแบรนด์ “ครามรุณณี” ก็ยิ้มกว้าง โบกมือให้กระโดดขึ้นรถไปด้วยกัน แรกๆ เราก็ทักทายกันเขินๆ แต่ด้วยอัธยาศัยที่เป็นกันเองสุดๆของพี่รุณณี ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากๆ พร้อมกับความตื่นเต้นที่จะได้ค้นพบพื้นที่เรียนรู้แห่งใหม่รออยู่ไม่ไกลที่บ้านหนองไผ่ อ.พรรณานิคม ระหว่างทาง พี่รุณณีพาเลี้ยวเข้าหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ บ้านตอเรือ เพื่อพาไปทำความรู้จักกับคุณยายวารี หนึ่งในตำนานหม้อครามยุคแรกๆ ของจ.สกลนคร ซึ่งป้าวารีก็เล่าให้ฟังว่าแกเริ่มตั้งหม้อครามมาตั้งแต่อายุ 15 ถึงวันนี้อายุ 75 ปี ก็ต้องเรียกว่าเกินครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้วที่ป้าวารียังคงย้อมครามและทอผ้าจำหน่ายเป็นอาชีพในชื่อแบรนด์ โฮมครามวารี ป้าเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนชาวบ้านนิยมใส่ผ้าย้อมครามออกไปทำไร่ทำนา เพราะนอกจากสีเข้มเกือบดำที่ดูไม่เลอะเทอะง่ายแล้ว ยังช่วยกันแดด ใส่แล้วไม่ร้อน ส่วนต้นครามและฝ้ายก็ปลูกกันอยู่หัวไร่ปลายนา เรียกว่าย้อมแจกกันมากกว่าขาย ยุคแรกที่เริ่มย้อมขายก็ไม่ได้มีมูลค่าสูงเหมือนในปัจจุบัน คุณยายวารียังพาไปชมห้องทำงานที่เรียงรายไปด้วยหม้อคราม ราวตากเส้นฝ้ายที่ย้อมครามเอาไว้ และกี่ทอผ้าที่คุณยายนั่งลงพุ่งเส้นฝ้าย สาธิตทอผ้าให้ชมอย่างชำนาญพร้อมบอกว่า “ยายออกแบบลายเอง ผืนนี้เอาไปตัดกางเกงสวยเลยนะ” ส่วนฉันแอบมองมือคุณยายที่ทุกนิ้วเคลือบด้วยสีครามจางๆ นี่สินะมือหม้อครามในตำนาน สู่บ้านคราม ฝนยังปรอยปรายลงมาไม่หยุดเมื่อเรามาถึงบ้านพี่รุณณี ไม่ต้องมีพิธีรีตรอง พี่รุณณีจัดการปูเสื่อกับพื้นบ้านพร้อมจัดสำรับกับข้าวง่ายๆ มีปลาทอด ไข่เจียว และน้ำจิ้มแจ่วปลาร้า ขาดไม่ได้คือกระติ๊บข้าวเหนียวใบใหญ่ อัดแน่นด้วยข้าวเหนียวหอมๆ คนกำลังหิวเลยได้ปั้นข้าวเหนียวกินเพลินเลย หลังกินมื้อเช้าแล้วพี่รุณณีเลยปล่อยให้ฉันพักซักครู่ในบ้านพักโฮมสเตย์ที่สร้างแยกออกมาจากบ้านของครอบครัวเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งพี่รุณณีมีบ้านพักให้บริการอยู่ 3 หลัง รวม 4 ห้องพัก บ้านแต่ละหลังสร้างด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก หลังเล็กๆ น่ารักมาก ด้านในมีเตียงปูผ้าย้อมครามเข้าบรรยากาศ และถึงแม้จะเป็นห้องพัดลม แต่อากาศที่นี่ก็เย็นสบายจนไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศใดๆ ส่วนห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่นพร้อม เท่านี้ก็เกินพอแล้วกับความต้องการเรียบง่ายของฉัน ฝ้ายเข็นมือ “คุณยายมาแล้ว” พี่รุณณีบอกฉันเมื่อจักรยานคุณยายทั้งสองท่านเข้ามาจอดข้างโรงย้อมคราม วันนี้พี่รุณณีชวนคุณยายผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเข็นฝ้ายและทอผ้ามาสาธิตให้ฉันชมแบบละเอียดยิบกันเลยทีเดียว และหนึ่งในนั้นคือคุณแม่ของพี่รุณณีนั่นเอง ในพื้นที่หมู่บ้านพี่รุณณีเหลือแต่เพียงผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังคงทอผ้ากันอยู่ ส่วนพี่รุณณีเองถือว่าเป็นรุ่นปัจจุบันที่นำเอาวิถีย้อมครามเข้ามาผสานกับเส้นฝ้ายเข็นมือของคนรุ่นก่อน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ “ครามรุณณี” คือใช้ฝ้ายเข็นมือและย้อมสีธรรมชาติมาทอมือทั้งเส้นตั้งและยืน และตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าซิ่น ฯลฯ เนื้อผ้าจึงมีความหนานุ่ม เส้นฝ้ายมีเนื้อสัมผัสไม่เรียบ และมีเอกลักษณ์การตัดเย็บกับโทนสีสไตล์พี่รุณณี เรียกว่าตั้งแต่เก็บฝ้าย จนจบออกมาเป็นชุด ครามรุณณีทำด้วยมือทั้งกระบวนการเลย น่าทึ่งมากๆ พี่รุณณีส่งชุดผู้ไทให้ฉันหลบไปแต่งในห้อง มีทั้งเสื้อแขนกระบอก ซิ่นย้อมครามทอลายพื้นถิ่น และผ้าเบี่ยง แถมยังได้พี่สาวพี่รุณณีช่วยเกล้ามวยผม จัดเต็มจนเห็นตัวเองในกระจกก็แอบแปลกตาจนเขินๆเหมือนกันนะเนี่ย กลับมาคุณยายก็นั่งลงเข็นฝ้ายเป็นเส้นอย่างชำนิชำนาญกันแล้ว ดีที่พี่รุณณีช่วยอธิบายให้ฟังแบบละเอียดอีกที เริ่มจากอิ้วฝ้าย หรือรีดเอาเมล็ดออก ดีดฝ้ายในกะเพด เป็นการทำให้ฝ้ายฟูละเอียด จากนั้นแบ่งเอามาม้วนบนแผ่นไม้เป็นหลอดๆ ขั้นตอนสำคัญคือการเข็นฝ้าย ที่คุณยายนำอุปกรณ์เรียกว่า หลา หน้าตาเป็นวงล้อมีมือจับไว้หมุน จากนั้นคุณยายก็เอาหลอดฝ้ายมาดึงกับเข็มพร้อมหมุนวงล้อ ฝ้ายในหลอดก็ค่อยๆ ไหลออกมาเป็นเส้นไปม้วนที่เข็มอย่างน่าทึ่ง มองดูเหมือนง่าย แต่น้ำหนักการดึงสำคัญมาก หลังจากคุณยายเข็นฝ้ายจนได้ปริมาณที่พอแล้ว ก็เอาแกนไม้ที่เรียกว่า เปีย มาม้วนเส้นฝ้ายเพื่อให้กลายเป็นใจฝ้ายสำหรับกระบวนการที่น่าสนุกต่อไปนั่นคือ ย้อมคราม พอยายชวนให้ฉันลองทำเอง ก็นั่นแหละ เส้นฝ้ายขาดแล้วขาดอีก พี่รุณณีเลยให้กำลังใจว่าฝึกอีกหน่อยก็คล่อง ซึ่งฉันว่า “อีกหน่อย” นี่คงจะนานอยู่เหมือนกัน หลังจากผ่านขั้นตอนการเข็นฝ้ายไปแล้ว คุณยายจะพาไปทำอะไรต่อ ติดตามกันได้ในตอนต่อไปค่ะ

เที่ยวย้อมใจ ไปสกลนคร: ครามรุณณี ย้อมครามด้วยใจ ตอนที่ 1 อ่านเพิ่มเติม

รู้เขา รู้เรา รู้พะเยา ตอนที่ 2

สายบุญ – สักการะวัดงามสายพม่า ที่วัดนันตาราม.ใครมาพะเยา แนะนำให้ขับรถมาไม่ไกลจากอำเภอเมือง ก็จะเจอกับอำเภอใหญ่ที่ชื่อว่าอำเภอเชียงคำ ซึ่งมีวัดอันโด่งดังที่มีสถาปัตยกรรมคล้ายวัดชาวไทใหญ่แห่งนี้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญ.จุดเด่นที่เห็นได้จากไกลๆ คือเป็นวัดที่ใช้ศิลปะแบบไทใหญ่ สร้างจากไม้สักทั้งหลัง แต่ถ้าเข้าไปมองใกล้ๆ ข้างในก็จะเจอกับศิลปะจากกระจกสีบนเพดานที่วิจิตรงดงามไม่แพ้กัน ส่วนพระประธานด้านในก็เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่แกะสลักจากไม้สักทองทั้งต้น ความงดงามที่ต่างจากที่อื่นนี่แหละที่ทำให้นักเที่ยวสายบุญส่วนใหญ่ที่มาพะเยาต้องแวะมาสักการะ สายธรรมชาติ – แช่น้ำอุ่น ปูเสื่อปิกนิก ที่น้ำตกภูซาง .แม้จะเป็นน้ำตกที่ไม่ได้เด่นเรื่องความอลังการงานสร้าง แต่น้ำตกภูซางพิเศษตรงที่เป็นน้ำตกน้ำอุ่นเพียงแห่งเดียวในไทย เกิดจากสายน้ำอุ่นที่ไหลจากผาหินปูน อุณหภูมิราวๆ 35-36 องศาเซลเซียสกำลังดี เหมาะแก่การแช่น้ำผ่อนคลาย ซึ่งชาวบ้านที่นี่ก็มาพักผ่อนเล่นน้ำกันเป็นประจำ และด้วยบรรยากาศรอบๆ ที่ร่มรื่นสวยงาม ก็ทำให้เราได้เห็นวัฒนธรรมปูเสื่อปิกนิกกินข้าวกันรอบๆ ซึ่งเป็นภาพที่น่ารัก.สำหรับนักเที่ยวที่อยากผจญภัยอีกหน่อย รอให้พ้นช่วงโควิดไปก่อน อุทยานก็จะเปิดให้เข้าไปเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีพันธุ์ไม้หายาก มีบ่อน้ำซับอุ่นที่เป็นต้นน้ำอุ่นของน้ำตกนี้ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงก็น่าจะอิ่มใจแล้วล่ะ!  สายชิลล์ – ขับรถลัดเลาะไปนั่งจิบกาแฟชมวิวที่ภูลังกา.กาแฟหลักร้อย วิวหลักล้านจริงๆ เพราะ Magic Mountain คือร้านกาแฟยอดฮิตที่ใครๆ ก็บึ่งไปแต่เช้ามืด เพื่อไปกินกาแฟยามเช้าแล้วถ่ายรูปท่ามกลางบรรยากาศทะเลหมอกหน้าหนาวเป็นที่สุด ซึ่งเราทำสิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องขับรถขึ้นเขาแล้วเดินต่อขึ้นไปบนวนอุทยานอีกต่อไป แต่เพียงแค่ยอมขับเลี้ยวลัดตัดผ่านเส้นทางต้นไม้สวยๆ ห่างมาจาก อำเภอเมืองพะเยาราวๆ 2 ชั่วโมง ร้านนี้จะอยู่ติดริมถนนใกล้ภูลังการีสอร์ทเลยล่ะ.ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเห็นทะเลหมอกคือยามเช้าก่อนเก้าโมง ที่จะมีแสงสีทองสาดส่องสายหมอก ท่ามกลางภูเขาหินปูนน้อยใหญ่ของอุทยานแห่งชาติ แต่ถ้าพลาดไปไม่ทันแบบเรา เอาแค่วิวก็ถือว่าสุดยอดมากๆ แล้ว สายชิลล์ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง  สายแฟ – ช้อปปิ้งผ้าทอไทลื้อ ที่บ้านฮวก.คนรักแฟชั่น ถ้าได้เจอกับผ้าทอไทลื้อและงานหัตถกรรมของชาวบ้านฮวก อาจจะต้องช้อปปิ้งกลับไปแบบเต็มไม้เต็มมือไม่รู้ตัว เพียงขับรถมาไม่ไกลจากอำเภอเชียงคำ มาตรงหมู่บ้านที่ติดกับดินแดนของประเทศลาว ก็จะเจอร้านค้าของชาวบ้านฮวกที่ขายสินค้าที่ทำขึ้นด้วยมือและมีความประณีต มีทั้งผ้าซิ่นทอไทลื้อซึ่งเป็นจุดเด่นประจำจังหวัดให้เลือกจนตาลาย เสื้อผ้าจากผ้าทอที่ตัดประยุกต์มาให้ดูร่วมสมัย และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากผ้าไทลื้อและงานฝีมือชุมชนมาขายในราคาไม่แพงด้วยนะ สายคาเฟ่ฮอปปิ้ง – กินกาแฟในคาเฟ่เก๋ Blacksmith.ปิดท้ายแบบตอบใจนักเที่ยวสายคาเฟ่ฮอปปิ้ง ด้วยร้านกาแฟสุดเก๋แห่งอำเภอเชียงคำ ซึ่งเป็นบ้านสีเทาที่โดดเด่นอยู่ในซอย เข้าไปข้างในก็เจอกับการตกแต่งสไตล์ Industrial Loft พร้อมเมนูกาแฟน่าทานหลากหลาย และมุมถ่ายรูปสุดชิกที่ดูเผินๆ เหมือนไม่ต่างจากคาเฟ่เก๋ในกรุงเทพฯ แต่วิวนอกหน้าต่างและบรรยากาศโดยรอบยังคงความน่ารักสไตล์เมืองเล็กๆ อยู่ ใครไปเชียงคำก็อย่าลืมแวะไปอุดหนุนและถ่ายรูปชิคๆ กลับมา บอกให้โลกรู้ว่าแม้แต่ในอำเภอเล็กๆ ในเมืองรอง ก็ยังมีคาเฟ่ดีๆ ซ่อนอยู่นะ!

รู้เขา รู้เรา รู้พะเยา ตอนที่ 2 อ่านเพิ่มเติม

รู้เขา รู้เรา รู้พะเยา ตอนที่ 1

สาย Unseen – นั่งเรือพายไปไหว้พระโบราณ กลางกว๊านพะเยา.บางคนอาจไม่เคยรู้ว่ากว๊านพะเยามีวัดเก่าแก่ตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งเป็นอันซีนติดอันดับต้นๆ ของประเทศ! ชื่อของวัดกลางน้ำแห่งนี้ก็คือวัดติโลกอาราม วัดแห่งนี้ถูกค้นพบซากและหลักฐานจากการสำรวจน้ำในปี พ.ศ. 2550 ทางจังหวัดจึงอัญเชิญพระพุทธรูปหินทราย หลวงพ่อศิลากว๊านพะเยา ซึ่งเป็นพระพุทธโบราณปางมารวิชัยที่ถูกค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 มาประดิษฐานไว้คู่กัน.ความสนุกของการไปไหว้พระที่วัดติโลกอาราม คือต้องข้ามเรือแจวกับคุณลุง ราคาคนละ 30 บาท ชมวิวกว๊านแบบใกล้ชิดไปพลาง ฟังประวัติเมืองจากลุงไปพลาง ไปถึงตรงกลางก็จะได้สักการะ ได้ปล่อยปลา และพอหันกลับมาจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้จะเจอกับวิวเมืองพะเยาจากอีกด้านหนึ่งที่ได้อารมณ์น่ารักไปอีกแบบ.กระซิบก่อนว่าถ้าอยากไปตอนโฮไลต์ ให้ไปช่วงวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะจะมีการเวียนเทียนทางน้ำ (พายเรือเวียนเทียน) ที่เดียวในโลกด้วยนะ สายความเชื่อ – ไปสักการะพญานาค ที่กว๊านพะเยา.กว๊านพะเยาอาจจะเป็นแลนด์มาร์กชื่อดังในสายตาของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนพะเยาเองนั้นผูกพันกับกว๊านแห่งนี้ เพราะเป็นทั้งแหล่งน้ำสำคัญ เป็นพื้นที่หย่อนใจ และยังมีความเชื่อเรื่องพญานาคอันศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อกันว่าที่กว๊านแห่งนี้เดิมเป็นที่อยู่ของพญานาคจอมกร่างตนหนึ่งชื่อว่า พญาธุมะสิกขี ซึ่งภายหลังยอมกำราบลงเมื่อได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า จึงกลายมาเป็นผู้มอบทองคำให้สร้างพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งก็คือ ‘พระเจ้าตนหลวง’ ในวัดศรีโคมคำ ที่อยู่ไม่ไกลจากกว๊านพะเยานั่นเอง ด้วยตำนานความเชื่อนี้ทำให้มีการสร้างรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่เป็นจุดเด่นกลางกว๊านพะเยาอย่างที่เราเห็น และก็มีการทำพิธีสืบชะตากว๊านพะเยา (พิธีแบบล้านนา) ทุกปีเพราะเชื่อว่าพญานาคเป็นผู้ปกปักรักษากว๊าน.สำหรับนักท่องเที่ยวสายความเชื่อ การได้ไปสักการะและถ่ายภาพพญานาคกลางกว๊านพะเยานั้นเป็นอะไรที่คุ้มค่า หรือจะลองขอโชคกับปู่พญานาคตามชาวบ้านที่นี่ดู โดยเฉพาะในช่วงใกล้หวยออก ชาวบ้านก็จะพากันไปขอโชคกับปู่พญานาคที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือโบราณไม่ไกลจากรูปปั้น โชคดีอาจเป็นของคุณก็ได้นะ สายลองของ – ลองกินกุ้งเต้น ริมกว๊านพะเยา.ถ้ามากว๊านพะเยาแล้วไม่ได้กิน ‘กุ้งเต้น’ ก็เท่ากับมาไม่ถึง!.กุ้งเต้น คือเมนูที่ต้องมีของเหล่าแม่ค้าพ่อค้าไปจนถึงร้านอาหารริมกว๊าน จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากเดิมที่ผู้คนรอบกว๊านทำการประมงเพื่อเลี้ยงปากท้องและค้าขาย จับปลาจับกุ้ง รวมไปถึงกุ้งฝอยตัวจิ๋วๆ ซึ่งกลายมาเป็นเมนูประจำกว๊าน แม้ปัจจุบันจะไม่มีการจับกุ้งฝอยจากกว๊านแล้ว เปลี่ยนไปรับจากแหล่งน้ำจืดไหลนิ่งในละแวกแทน แต่ก็ยังเป็นเมนูฮิตที่ไปถึงยังไงก็ต้องเจอ และต้องลองให้ได้สักครั้งในชีวิต.ความพีคของเมนูนี้ คือการเอากุ้งเป็นๆ มาปรุงด้วยพริกป่น มะนาว ข้าวคั่ว น้ำปลา คลุกเคล้ากับผักสมุนไพร แล้วปิดฝาเสิร์ฟเลยทันที นั่นแปลว่ากุ้งที่มาในชามนั้นยังกระโดดอยู่ เวลาจะกินเข้าไปก็ต้องรีบตักใส่ปากให้ทันก่อนกุ้งน้อยจะกระโดดหนี ใครเป็นนักเที่ยวสายลองของ ถ้าไปทั้งทีก็ต้องไปลองให้รู้! สายศิลป์ – ไปชมศิลปะวิถีพุทธบนเขา ที่วัดอนาลโย.เวลาเข้าวัดเมืองเหนือ เรามักนึกภาพวัดแบบล้านนา แต่ที่วัดอนาลโยแห่งนี้กลับแตกต่างไป เพราะเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปยุคสุโขทัยที่งดงาม รวมถึงพระพุทธรูปอีกหลากหลายปาง และยังเป็นสำนักสงฆ์ที่ร่มรื่น บวกกับการที่ตัววัดตั้งอยู่บนดอยบุษราคัม ระหว่างทางเดินขึ้นไปมีจุดให้แวะชมและสักการะท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยต้นไม้และแสงแดดส่องเป็นระยะ ยิ่งทำให้เกิดความสงบใจอย่างประหลาด.ด้านบนสุดเป็นหอพระแก้วมรกตจำลองและยังมีจุดชมวิวของเมืองพะเยาที่สวยงาม เรียกว่างานนี้นักเที่ยวสายศิลป์ถ้าเดินขึ้นไปถึงยอดก็จะได้ชมความงามถึงสองต่อ ขอบอกว่าฟินแน่นอน  สายเขียว – เก็บผักกิน+นอนโฮมสเตย์ชุมชน ที่บ้านต้นเต๊า .มองเผินๆ บ้านต้นเต๊าอาจจะเหมือนคาเฟ่น่ารักทั่วไป แต่ที่จริงแล้วที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและโฮมสเตย์ที่มีแนวคิดดีๆ แฝงอยู่ จุดเริ่มต้นจากการที่เจ้าของบ้านเป็นสถาปนิกชาวพะเยาที่สนใจชุมชนบ้านบัว ซึ่งปลูกข้าวอินทรีย์และมีวิถีพอเพียงเป็นทุนเดิม พอได้เข้าไปอยู่อาศัยและทำโฮมสเตย์จึงอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบ้านบัว วัตถุดิบในคาเฟ่จึงเป็นการนำผลิตผลในหมู่บ้านมาปรุงอาหาร แถมยังสนับสนุนให้เข้าไปสัมผัสวิถีการทำเกษตรพอเพียงของชุมชนอีกด้วย ทุกวันนี้บ้านต้นเต๊าจึงเปรียบเสมือนห้องรับแขกของชุมชนบ้านบัวไปโดยปริยาย.ใครที่เป็นนักเที่ยวสายออร์แกนิกและวิถีชุมชน ต้องไม่พลาดการมาพักที่โฮมสเตย์แห่งนี้ แม้จะมีห้องพักมีอยู่ 2 ห้อง แต่ที่นี่ก็ยินดีแนะนำโฮมสเตย์อื่นๆ ในชุมชนจริงๆ ให้เราได้เข้าพัก หรือจะแวะมาสนับสนุนอาหารอร่อยจากวัตถุดิบชุมชนก็เชื่อว่าจะได้ความสุขกลับไปไม่แพ้กัน 

รู้เขา รู้เรา รู้พะเยา ตอนที่ 1 อ่านเพิ่มเติม

Enjoy Eating for 1 Day @ ตลาดพลู

สวัสดีเพื่อน ๆ ช่วงที่ผ่านมาระหว่างที่ Work From Home แอดเห็นหลายคนบ่นใน Social Media ว่าอยากออกไปหาที่กิน ที่เที่ยว เพราะอยู่บ้านจนเบื่อแล้ว วันนี้แอดมีย่านของอร่อยมานำเสนอ นั่นก็คือ ตลาดพลู ย่านตลาดพลูเป็นย่านร้านอาหารทั้งคาวหวานที่เปิดขายกันมายาวนาน ชาวฝั่งธนฯรู้จักกันดี มีร้านอร่อยขึ้นชื่อไม่แพ้เยาวราช มีทั้งร้านกลางวันกลางคืน รับรองเลยว่ามาเมื่อไหร่ก็ได้อิ่มอร่อยแน่นอนนน เอาล่ะ ตามไปกิน เอ้ย!! ตามไปอ่านกันได้เลย Enjoy Eating for 1 Day @ ตลาดพลู .1.กระเพาะปลาขันโค้ก2.สุณีข้าวหมูแดง3.หมวยหลี ไอติมไข่แข็ง4. สุริยา กาแฟ 100 ปี5. เจ๊บิ เปาะเปี๊ยะสด ตลาดพลู6. ยายใฝ ขนมเบื้องญวณ7. เจ๊อ้อย หมี่กระเฉดตลาดพลู8. LYNX Specialty Coffee แอดเดินทางด้วย BTS มาลงที่สถานี ตลาดพลู ใช้ทางออกที่ 2 จากนั้นใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง (20 บาท) มาลงที่ตลาดพลู หรือถ้าจะเดินก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ร้านอาหารคาวหวานย่านนี้ แต่ละร้านอยู่ใกล้กันมาก สามารถเดินถึงกันได้สบาย ๆ คล้ายกับย่านเยาวราช ร้านแรกที่แอดจะมาแนะนำนั่นก็คือ “กระเพาะปลาขันโค้ก” ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมากว่า 50 ปี อยู่ข้างรางรถไฟเลย คุณลุงคุณป้าเจ้าของร้านใจดี ชวนคุยเป็นกันเองน่ารักมาก แอดสั่งกระเพาะปลาแบบธรรมดา 1 ถ้วย เพราะต้องเผื่อท้องไว้กินร้านอื่น ๆ ด้วย ต้องบอกก่อนว่าร้านใช้หนังหมูแทนกระเพาะปลา จะได้ไม่มองหากระเพาะปลากัน เห็นถ้วยแค่นี้ก็อิ่มใช้ได้เลยนะ น้ำซุปกลมกล่อมแบบที่แอดชอบเลย ไม่ข้นมาก พอเกาะเส้นเกาะเครื่องให้มีรสชาติเวลากิน แต่ซดได้คล่องคอ ที่สำคัญเครื่องเยอะด้วยนะ ร้านเปิด 10.00 น. แต่อย่าชะล่าใจ เพราะของจะหมดไวมาก มาแล้วอย่าพลาดร้านนี้เชียว.ที่ตั้ง สถานนีรถไฟตลาดพลู เกือบปลายสถานี ติดริมทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย 1087 ถนน เทอดไท แขวง ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เวลาเปิด-ปิด 10:00 – 14:00 น. (หยุดวันอาทิตย์)โทร. 08 7078 8238 ร้านที่สองคือร้าน “สุณีข้าวหมูแดง” ที่แอดแอบหมายตาไว้อยู่แล้ว มีที่นั่งพอดี…จะรออะไรล่ะ สั่งเลย!!.แอดสั่งข้าวหมูแดง อร่อยทีเดียว สมกับขายมานานกว่า 60 ปี หมูแดงมีกลิ่นย่างเตาถ่าน เนื้อฉ่ำ น้ำราดมีรสหวานนำ เจือเค็มนิด ๆ ทานง่ายดีนะ ที่สำคัญนั่งกินข้างรางรถไฟแบบนี้ แปลกใหม่สำหรับแอดมาก ๆ (แต่แอดชอบนะ อยากกลับไปกินอีก).ที่ตั้ง 854/8 ซอย เทอดไท 25 แขวง ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เปิดทุกวัน 06:00 – 20:30 น.โทร. 0 2466 3173 หมวยหลี ไอติมไข่แข็ง.กินคาวแล้วก็กินหวานต่อ ร้านนี้เดินจากร้านสุณีข้าวหมูแดงแค่ 3-4 ก้าวก็ถึงแล้ว บอกตามตรงว่าทั้งแอดและเพื่อนไม่เคยกิน ไอติมไข่แข็งมาก่อน ทางร้านเล่าให้ฟังว่าเปิดมากว่า 60 ปีแล้ว เปิดมาก่อนร้านสุณีข้าวหมูแดงซะอีก มา…เรามาลองรสชาติของ ประวัติศาสตร์ไอติม 60 ปีพร้อม ๆ กัน.เมนูที่ทางร้านแนะนำมาก็คือ ไอติมไข่แข็ง(โป๊ก) เป็นไอศกรีมกะทิ เนื้อสัมผัสไม่ได้เหนียวมาก รสชาติหวานนำ พอตักโดนไข่ก็มีความมัน ๆ นัว ๆ กินคู่กับท็อปปิ้งก็ยิ่งให้รสชาติที่หลากหลาย ไม่น่าเบื่อ ยิ่งทับทิมกรอบของร้านนี้นะ ถูกใจแอดมาก เผลอแป๊บเดียวก็หมดแล้ว เหมาะกับช่วงกลางวันที่อากาศร้อนมาก ๆ เลยยย.ที่ตั้ง : 10600 854/8-01 แขวง ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เปิดทุกวัน 09:00 – 20:30 น.โทร. 08 1409 2484, 09 4324 0324 สุริยา กาแฟ 100 ปี.หากใครขาดคาเฟอีนไม่ได้ ที่ตลาดพลูก็มีร้านกาแฟให้เพื่อน ๆ ได้เติมคาเฟอีน “สุริยากาแฟ 100 ปี” สาขานี้อยู่ใต้สะพาน บรรยากาศเหมือนสภากาแฟในหนังที่ตัวละครชอบมานั่งเสวนากัน.เจ้าของร้านอัธยาศัยดีมาก ต้อนรับขับสู้ชวนคุยระหว่างรอกาแฟ จากบทสนทนาเล็กน้อยนี้ ทำให้ทราบมาว่าปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว โดยร้านนี้พี่น้อง 3 คนจะสลับกันมาชงกาแฟ แอดสั่งโอเลี้ยงใส่ถุงมาลอง (ความอยากย้อนวัยส่วนตัว) หรือใครจะสั่งใส่แก้วก็ได้นะ รสชาติคือใช่มาก ย้อนวันวานมากเลย ส่วนใครอยากดื่มชา ที่ร้านก็มีเช่นกัน ทางร้านตั้งใจเลือกใช้ใบชาคุณภาพดีราคาแพงมาขายในราคาที่ถูก ให้ลูกค้าได้ลิ้มลองกัน ซึ่งหากแอดแวะไปอีกครั้ง รับรองไม่พลาดแน่.ที่ตั้ง : เลขที่ 1 ถนน เทอดไท ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เปิดทุกวัน 06:00 – 21:30 น.โทร. 08 6321 6296 เจ๊บิ เปาะเปี๊ยะสด ตลาดพลู.หันหน้าเข้าหาร้านกาแฟ แล้วเดินตามทางเท้ามาทางขวา เพื่อน ๆ จะพบกับร้านรถเข็นเล็ก ๆ ที่ขายเปาะเปี๊ยะสดมากว่า 60

Enjoy Eating for 1 Day @ ตลาดพลู อ่านเพิ่มเติม

ล้ง 1919 ตำนานท่าเรือกลไฟ 171 ปี

เพื่อน ๆ หลายคนน่าจะรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง ล้ง 1919 กันอย่างดี ล้งถือเป็น community space ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้บรรยากาศสไตล์จีนย้อนยุค มีตึกเก่า ศาลเจ้า ร้านอาหาร ร้านขายของ และมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก แต่ก่อนจะกลายมาเป็น ล้ง 1919 เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าบริเวณนี้เคยเป็นท่าเรือสำคัญมาก่อน ก่อนจะมาเป็น ล้ง 1919 ท่าเรือแห่งนี้ชื่อว่า ฮวย จุ่ง ล้ง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2393 ช่วงปลายรัชกาลที่ 3 เจ้าของคือ พระยาพิศาลศุภผล ต้นตระกูลพิศาลบุตร ท่าเรือฮวย จุ่ง ล้ง เป็นท่าเรือกลไฟและโกดังเก็บสินค้าที่เจริญรุ่งเรืองมาก โดยชาวจีนในอดีตที่เดินเรือมาทำการค้าหรือย้ายถิ่นฐานมาอยู่เมืองไทยจะต้องมาเทียบเรือและลงทะเบียนชาวต่างชาติที่ท่าเรือนี้ บริเวณท่าเรือยังมีร้านค้าและโกดังเก็บสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) พระยาพิศาลศุภผลได้ขายกิจการให้นายตัน ลิบ บ๊วย แห่งตระกูลหวั่งหลี ในตอนนั้นเศรษฐกิจซบเซาเพราะผลกระทบจากสงครามโลก รวมถึงมีการก่อตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้น จึงทำให้ท่าเรือฮวยจุ่ง ล้ง ลดความนิยมลง ตระกูลหวั่งหลีจึงปรับท่าเรือให้เป็นอาคารสำนักงานและโกดังสำหรับเก็บสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว ส่วนอาคารที่เคยเป็นร้านค้าก็กลายเป็นที่พักคนงาน กาลเวลาผ่านไปอาคารทรุดโทรมลงมากและถูกทิ้งร้างอยู่หลายปี จนในที่สุด ทายาทของตระกูลหวั่งหลีเห็นว่าอาคารแห่งนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ จึงบูรณะซ่อมแซมให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนรุ่นหลังจะได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เมื่อเดินเข้าไปในล้ง 1919 เพื่อน ๆ จะได้พบกับหมู่อาคารทรงจีนโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต จุดเด่นของล้ง คือ หมู่อาคารแบบ ซาน เหอ หยวน เป็นลักษณะอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกันเป็นทรงตัว U ภายในอาคารแบ่งเป็นห้องหลายห้อง และถูกปรับให้เป็นร้านขายของสุดเก๋และสถานที่ทำ workshop ต่าง ๆ ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่หม่าโจ้วที่อยู่มายาวนาน ตั้งแต่เริ่มสร้างท่าเรือ ซึ่งเจ้าแม่หม่าโจ้วทั้ง 3 ปางนี้ ชาวจีนได้นำข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน โดยเชื่อว่าท่านให้โชคเรื่องเงินทองและการค้าขาย นอกจากจะได้ชมความสวยงามของตัวอาคารโบราณ อีกสิ่งที่ต้องห้ามพลาดคือ ภาพจิตกรรมฝาผนังเก่าแก่ ที่บังเอิญพบตอนล้างสีอาคารเพื่อทำการบูรณะ และภาพจิตกรรมสมัยใหม่ที่รังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างกลมกลืนกับบรรยากาศเก่า ๆ ล้ง 1919 ถนนเชียงใหม่ (ซอยวัดทองธรรมชาติ) แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานครเปิดทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น.โทร. 09 1187 1919 วิธีเดินทางไปชมความสวยงามของท่าเรือประวัติศาสตร์แห่งนี้ รถไฟฟ้า BTS : ลงที่สถานีกรงุธนบุรี จากนั้นต่อรถไฟฟ้าสายสีทองไปลงที่สถานีคลองสาน เดินเข้าซอยวัดทองธรรมชาติ สุดซอยจะเจอ ล้ง 1919 เรือด่วนเจ้าพระยา : ลงที่ท่าเรือสี่พระยา แล้วนั่งเรือข้ามฟากมายังท่าเรือคลองสาน จากนั้นเดินไปซอยวัดทองธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร

ล้ง 1919 ตำนานท่าเรือกลไฟ 171 ปี อ่านเพิ่มเติม

4 ลานสเก็ตกรุงเทพฯ

ในช่วงนี้กระแสกีฬาที่กำลังมาแรงมากๆ คงหนีไม่พ้น Surfskate ที่เป็นที่นิยมในหมู่มวลทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ จะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้เกษียณก็ยังสามารถเล่นกันได้ ถือเป็นไลฟสไตล์ใหม่ของคนยุคนี้จริงๆ จะพาเซิร์ฟสเก็ตไปออกกำลังกายด้วย พาไปถ่ายรูปด้วย หรือพาไปเที่ยวด้วยก็ได้ ทำให้เกิดลานสเก็ตเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ขนาดห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก็ยังเปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่สนใจมาใช้บริการ เราก็จะมาแนะนำให้รู้จักกันแบบพอประมาณ ว่ามีที่ไหนบ้าง ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และเดินทางไปเล่นกันได้สะดวก ตามมา ตามมา Central World เปิดลานสเก็ตบอร์ดพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม. ให้ชาว Surfskate, Skateboard, Rollerblades และ Longboard ได้เล่นฟรี โดยได้มีงานเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 26-28 ก.พ. 64 ที่ผ่านมา และยังเปิดพื้นที่ให้เล่นกันต่อจนถึง 31 มี.ค. 64 นี้ ทุก ๆ วันเสาร์จะมีการแนะนำการเล่นสำหรับมือใหม่โดย Pro Skate นักกีฬาจากสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย ใครสนใจอยากรู้จัก อยากลองก็ไปที่สนามนี้กันได้ แล้วยังแวะเที่ยว แวะช็อปปิ้ง หรือจะแวะขอพรหาคู่ก็ได้ด้วยนะ Never Wave ลานสเก็ตพร้อมคาเฟ่ตึกสีขาวสุดชิค Wawa cafe and Bar at Never Normal ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ลาดพร้าวซอย 18 เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานกับลานสเก็ตแห่งนี้ โดยได้เริ่มเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง ลานสเก็ตที่นี่จะเหมาะกับนัก Surfskate ที่มีประสบการณ์การเล่นมาในระดับหนึ่งแล้ว เพราะอุปกรณ์การเล่นของสนามค่อนข้างที่จะต้องใช้ทักษะที่มากกว่าสกิลพื้นฐานในการเล่น ลานนี้โดดเด่นตรงที่มีคาเฟ่อยู่ด้วย เล่นเสร็จหิวก็เข้าคาเฟ่มานั่งดื่มน้ำ กินขนม กินอาหารกันได้ หรือจะอยากมาแค่คาเฟ่ก็มีวิวคนเล่นสเก็ตให้ดูไปด้วย ชิค ๆ ไปอีกแบบ  Wave Bank และ Wave Ramp ของลานนี้ ไม่ถึงกับเล่นยากมากนักแล้วไม่ง่ายมากนัก องศากำลังดีสำหรับสาย Wave ก็ลองมาฝึกกันที่นี่ได้นะ ลานสเก็ตบอร์ด @ สวนรถไฟ ลานสเก็ตแห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการมาแล้วหลายเดือน ถ้าอยากจะเข้าไปเล่นที่นี่ ก็ให้ไปสมัครสมาชิกกับศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศกันก่อน เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท เล่นได้ทั้งปี สมัครแล้วก็เอาบัตรสมาชิกมาลงทะเบียนก่อนเข้าสนามกันด้วยนะ ใครที่ไม่มีแผ่นก็สามารถขอยืมเล่นได้ ทางชมรม SRC เขานำบอร์ดมาให้ยืมเล่นได้แต่ก็ต้องติดต่อกับทางสตาฟชมรมกันก่อนนะ Sky Park (พระราม 9) Sky Park ลานสเก็ตบนดาดฟ้า หลังคาฟอร์จูนทาวน์ พระราม 9 ลานสเก็ตที่เกิดจากการรวมตัวของชาวเอ็กซ์ตรีมที่อยากให้มีพื้นที่สำหรับคนรักกีฬาเอ็กซ์ตรีม ไม่ว่าจะเป็น สตรีทสเก็ต เซิร์ฟสเก็ต ลองบอร์ดสเก็ต โรลเลอร์เบรด หรือแม้กระทั่งจักรยาน บีเอ็มเอ็กซ์ ซึ่งอนาคตอาจจะได้เห็นอีเวนท์ของลานนี้อีกมากมาย ลานสเก็ตนี้ก็ได้เปิดพื้นที่และอุปกรณ์สำหรับชาวสเก็ตให้ได้ลองเล่นกันหลายอย่างมากมาย และอยู่ใจกลางเมือง เดินทางได้สะดวก อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาหาร การกินก็มีครบ หรือจะเดินแวะเที่ยวก่อนก็ยังได้ เขามีสเก็ตให้เช่าด้วยนะ และถ้าใครอยากที่จะเรียนก็สามารถติดต่อกันเข้าไปได้เลย มีครูที่มีประสบการณ์คอยสอนกันแบบตัวต่อตัวเลย อุปกรณ์ก็มีให้เล่นหลายแบบ จะปั๊มแทร็ค แรมพ์ หรือเวฟแบงค์ก็มี มี Skate Shop ด้วย เผื่อใครสนใจอยากได้แผ่นใหม่ ตอนเย็นพระอาทิตย์ตก ก็จะได้แสงสวย บรรยากาศดีกันไปอีกแบบ

4 ลานสเก็ตกรุงเทพฯ อ่านเพิ่มเติม

คำแนะนำการใช้เรือโดยสาร

คำแนะนำการใช้เรือโดยสาร.แม้ว่าทุกวันนี้การเดินทางไปไหนมาไหน เราจะใช้รถเป็นพาหนะหลัก แต่ก็มีบางโอกาสเหมือนกันที่เราต้องเดินทางด้วยเรือ เช่น ล่องแม่น้ำ ล่องทะเล ข้ามฟาก ข้ามเกาะ ฯลฯ วันนี้แอดรวบรวมคำแนะนำในการโดยสารเรือมาฝาก ปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสัญจรในแม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเล.– ก่อนเดินทางควรเช็คสภาพอากาศ หากมีการพยากรณ์อากาศว่าจะมีพายุเข้า เรืออาจงดออกเดินทาง– ทุกครั้งที่โดยสารเรือ ควรสวมเสื้อชูชีพไว้ตลอดเวลา– ขณะรอเรือเทียบท่า ควรยืนรอบนท่าเรือ ไม่ยืนรอที่โป๊ะเรือ รอจนเรือจอดสนิท ผู้โดยสารขึ้นจากเรือหมดแล้ว จึงค่อยลงเรือ– ก่อนลงเรือ ควรสังเกตป้ายบอกจำนวนคนและปริมาณการรับน้ำหนัก ถ้าเห็นว่าเกินกำหนด ไม่ควรฝืน ควรรอเรือลำต่อไป– ไม่นั่งบนกราบเรือ หรือวางมือไว้บนกราบเรือ อาจเกิดอันตรายได้– ถ้าต้องโดยสารเรือเป็นประจำ ควรฝึกว่ายน้ำให้เป็น– ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เมื่อต้องโดยสารเรือ เพื่อป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจากการขาดสติ รวมทั้งเพื่อสามารถช่วยเหลือตัวเองได้หากเกิดอุบัติเหตุ.นอกจากคำแนะนำและข้อห้ามต่าง ๆ แล้ว แอดมีข้อแนะนำแถมให้อีกด้วยว่าหากเกิดเหตุเรือล่ม ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง.– หากว่ายน้ำไม่เป็น ให้ควบคุมสติ แล้วปล่อยตัวลอยน้ำรอการช่วยเหลือ– มองหาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ลอยตัวได้ เช่น ขวดน้ำพลาสติก ถังแกลลอน ไม้กระดาน– ว่ายน้ำให้ห่างจากเรือ เพราะของแข็งบนเรืออาจจะล้มใส่ ทำให้บาดเจ็บ– ถอดสิ่งของติดตัวที่จะเป็นเครื่องถ่วงทิ้ง เพื่อให้ตัวมีน้ำหนักเบาที่สุด

คำแนะนำการใช้เรือโดยสาร อ่านเพิ่มเติม

ชิม ‘เชียงคํา’ ทีละคําสองคํา ตอนที่ 2

ที่ตลาดสดเทศบาล 1 คือตลาดสดหลักของ อ.เชียงคํา ที่ไม่ได้คึกคักแค่ในตัวตลาดสดที่อยู่ในร่มเท่านั้น แต่บนถนนข้างๆ ตลาดก็ยังกลายเป็นถนนคนเดินที่มีพ่อค้าแม่ขายมาปูเสื่อ กางร่ม เข็นรถเข็นมาขายอาหารเช้าแบบสุดแสนจะน่ากินราวกับว่าไม่มีใครยอมแพ้ใครเลยทีเดียว เราเริ่มจากการเข้าไปกินอาหารเช้าในร้านดังประจําตลาดที่ปูโต๊ะให้คนนั่งกินรอบคูหาก่อนจะเดินช้อปของกิ๋นถูกใจกลับมากินต่อในมื้อกลางวัน โดยวางแผนไว้ว่าจะเอาอาหารไปปูเสื่อกินกันที่นํ้าตกดังประจําถิ่น ว่าแล้วก็ไปลุยหาอาหารกัน! เมนูที่ 1 – ก๋วยเตี๋ยวนํ้าเงี้ยว.ร้านคําเอ้ย คือร้านขนมจีนนํ้าเงี้ยวเจ้าเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในตลาด ความคลาสสิกคือมีคุณป้ายืนเด่นทําอาหารอยู่ตรงกลางเหมือนเป็นบาร์ แล้วรอบๆ คูหาก็เป็นทีนั่งกิน ซึ่งจุคนได้ราวๆ รอบละ 4-5 คนเท่านั้นจนต้องรอคิว ซึ่ง ไม่ใช่แค่บรรยากาศของร้านที่คึกคักชวนอร่อยนะ แต่คุณแม่สามีกระซิบบอกว่า ความเด็ดของร้านป้าคือเมนูก๋วยเตี๋ยวนํ้าเงี้ยว ที่เปลี่ยนจากเส้นขนมจีนมาใส่เส้นใหญ่แทน แต่เส้นใหญ่ของที่นี่หน้าตาเหมือนเส้นเล็กนะ.พอได้ที่นั่ง เราก็สั่งเมนูเด็ดที่แม่ว่ามากิน ซึ่งคอนเฟิร์มว่ามันเด็ดจริง ไม่เพียงนํ้าซุปนํ้าเงี้ยวที่อร่อยกลมกล่อม ถั่วงอกหัวโตที่ให้เติมได้เองไม่อั้น พริกคั่วหอมๆ ที่ใส่แล้วเพิ่มความอร่อยจัดจ้าน แต่ทีเด็ดจริงๆ คือเส้นใหญ่ที่เหนียวนุ่ม กลิ่นดี ซอยมาบางๆ ให้พอซึมซับเข้ากับนํ้าซุป เป็นเมนูยามเช้าที่บอกเลยว่าฟิน ถ้ามาที่นี่ต้องแวะมากิน  เมนูที่ 2 – ข้าวเกรียบปากหม้อเวอร์ชั่นพะเยา.ฟังชื่อเหมือนจะธรรมดา หากินง่ายในกรุงเทพฯ ใช่ไหม แต่ข้าวเกรียบปากหม้อของที่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย สําหรับเราเมนูนี้คือส่วนผสมของอาหารคาวและขนมหวานแบบที่เข้ากันได้ดีสุดๆ โดยในตลาดจะมีให้เลือกสองแบบคือแบบคาวกับหวาน เราเลือกแบบคาวกลับมาลองกิน สิ่งที่แปลกคือข้าวเกรียบปากหม้อที่นี่เปนไส้หน่อไม้ผัดหมูสับ ห่อด้วยแป้งบางเฉียบ โรยด้วยตั้งไฉ่ที่มีรสเค็มนิดๆ แต่ดันราดด้วยนํ้ากะทิ! พอชิมเข้าไปแล้วกลับกลายเป็นความเค็มหน่อยๆ มันนิดๆ ราดลงไปบนเท็กซ์เจอร์นุ่มนิ่ม และไส้แสนอร่อยกรุบๆ ที่สุดจะลงตัว สรุปว่าชอบจริงจังจนอยากให้มีแบบนี้ขายที่กรุงเทพฯ บ้าง  เมนูที่ 3 – แกงกระด้าง.เคยได้ยินเมนูแกงกระด้างมาบ้างเวลาไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ชิมเพราะฟังชื่อแล้วดูไม่น่าอร่อย พอมาเที่ยวพะเยาเราได้เจอขายอยู่ในตลาดแทบทุกวัน บวกกับคิดว่าวันนี้อยากได้อาหารเที่ยงที่พกพาง่ายไปกินที่นํ้าตก ก็เลยสบโอกาสได้ลองดูสักตั้ง.ความรู้ใหม่ที่เราได้เรียนรู้คือ แกงกระด้างแบบออริจินอลมันจะต้องจับตัวกันเป็นก้อนได้ด้วยไขมันจากขาหมู (ไม่ได้ใส่ผงวุ้นอย่างที่เคยคิด) แถมเป็นอาหารประจําฤดูหนาวเพราะต้องใช้ลมหนาวเป็นอาวุธในการปรุงให้มันเย็นตัวจนจับกันเป็นก้อนอย่างที่เห็น ซึ่งลองกินแล้วพบว่ากินง่ายเพราะรสชาติเหมือนแกงใส่พริกแห้ง แต่แค่เย็นกว่าและจิ้มด้วยมือเอามากินกับข้าวเหนียวได้ง่าย เป็นแกงที่กินแล้วสดชื่นเฉยเลย เมนูที่ 4 – จิ๊นงัวนึ่ง นํ้าพริกข่า.จิ๊นคือคําเรียกเมนูอาหารเหนือที่เป็นเนื้อสัตว์ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าถ้าพูดถึงจิ๊นนึ่ง มันก็คือเนื้อควายหรือวัวนึ่ง ซึ่งวิธีการทําจิ๊นนึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานาน ต้องนําไปหมักเครื่องเทศก่อนแล้วค่อยนํามานึ่งกับใบมะกรูดจนกว่าเนื้อจะเปื่อยนุ่มจนได้ที่ จิ๊นนึ่งเจ้านี้ที่เราไปเจอในตลาดถึงได้ราคาสูงกว่าเมนูอื่นๆ เป็นพิเศษ คือขีดละราวๆ 60 บาท.ความอร่อยของจิ๊นนึ่งคือรสชาติของเนื้อวัวที่หมักกับเครื่องเทศจนหอม กลิ่นชัด และต้องกินคู่กับนํ้าพริกข่าที่คั่วจนแห้งได้ที่ มันคือการผสมกันอย่างลงตัวของกลิ่นเนื้อวัวที่ย่างจนหอมและเปื่อยนุ่มกับสมุนไพรกลิ่นชัดอย่างข่า ที่หาคําอธิบายไม่ถูกแต่ควรไปลองเอง เมนูที่ 5 – หน่อยัดไส้ เมนูนี้คล้ายๆ กับคั่วหน่อไม้เวอร์ชั่นกลับมาเกิดใหม่ ในรูปลักษณ์ที่พกพาง่ายกว่า เปลี่ยนจากการผัดเป็นการยัดหมูสับหมักลงไปในหน่อไม้ แล้วปิดหน่อให้เรียบร้อยก่อนจะเอาไปชุบไข่แล้วทอดจนสุกเหลือง ตอนซื้อแม่ค้าเขาก็จะห่อใส่ใบตองมาให้เป็นแท่งยาวๆ ถ้าเอาไปกินที่บ้านจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ได้ แต่ถ้าพกไปกินข้างนอกแล้วไม่สะดวกหั่นก็ใช้ช้อนตักกินกันพอไหว รสชาติก็เป็นมิตรคล้ายๆ กับคั่วหน่อเลย เมนูที่ 6 – ข้าวเหลือง.ถ้าให้รีวิวเมนูนี้แบบสั้นง่าย ก็บอกได้เลยว่ามันคือข้าวหมกไก่ที่เปลี่ยนจากข้าวสวยมาใช้ข้าวเหนียวแทนนั่นเอง เมนูนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวไทใหญ่ และเดาว่าพะเยาน่าจะได้รับต่อมาจากเชียงรายอีกที แบบดั้งเดิมชาวไทใหญ่เขาจะใช้ดอกไม้สีเหลืองที่ชื่อดอกกู้ดในการให้สีเหลือง แต่ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะปรับมาใช้ขมิ้น เหมือนกับข้าวหมกไก่.ในมุมของรสชาติที่ลองกิน เรารู้สึกว่ามันอร่อยและไม่เหมือนข้าวหมกตรงที่รสชาติของข้าวเหนียวที่ปรุงมาแบบติดเค็มนิดๆ กินกับเนื้อไก่ที่โปะมาให้แล้วเข้ากันดี จนแทบไม่ต้องปรุงหรือจิ้มอะไรเพิ่มเลยล่ะ เมนูที่ 7 – ข้าวแรมฟืน.เมนูสุดท้ายที่ต้องเก็บไว้เป็นไฮไลต์ คือข้าวแรมฟืน ซึ่งเป็นอาหารไทลื้อที่หาทานยากและเราทําการบ้านมานานแล้วว่าถ้ามาพะเยาจะต้องมาชิมให้ได้ เพราะที่ อ.เชียงคํา มีร้านดังอยู่เจ้าหนึ่งนั่นก็คือข้าวแรมฟืนปาจิ่ง ซึ่งขายมานานกว่า 60 ปี แต่พอถึงวันที่ได้มาเที่ยว เรากลับพบว่าร้านป้าจิ่งหยุดในช่วงที่เราไปพอดี เลยต้องปลอบใจตัวเองด้วยการลองกินข้าวแรมฟืนเวอร์ชั่นร้านในตลาดเทศบาล 1 แทน.ความไม่เหมือนใครของข้าวแรมฟืน คือส่วนผสมหลักที่เป็นแป้งก้อนๆ ทําจากแป้งที่เอาไปโม่และเคี่ยว หมักทิ้งไว้ข้ามคืนจนกลายเป็นก้อน แล้วเอามาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าราดด้วยนํ้าที่คล้ายๆ นํ้ายําถึง 5 อย่าง ทั้งนํ้าเต้าหู้ยี้เคี่ยวนํ้าอ้อย นํ้าผักกาดดอง ตามด้วยนํ้าขิง ถั่วป่น และพริกแห้งตําที่คั่วจนหอม ชิมแล้วเหมือนได้กินก๋วยเตี๋ยวที่มีรสเปรี้ยวหวานเค็ม สดชื่นจนเข้าใจแล้วว่าทําไมถึงเป็นเมนูที่ชาวบ้านแถวนี้โปรดปรานกันมาอย่างยาวนาน ถึงแม้มาคราวนี้จะไม่ได้กินร้านดัง ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าได้กลับมาเที่ยวอีก ก็จะขอมาชิมฝีมือป้าจิ่งที่ร้านให้จงได้!  ปิดท้ายการรีวิว อ.เชียงคํา หลังจากที่ลงแต่รูปอาหารแบบไม่มีที่เที่ยวเลยสักนิด เลยขออวดภาพของฉันตอนพกพาอาหารพื้นถิ่นไปนั่งกินที่นํ้าตกภูซาง นํ้าตกยอดฮิตของผู้คนที่นี่ ฉันคิดว่าอาหารพื้นถิ่นนี่แหละคือเสน่ห์ของการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างพะเยา โดยเฉพาะในอําเภอเล็กๆ ที่อาจจะไม่ได้มีแลนด์มาร์กดังๆ อย่างใครเขา เพราะฉันเชื่อว่าวัฒนธรรมอาหารที่แตกต่าง คือสะพานเชื่อมโยงตัวเราเข้ากับชุมชนที่เราไม่เคยรู้จักประสบการณ์การกินอาหารพื้นถิ่นของที่นี่ ทําให้ได้เห็นความน่ารักของชุมชน ความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบ ไปจนถึงวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังหลงเหลือ และทั้งหมดนี้คือรสชาติแปลกใหม่ที่การเดินทางมักมอบให้เราเสมอ

ชิม ‘เชียงคํา’ ทีละคําสองคํา ตอนที่ 2 อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top