สถานที่ท่องเที่ยว

“ท่องเที่ยวอิ่มบุญ…สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น”

ฤดูฝนเป็นฤดูแห่งการทำนา ในระหว่างเข้าพรรษาพระภิกษุสงฆ์จะต้องจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อไม่ให้ไปเดินเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย และเนื่องจากสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงหล่อเทียนขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อถวายให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้ในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ ยามค่ำคืนตลอดช่วงเวลาของการเข้าพรรษา การนำเทียนไปถวายนั้น จะให้เดินไปถวายแบบปกติมันก็จะธรรมดาไป โลกไม่จำค่ะ ชาวบ้านจึงจัดขบวนแห่กันอย่างเอิกเกริกสนุกสนาน และปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกลายเป็นประเพณีอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ค่ะ ถ้าพูดถึงประเพณีแห่เทียนพรรษาแล้ว จังหวัดแรกที่นึกถึงคงหนีไม่พ้น จ.อุบลราชธานี เพราะที่นี่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่องการแกะสลักเทียนเป็นรูปต่างๆ อย่างวิจิตรงดงาม ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในวรรณคดี บุคคลสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ และอื่นๆ อีกมากมาย  งาน “ฮีตศรัทธาราชธานีแห่งแสงเทียน” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 28 กรกฎาคม 2561 ภายในงานจะมีกิจกรรมการแสดง แสง สี เสียงสุดอลังการ โดยขบวนแห่จะมีทั้งกลางวันและกลางคืน – แห่เทียนกลางคืน ในช่วงค่ำของวันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2561 จะมีขบวนแห่เทียนและการแสดงประกอบแสงเสียง เรื่อง “เกิดแต่อุบล” บริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม โดยวันที่ 27 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 19.00-20.30 น. ส่วนวันที่ 28 กรกฎาคม เริ่มประมาณ 18.00 น. – แห่เทียนกลางวัน วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 จุดเริ่มต้นขบวนจะอยู่บริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม เริ่มตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไปค่ะ “มหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง” ถือเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่ชาวสุรินทร์ภาคภูมิใจ เพราะเป็นวัฒนธรรมการแห่เทียนที่ยิ่งใหญ่และไม่เหมือนใคร ตักบาตรบนหลังช้างทำยังไง? ทำได้ด้วยเหรอ? ถ้าอยากรู้ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองนะคะ^^  งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2561 กิจกรรมภายในงานมีดังนี้ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ชมริ้วขบวนแห่เทียนพรรษา ขบวนฟ้อนรำศิลปวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ พร้อมกับขบวนแห่ช้างกว่า 80 เชือก  วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 เวลา 07.00 น. จะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตรบนหลังช้าง บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวางค่ะ โคราช เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการจัดงานแห่เทียนเข้าพรรษาที่มีความสวยงามและอลังการไม่แพ้ที่อื่นๆ เลยค่ะ โดยมีการจัดงานทั้งหมด 3 ที่ ได้แก่ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 จะมีการแห่เทียนพรรษาของอำเภอโชคชัยและอำเภอพิมายค่ะ (เริ่มแห่ตั้งแต่ประมาณ 13.00 น. เป็นต้นไป) โดยจะเป็นการประกวดต้นเทียนพรรษา เมื่อได้ผู้ชนะของแต่ละอำเภอแล้วทั้งหมดก็จะไปรวมตัวกันบริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีค่ะ  งานแห่เทียนพรรษาที่อำเภอโชคชัย ใช้ชื่องานว่า “เทศกาลกินหมี่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา อำเภอโชคชัย” ส่วนที่อำเภอพิมายใช้ชื่องานว่า “ประเพณีแห่เทียนพรรษา อำเภอพิมาย” ภายในงานของทั้ง 2 อำเภอจะมีมหรสพการแสดง และกิจกรรมต่างๆ มากมายค่ะ วันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2561 จะมีการจัด “งานแห่เทียนพรรษาโคราช” ณ บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เป็นการแห่เทียนพรรษาสุดยิ่งใหญ่ของชาวโคราชค่ะ (ขบวนแห่เริ่มวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น.) โดยจะนำต้นเทียนพรรษาที่ชนะจากทั้ง 2 อำเภอมาแห่ และจัดแสดงให้ชมกันค่ะ  นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแสดง แสง สี เสียง รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ของดีเมืองโคราช สินค้าโอท็อปต่างๆ มาให้เพื่อนๆ ได้เลือกชอปเลือกชิมกันตลอดงานเลยค่ะ “ประเพณียายดอกไม้” ครั้งแรกที่แอดได้ยิน็ถึงกับงงเลยทีเดียว ว่านี่คือประเพณีอะไร? ประเพณียายดอกไม้เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวเวียงจันทน์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดสิงห์บุรีค่ะ คำว่า “ยาย” นั้นเพี้ยนมาจาก คำว่า “หย่าย” ในภาษาลาว แปลว่า การแจกจ่ายหรือการให้ คำว่า “ยายดอกไม้” จึงหมายถึงการให้ หรือถวายดอกไม้แด่พระสงฆ์ เพื่อนำไปบูชาพระพุทธเจ้านั่นเองค่ะ  และในปีนี้ชาวจังหวัดสิงห์บุรีก็ได้จัดงานนี้ขึ้น ภายใต้ธีม “ตักบาตรยายดอกไม้ นุ่งซิ่นไทย-ลาวเวียง” ณ วัดจินดามณี จังหวัดสิงห์บุรี ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2561 เวลา 07.00 น.  ภายในงานมีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็น การทอดผ้าป่าดอกไม้ ถวายเทียนพรรษา ชิมอาหารถิ่นสิงห์บุรี ชมการแสดงเต้นบาสโลป และอื่นๆ อีกมากมาย แอดอยากเชิญชวนเพื่อนๆ ไปสัมผัสกับบรรยากาศวัฒนธรรมท้องถิ่นของที่นี่ดูนะคะ ว่าจะมีความงดงามแตกต่างจากวัฒนธรรมที่เพื่อนๆ คุ้นเคยมากน้อยแค่ไหนค่ะ ^^ สำหรับใครที่คิดว่าการแห่เทียนพรรษาทางบกธรรมดาไป ต้องมางานนี้เลยค่ะ “ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำ” ณ คลองลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในอยุธยา  งานจัดขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคม 2561 โดยจะเริ่มแห่ประมาณ 11.00 น. กิจกรรมภายในงานจะมีการประกวดบ้านสวนริมคลอง การแข่งขันกีฬาพื้นบ้านลาดชะโด การจัดแสดงภาพถ่ายวิถีชีวิตชาวลาดชะโด การจำลองบรรยากาศตลาดน้ำย้อนยุค และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้เพื่อนๆ ยังจะได้สัมผัสวิถีชีวิตบ้านริมน้ำอีกด้วยนะคะ “ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2561 ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารจ.สระบุรี ซึ่งเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของ จ.สระบุรี นับเป็นประเพณีที่แปลกไม่เหมือนใคร และมีเพียงแห่งเดียวอีกด้วย  โดยในยามเช้าพระสงฆ์จะเดินรับบิณฑบาตรจากพุทธศาสนิกชน ซึ่งจะนำดอกไม้ชนิดหนึ่งมาใส่บาตร ดอกไม้ชนิดนี้จะบานในช่วงเข้าพรรษาพอดี จึงได้ชื่อว่า “ดอกเข้าพรรษา” ค่ะ เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนอาจจะไม่รู้จักดอกไม้ชนิดนี้ และแอบไปเสิร์ชหารูปจากอินเตอร์เน็ตดู แต่เชื่อเถอะค่ะว่ายังไงก็ไม่สวยเท่าไปเห็นด้วยตาตัวเองหรอกนะคะ ต้องลองไปสัมผัสดูค่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่อยากเดินทางไปต่างจังหวัด วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่จัดกิจกรรมเข้าพรรษาค่ะ

“ท่องเที่ยวอิ่มบุญ…สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น” อ่านเพิ่มเติม

เรียนรู้การทำเทียน ที่ศูนย์การเรียนเทียนพรรษาศรีประดู่

ประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอย่างยิ่งใหญ่และสวยงามเป็นประจำทุกปี ด้วยเหตุนี้ทำให้ศูนย์การเรียนเทียนพรรษาศรีประดู่ จ.อุบลราชธานี ได้รับการก่อตั้งขึ้น โดยเปิดให้นักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไปเข้ามาศึกษาและเรียนรู้การทำเทียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ศูนย์การเรียนเทียนพรรษาศรีประดู่ เป็นศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาไทย ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี  ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2547 โดยอาจารย์สมคิด สอนอาจ ซึ่งเป็นช่างทำเทียนพรรษาของวัดศรีประดู่ ผู้สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมานานกว่า 50 ปี  โดยเริ่มแรกอาจารย์สมคิดได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การทำต้นเทียนพรรษาทั้งประเภทแกะสลักและติดพิมพ์ให้แก่ลูกๆ ของท่าน ต่อมาได้เปิดสอนการทำเทียนพรรษาให้แก่เด็กนักเรียน เยาวชน คนในชุมชน นักท่องเที่ยว และผู้สนใจทั่วไป ให้มาเรียนรู้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นอกจากจะเรียนฟรีแล้ว ยังมีผู้เชียวชาญเรื่องการทำเทียนมาคอยให้คำแนะนำการทำแต่ละขั้นตอนอย่างใกล้ชิดด้วย คุณพ่อคุณแม่สามารถพาเด็กๆ มาเรียนรู้และทดลองลงมือทำด้วยตัวเองได้ ทั้งสนุก ได้ความรู้ และได้ร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษ และยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กับคนรุ่นใหม่อีกด้วย เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย เด็กทำได้ ผู้ใหญ่ทำดี นอกจากจะได้เรียนรู้วิธีการทำเทียนพรรษาแล้ว หากมาที่ศูนย์ฯ ในช่วงนี้ เรายังจะได้เห็นภาพการร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านในชุมชน ที่ช่วยกันทำต้นเทียนพรรษาเพื่อเข้าร่วมขบวนในงานแห่เทียนเข้าพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปี 2561 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-28 กรกฎาคมนี้ได้อีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมศูนย์การเรียนเทียนพรรษาศรีประดู่เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00-17.00 น.โทร. 081 069 5191หากมาเป็นหมู่คณะ กรุณาโทรแจ้งศูนย์ฯ ล่วงหน้า การเดินทางจากทุ่งศรีเมือง ขับตามถนนพโลรังฤทธิ์ไปจนสุดทาง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบูรพานอก จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นซุ้มประตูวัดศรีประดู่ทางขวามือ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสรรพสิทธิ์ ขับไปประมาณ 100 เมตร จะถึงศูนย์การเรียนเทียนพรรษาศรีประดู่พิกัด : https://goo.gl/maps/UGD7cZkUtnH2

เรียนรู้การทำเทียน ที่ศูนย์การเรียนเทียนพรรษาศรีประดู่ อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวหน้าฝน เพชรบูรณ์ – พิษณุโลก 3 วัน 2 คืน

ที่แรกเราออกจากกรุงเทพฯ พามาสูดไอดิน ฟินกับกลิ่นหมอกฝนกันที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง  อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีพื้นที่ครอบคลุมหลายอำเภอใน 2 จังหวัด ได้แก่ อ.วังทอง อ.นครไทย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก และ อ.เขาค้อ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์  บริเวณอุทยานฯ มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ปั่นจักรยานเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนา ชมฝูงผีเสื้อป่า ชมแมงกะพรุนน้ำจืด (แมงกะพรุนน้ำจืดหาชมได้เฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน)  (ภาพถ่ายจากจุดชมวิวทุ่งแสลงหลวง) กิจกรรมปั่นจักรยานมีให้เลือก 2 แบบ คือ ปั่นจักรยานชมทุ่งหญ้าสะวันนา เส้นทางหนองแม่นา-ทุ่งนางพญา ระยะทาง 15 กิโลเมตร หรือถ้าใครชอบ slow life ก็สามารถปั่นจักรยานชมธรรมชาติในบริเวณอุทยานฯ ได้  อุทยานฯ มีจักรยานให้เช่า ราคาชั่วโมงละ 50 บาท และทั้งวัน 200 บาท กิจกรรมชมฝูงผีเสื้อป่า เพื่อนๆ จะต้องเช่าเรือของชาวบ้านชุมชนหนองแม่นาเพื่อออกไปชมที่เกาะกลางน้ำ โดยฝูงผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวที่ลงมากินโป่งหรือแร่ธาตุในดิน จะมีให้ชมเยอะที่สุดในช่วงหน้าฝนนี้แหละ กลุ่มชุมชนหนองแม่นา โทร. 081 046 2166, 087 432 1714 (คุณสมพงศ์) ค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 300 บาท การเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรี จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 21 จนถึงบ้านนางั่ว อำเภอหล่มสัก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2258 ขึ้นเขาค้อ วิ่งผ่านพระตำหนักเขาค้อ ตรงไปจนถึงหน่วยจัดการอุทยานฯ ทุ่งแสลงหลวง ที่1 (หนองแม่นา) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 โมง วันแรกเราตั้งเต็นท์พักแรมกันที่อุทยานฯ โดยอุทยานฯ มีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ 2 จุดคือ 1. บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ หนองแม่นา – มีบ้านพัก 7 หลัง ราคา 2,100 – 5,000 บาท– เต็นท์ให้เช่า ราคา 285 บาท (พักได้ 3 คน) – หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ ราคา 30 บาท/คน/คืน  2. บริเวณที่ทำการอุทยานฯ – มีบ้านพัก 7 หลัง ราคา 1,000 – 5,000 บาท– เต็นท์ให้เช่า ราคา 285บาท (พักได้ 3 คน) – หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ ราคา 30 บาท/คน/คืน เช้าวันที่สองพวกเราออกจากอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงกันตั้งแต่เช้า เพื่อไปชมทุ่งกะหล่ำปลีกันที่ภูทับเบิก แอดใช้ทางหลวงหมายเลข 12 วิ่งกลับมาที่แยกน้ำก้อ ระหว่างทางจะผ่านวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว มุมนี้ช่วงหน้าฝนสวยจริงๆ ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เพื่อนๆ สามารถเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยให้เหมาะสมกับสถานที่ บริเวณรอบๆ เจดีย์ เต็มไปด้วยภาพปริศนาธรรมหลากหลายที่แฝงไปด้วยหลักคำสอนมากมายให้ได้ศึกษาเรียนรู้ บริเวณระเบียงทางเดินชั้นบนของเจดีย์สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง รวมทั้งจะมองเห็นพระมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่มีสายหมอกพาดผ่านและทิวเขาอันสวยงามเป็นฉากหลัง  นอกจากนี้ เพื่อนๆ ยังสามารถเดินชมประติมากรรมต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดได้ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสวยงามไม่แพ้กัน  เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.พิกัด : https://goo.gl/maps/9dhiz3Z34V52 จากสี่แยกบ้านน้ำก้อ พวกเราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2372 จากนั้นวิ่งตรงไปจนถึงแยกทับเบิก และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2331 วิ่งตรงขึ้นภูทับเบิก ภูทับเบิกเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง ที่เรียกได้ว่าเป็นไร่กะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่นี่จะปลูกกะหล่ำปลีลดหลั่นเป็นแถวเป็นแนวตามสันดอย เวลาออกดอกมองไปจะดูสวยงามเหมือนดอกไม้ยักษ์สีเขียวเต็มพื้นที่ไปหมด นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาชมแปลงกะหล่ำพร้อมทั้งถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้ไปโพสต์ให้ชาวโซเชียลได้รู้ว่า มาเยือนภูทับเบิกแล้ว  ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ…ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิวภูทับเบิก หลังจากจุดนี้พวกเราลงจากภูทับเบิกและมุ่งหน้าไปต่อกันที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก โดยวิ่งต่อจากภูทับเบิกไปทางจุดชมวิวภูแผงม้า ทางหลวงหมายเลข 2331 จนถึงที่ทำการอุทยานฯ เช้าวันที่ 3 (ภาพถ่ายจากจุดชมวิวทะเลหมอกลานหินปุ่ม) เมื่อวานจากภูทับเบิกเรามาถึงภูหินร่องกล้ากันในช่วงเย็น และค้างคืนกันที่อุทยานฯ  อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เป็นอุทยานฯ ที่อยู่บนพื้นที่รอยต่อของ 3 จังหวัด ในอดีตนั้นเคยเป็นสมรภูมิรบอันยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน วันเวลาผ่านไปควันไฟแห่งสงครามจางหาย เหลือเพียงความสงบ ร่มรื่น และความสวยงามของธรรมชาติป่าเขา จุดที่นักท่องเที่ยวไปแล้วต้องห้ามพลาดก็คือ ลานหินปุ่ม ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าจากลานจอดรถไปประมาณ 1.2 กิโลเมตร เป็นลานหินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะเต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำเป็นบริเวณกว้างดูแปลกตา ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินโดยธรรมชาติ จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้อย่างเต็มตาและสวยงาม จากลานหินปุ่ม พวกเราพามาชมร่องรอยประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่ภูหินร่องกล้าเคยเป็นฐานที่มั่นของการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ เรียกกันว่า “โรงเรียนการเมืองการทหาร” อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 6 กิโลเมตร  ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีบ้านพักฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ และสถานพยาบาล กระจายตัวอยู่ใต้ร่มไม้แน่นทึบ ประมาณ 30 หลัง บริเวณใกล้เคียงยังมีสุสานทหาร และกังหันน้ำที่เป็นเครื่องทุ่นแรงในการตำข้าวโดยไม่ต้องใช้แรงงานคน ไว้ให้ชมและนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกด้วย ปิดท้ายกันด้วยความชุ่มฉ่ำ ช่วงฝนๆ แบบนี้ต้องไม่พลาดชมน้ำตกหมันแดง ความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในป่าใหญ่ น้ำตกมีทั้งหมด 8 ชั้น แต่ละชั้นจะอยู่ใกล้ๆ กันและมีความสวยงามแตกต่างกันไป ระยะทางไป-กลับน้ำตกรวมแล้วประมาณ 7 กิโลเมตร ดูแล้วต้องฟิตร่างกายกันมากเลยล่ะค่ะ *การเข้าไปชมน้ำตกหมันแดงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางด้วยนะคะ*  นอกจากลุยป่ากันไปชมน้ำตกหมันแดงแล้ว ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่ก็คือ การชมดอกลิ้นมังกรนั่นเอง การชมดอกลิ้นมังกร จะต้องขึ้นไปที่น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 5 ระยะทางประมาณ 1-3 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้น ใช้เวลาราว 1-2 ชั่วโมง

เที่ยวหน้าฝน เพชรบูรณ์ – พิษณุโลก 3 วัน 2 คืน อ่านเพิ่มเติม

อยากพาเธอไปเจอ “เขา”

อุทยานหินเขางู ตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น. การเดินทาง– รถยนต์ จากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 3087 (ราชบุรี-จอมบึง-สวนผึ้ง) ห่างจากตัวเมืองราชบุรีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 8 กิโลเมตร เมื่อถึงสี่แยกให้เลี้ยวขวา จากนั้นขับไปประมาณ 1 กิโลเมตร อุทยานหินเขางูจะอยู่ทางซ้ายมือหรือจากวัดหนองหอย ใช้ทางหลวงหมายเลข 3089 อุทยานหินเขางูจะอยู่ทางขวามือ – รถโดยสาร มีรถโดยสารประจำทางจากตัวเมืองราชบุรีมายังอุทยานหินเขางู ท่ารถอยู่หน้าธนาคารออมสิน ใกล้ตลาดสนามหญ้า ริมแม่น้ำแม่กลอง พิกัด https://goo.gl/maps/48ywbyKGNR62 เมื่อมาถึงอุทยานหินเขางู สิ่งแรกที่เราจะเจอก็คือสะพานแขวนค่ะ บอกเลยว่านี่คือไฮไลท์ สะพานแขวนนี้เป็นสะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามบึงน้ำและเชื่อมไปยังทางเดินรอบแนวทิวเขาหินปูนของเขางู ถือเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เลยที่เดียว ต้องห้ามพลาดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันนะคะ ความสวยงามของที่นี่อยู่ที่บึงน้ำขนาดใหญ่โอบล้อมด้วยภูเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่าน เราสามารถเดินชมบึงน้ำและภูเขาได้โดยการเดินลัดเลาะไปตามทางเดินรอบบึงซึ่งทำไว้อย่างสวยงาม ระหว่างทางเพื่อนๆ ยังสามารถแวะทักทายเจ้าฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมากันอย่างชุกชุมได้อีกด้วยค่ะ หลังจากเดินชมบรรยากาศที่สวยงามโดยรอบแล้ว เพื่อนๆ อาจจะเหนื่อยล้าและอยากนั่งพัก ภายในอุทยานแห่งนี้ก็มีศาลาพักกายพักใจไว้คอยให้เพื่อนๆ ได้ใช้หลบแดดหลบฝนกันด้วยค่ะ บริเวณพื้นโดยรอบศาลามีการนำหินชนิดต่างๆ หลากหลายสีมาประดับตกแต่งดูสวยงามแปลกตา ไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนก็จะได้ภาพชิคๆ เก๋ๆ ยิ่งถ่ายมุมสูงแบบนี้แอดว่าก็สวยไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะคะ นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว แอดก็อยากจะแนะนำกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนอุทยานหินเขางู นั่นก็คือการปั่นเรือถีบในบึง รับลมเย็นๆ ค่ะ ถ้าได้มานั่งปั่นเรือถีบกับคนรู้ใจคงจะโรแมนติกสุดๆ เลยล่ะค่ะ เฮ้ออ…พูดแล้วก็อิจฉาคนมีคู่จริงๆ เล้ยย แต่ไม่เป็นไร แอดไม่ได้ปั่นเรือกับเค้า ก็ปั่นกับเขา(งู)ก็ได้ค่าาา ฮ่าๆๆๆ สิ่งที่น่าสนใจภายในบริเวณอุทยานหินเขางูยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะที่นี่ยังมีพระพุทธรูปปางลีลาแบบนูนต่ำขนาดใหญ่ที่สร้างโดยการยิงแสงเลเซอร์บนหน้าผาหิน ทำให้อุทยานแห่งนี้แลดูโดดเด่นยิ่งขึ้น นอกจากนี้บนภูเขาในบริเวณนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีประเภทถ้ำอยู่หลายแห่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ได้แก่ ถ้ำฤาษี ถ้ำฝาโถ ถ้ำจาม และถ้ำจีน ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปเก่าแก่ศิลปะทวารวดีสลักอยู่บนผนังถ้ำ ถ้าเพื่่อนๆ มีเวลา ก็อยากแนะนำให้ไปเยี่ยมชมกันค่ะ แต่ต้องฟิตร่างกายกันนิดนึงนะคะ เพราะถ้ำอยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นบันไดไปค่อนข้างสูงเลยล่ะค่ะผู้แต่ง

อยากพาเธอไปเจอ “เขา” อ่านเพิ่มเติม

กาดกองต้า (ลำปาง) วันวานยังหวานอยู่

กาดกองต้า (ลำปาง) วันวานยังหวานอยู่ กาดกองต้าถนนคนเดินหรือถนนตลาดจีน เดิมบริเวณนี้เป็นชุมชนทางเศรษฐกิจที่มีอายุกว่าร้อยปี ตั้งอยู่ริมน้ำวัง ซึ่งถือเป็นชัยภูมิชั้นดี ต่อมาได้พัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าขายและส่งผ่านสินค้าสำคัญของเมืองลำปาง ในปี พ.ศ. 2459 ศูนย์กลางการค้าแห่งนี้ถูกลดบทบาทลง เนื่องจากมีการตัดเส้นทางรถไฟสายเหนือมาถึงลำปาง ผู้คนในจังหวัดจึงขยายถิ่นฐานไปตั้งอยู่รอบๆ สถานีรถไฟ ก่อเกิดชุมชนใหม่ที่เรียกว่า “ชุมชนเก๊าจาว” ปล่อยชุมชนกองต้าให้อยู่กับความเงียบเหงา จนในปัจจุบันที่นี่ได้หวนกลับมาเป็นย่านการค้าที่สำคัญอีกครั้ง โดยความตั้งใจของชาวลำปางที่ต้องการอนุรักษ์วันวานและสร้างสีสันให้เมืองนี้น่าเที่ยว ถนนคนเดินกาดกองต้า สองข้างทางเรียงรายด้วยตึกเก่าอันทรงคุณค่า โดยสถาปัตยกรรมเหล่านี้มีทั้งศิลปะตะวันตก พม่า-ไทใหญ่ และจีนซึ่งยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี นอกจากจะได้เลือกซื้อหาสินค้าพื้นเมือง สินค้าทำมือ อาหารพื้นบ้าน สินค้าที่ระลึกแล้ว ยังมีการแสดงวัฒนธรรมบนลานกิจกรรมที่พร้อมพาทุกคนย้อนอดีตกลับไปสู่วันวานที่เคยรุ่งเรืองของลำปางอีกครั้ง กาดกองต้าเปิดทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 22.00 น.

กาดกองต้า (ลำปาง) วันวานยังหวานอยู่ อ่านเพิ่มเติม

ร้อนนี้ไป “เลย” เที่ยวนาแห้ว

วันนี้แอดมินจะพามาทำความรู้จักอำเภอนาแห้วให้มากขึ้น แล้วจะรู้ว่าอำเภอนาแห้วไปฤดูไหน ก็ไม่แห้วแน่นอน อำเภอนาแห้วอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดเลย เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีความสงบและเรียบง่าย มาอำเภอนี้ไม่ต้องตามหาต้นแห้วให้เหนื่อย เพราะเขาไม่ได้ปลูกแห้วกัน ถ้าเที่ยวช่่วงหน้าฝนและหน้าหนาว จะได้เจอกับทุ่งนาเขียวขจีเต็มสองข้างทาง แต่ถ้าเที่ยวช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อาจจะได้เจอกับทุ่งนาสีทองอร่าม บวกกับวิวเทือกเขาสลับซับซ้อน ที่สวยงามไม่แพ้กัน ขอบคุณภาพจาก https://www.thetrippacker.com/ สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอำเภอนาแห้วคือ อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย ช่วงหน้าร้อน ที่นี่มีวิวภูเขาสวยๆให้ดู และไม่ต้องไปแย่งมุมถ่ายรูปกับใคร วิวบนภูสวนทรายมันก็จะฟ้าใสๆ ภูเขาเยอะๆหน่อย บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีบ้านพักและเต้นท์ให้บริการ แต่ถ้าใครชอบออกแรง แอดมินแนะนำให้ไปที่ เนิน 1408 บนตีนภูสวนทราย อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,408 เมตร เป็นจุดกางเต็นท์สูงที่สุดในอีสาน ถ้าได้ไปกางเต็นท์ สัมผัสอากาศเย็นๆบนภู พร้อมดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรงนั้น โอ๊ยยยย คงจะฟินไม่ใช่น้อย น่าไปขนาดนี้รออะไร ติดต่ออุทยานฯภูสวนทรายได้เลยที่ 042 807 616 , 094 23 92498 หลังจากปีนภูมาเหนื่อยๆ เรามาดับร้อนกันสักหน่อยที่น้ำตกตาดเหือง อยู่ภายในเขตอุทยานภูสวนทรายนี้แหละ นักท่องเที่ยวสามารถขับรถไปถึงน้ำตกได้เลย น้ำตกตาดเหือง มีความลดหลั่นลงมา 3 ชั้น สูงประมาณ 50 เมตร เป็นน้ำตกที่แบ่งเขตพรมแดนไทย-ลาว จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกไทย-ลาว จุดชมวิวที่น่าสนใจอีกจุดคือ ภูหัวฮ่อม ในช่วงหน้าร้อนคงไม่ได้เจอกับทะเลหมอก แต่อย่าเพิ่งเสียใจไป ยังมีพระอาทิตย์สวยๆยามเช้าให้ดูเป็นขวัญตา เกือบลืมไป!! ที่นี่มีจุดให้กางเต็นท์ให้นอนเฝ้าพระอาทิตย์ขึ้นด้วยนะ ติดต่อเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ฯภูหัวฮ่อมตามเบอร์นี้ 086 066 4147 ยัง ยังไม่จบจากเรื่องภูๆ ผาๆ เพราะจังหวัดเลยขึ้นชื่อเรื่องภูเขา แอดจึงไม่อยากให้พลาดที่แห่งนี้ ผาหมวก สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเปิดตัวมาได้ไม่กี่ปี ช่วงหน้าหนาวนักท่องเที่ยวขึ้นมาดูทะเลหมอกกันเพียบ มาช่วงหน้าร้อนนี้สิดี อยากเห็นวิวสวยก็ต้องออกแรงกันนิดหน่อย เดินขึ้นเขาประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างนั้นก็สามารถเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติตลอดสองข้างทางได้ ผาหมวกหน้าร้อนอาจจะเห็นหมอกไม่เยอะ แต่จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นภูเรือและวิวพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ไม่จำเป็นต้องแย่งดูวิวกับใคร ถ่ายรูป โพสท่านานแค่ไหนก็ได้ บริเวณด้านล่างผาหมวกมีที่จอดรถ ลานกางเต็นท์ให้บริการ แต่อาหารและน้ำดื่มต้องเตรียมไปเอง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลนาแห้ว เบอร์ 042 897 082 ในเวลาราชการ วัดโพธิ์ชัยนาพึง ตั้งอยู่ในตำบลนาพึง สันนิษฐานว่าสร้างประมาณปลายกรุงศรีอยุธยา มีอายุ 400 กว่าปี ภายในกุฏิเจ้าอาวาสเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์แสน พระพุทธรูปโบราณที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาหลายชั่วอายุคนในช่วงเช้าๆชาวบ้านตะเดินถือตะกร้า ปิ่นโตและพากันมาทำบุญที่วัดแห่งนี้ ภายในและภายนอกวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติและวรรณกรรมท้องถิ่น ซึ่งภาพวาดมีบางส่วนที่เลือนไปบ้าง แต่ส่วนที่เหลือไม่ได้มีการลงสีเพิ่มใดๆ ถือว่าเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียว พระพุทธรูปองค์แสน พระพุทธรูปโบราณที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาหลายชั่วอายุคน หอพระไตรปิฎกไม้เก่าแก่ภายในวัดมีลักษณะแปลกตาและสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหอพระไตรปิฎกที่สูงที่สุดในประเทศไทย  วัดศรีโพธิ์ชัยแสงภา ตั้งอยู่ในตำบลแสงภา สร้างขึ้นพร้อมๆกับวัดโพธิ์ชัยนาพึง พระอุโบสถมีลักษณะคล้ายวัดเชียงของ ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ภายในประดิษฐานหลวงพ่อเพชรในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์จะมีประเพณีแห่ต้นดอกไม้ที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี

ร้อนนี้ไป “เลย” เที่ยวนาแห้ว อ่านเพิ่มเติม

เที่ยวสองวัน ณ เมืองสองแคว

คำว่า “สองแคว” มาจาก จ.พิษณุโลกนั้นตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำน่าน กับแม่น้ำแควน้อยนั่นเอง เที่ยว สองวัน ณ เมือง สองแควตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวตามแบบเพื่อนร่วมทาง.วันแรก เช้า– วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร– ศาลสมเด็จพระนเรศวร– ศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์.บ่าย– นั่งชิงช้าบนต้นไม้รูปหัวใจ ที่บ้านสวนชมวิว บ้านรักไทย– ชมวิวภูเขาหินปูนล้านปี อ.เนินมะปราง– ชมค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำ ที่บ้านมุง เนินมะปราง– พักตัวเมืองพิษณุโลก.วันที่สองเช้า– สักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ อ.นครไทย– ชมต้นจำปาขาว 700 ปี ที่วัดกลาง อ.นครไทย– ล่องแพแก่งไฮ อ.นครไทย.บ่าย– ร้านกาแฟ Sappraiwan Elephant Cafe– เดินทางกลับ กทม เริ่มต้นกันด้วยการมากราบสักการะบูชาพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเมืองสองแควอย่าง พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่ชาวเมืองพิษณุโลกเรียกกันว่า วัดใหญ่ หรือ วัดพระศรี .พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศ.ด้านหลังวิหารพระพุทธชินราชเป็นพระปรางค์ประธาน ศิลปสมัยอยุธยาตอนต้น เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัยแท้ ต่อมาถูกแปลงให้เป็นพระปรางค์ในสมัยอยุธยา .ถ้าเพื่อนๆ ไปอยุธยา กับลพบุรี แล้วยังนึกภาพพระปรางค์ที่สมบูรณ์แบบในอดีตไม่ออก ต้องมาดูที่นี้เลย หลังจากไหว้พระคู่บ้านคู่เมืองสองแควกันแล้ว ก็อย่าลืมมาสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งในอดีตที่นี่เป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และปัจจุบันกรมศิลปากรได้จัดสร้างศาลาทรงไทยโบราณตรีมุข โดยมีพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชขนาดเท่าองค์จริง ประทับนั่งพระหัตถ์ทรงพระสุวรรณภิงคารหลั่งน้ำ ในพระอิริยาบถประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ใกล้ๆกันอีกหนึ่งสถานที่ แนะนำเยี่ยมชมพระราชวังจันทน์พระราชวังโบราณ เป็นสถานที่เสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อทรงดำรงตำแหน่งอุปราช โดยในขณะนั้นเมืองพิษณุโลกมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของกรุงศรีอยุธยา  นอกจากนี้ยังมีศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ เป็นอาคารจัดแสดงเนื้อหาที่เกียวกับพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก และพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากไปเที่ยววัด เที่ยววังกันในช่วงเช้าแล้ว บ่ายๆแบบนี้ไปหาอะไรสนุกๆทำกันดีกว่า…ไปนั่งชิงช้าบนต้นไม้รูปหัวใจชมวิวสวยๆกัน โดยจากตัวเมืองมุ่งหน้าสู่บ้านรักไทย อำเภอเนินมะปราง ชิงช้าต้นไม้ที่ว่านี้อยู่ที่บ้านสวนชมวิว หนึ่งในโฮมสเตย์ของบ้านรักไทย ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาพักโฮมสเตย์ก็สามารถไปนั่งชิงช้าชมวิวได้ นอกจากนั่งชิงช้าต้นไม้ยังมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น โหนสลิงโล้ชิงช้า หรือนั่งรถสามล้อพวงเที่ยวชมวิว ชมวิถีชีวิตชาวบ้านรักไทย ถ้าอยากมาลองนั่งชิงช้าต้นไม้ชมวิวและทำกิจกรรมอื่นๆด้วย ติดต่อได้ที่ บ้านสวนชมวิวภูรักไทย หมู่บ้านรักไทย ต.ชมภู โทร. 087 207 5736, 061 368 1180 กิจกรรมอีกอย่างที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงอำเภอเนินมะปรางคือ ไปชมวิวภูเขาหินปูนล้านปี ที่บ้านมุง บอกเลยว่าภูเขาสวย อลังการมาก ถ้าให้ดีต้องลองนั่งรถอีแต๊กที่ชาวบ้านบริการหรือนำจักรยานมาปั่นเองในช่วงยามเย็น จะได้สัมผัสบรรยากาศพระอาทิตย์ตก และธรรมชาติที่สวยงามของบริเวณนั้น หากใครอยากลองนั่งรถอีแต๊กชมภูเขาหินปูนล้านปี ติดต่อได้ที่ คุณพิษณุชัย ทรงพุฒิ โทร. 085 400 1727 จบการเดินทางของวันนี้ ด้วยการไปชมค้างคาวนับล้านบินออกจากถ้ำไปหากิน ตอนเวลาประมาณ 18.00 – 19.00 น. แอดมินแนะนำให้ไปตามพิกัดนี้เลย จะเห็นค้าวคาวและวิวภูเขาหินปูนล้านปีได้ชัดเจนที่สุด https://goo.gl/maps/DwAktRAZPQQ2 / พิกัด GPS 16°33’44.4″N 100°41’31.8″E วันที่ 2เดินทางมาสักการะอนุเสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาว ที่ อ.นครไทย.พ่อขุนบางกลางหาว หรือต่อมาคือ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ซึ่งบ้านของพระองค์ก่อนจะเป็นกษัตริย์ เชื่อกันว่าอยู่ในบริเวณ อ.นครไทยนี้เอง.เพื่อเป็นการระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์จึงได้มีการสร้างอนุเสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวขึ้น.นอกจากนั้นยังมีมีต้นจำปาขาวเก่าแก่กว่า 700 ปี โดยมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวอยู่ใต้ต้นจำปาขาว ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นจำปาที่พ่อขุนบางกลางหาวปลูกไว้ สถานที่ถัดมา จะพาไปนั่งชิวๆ รับลมเย็นๆกลางอ่างเก็บน้ำกันกับกิจกรรม “ล่องแพแก่งไฮ” ที่อ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้ .อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อน ล่องแพไม้ไผ่ แพหนึ่งสามารถนั่งได้ประมาณ 10 คน โดยชาวบ้านจะใช้เรือหางยาวลากแพไปไว้กลางอ่างเก็บน้ำ หลังจากนั้นจะให้แพลอยเรื่อยๆอยู่กลางน้ำ นั่งรับลมเย็นสบายกลางอ่างเก็บน้ำ บนแพจะมีเสื้อชูชีพบริการ .สามารถเล่นกระโดดน้ำหรือ จะเช่าห่วงยางมาเล่นน้ำก็ได้เช่นกัน น้ำที่นี่ใสและสะอาดน่าเล่นมากๆ มีเรือเป็ด เรือเล็กให้เช่า หรืออยากลองนั่งตกปลาก็ทำได้เช่นกัน.ค่าบริการ วันธรรมดา 300/4 ชม. วันหยุด 500/4 ชม.แพเปิดบริการทุกวัน มีบริการตอนกลางคืน คิดค่ากางเต้นนอนท่านละ 100 บาท.โทรศัพท์ : 087-200-9941.การเดินทาง : จากตัวเมืองพิษณุโลก ใช้เส้นทางหมายเลข 12 ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 80 กม. ถึงสามแยกเข้านครไทย เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 2013 อีกประมาณ 13 กม. จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านแก่งไฮ ไปอีกประมาณ 7 กม. ถึงอ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้ ก่อนกลับเรามาแวะกันร้านกาแฟสุดชิคอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสุดๆ ร้านกาแฟ Sappraiwan Elephant House Lake View Cafe (ทรัพย์ไพรวัลย์) ตั้งอยู่ภายในทรัพย์ไพรวัลย์ แกรนด์โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จ.พิษณุโลก ที่นี่มาในคอนเซ็ป ” จิบกาแฟ ดูช้างเล่นน้ำ ” ที่นี่มีกิจกรรมร่วมกับช้างในทุกๆวันเสาร์-อาทิตย์ เช่น กิจกรรมทำเเซนวิชให้ช้าง เรียกได้ว่าทั้งอิ่มและสนุก แฮปปี้สุดๆไปเลย ร้านเปิดบริการตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. (ปิดทุกวันพุธ)โทร. 081 533 7288

เที่ยวสองวัน ณ เมืองสองแคว อ่านเพิ่มเติม

ข้าวเหนียวสังขยาหน้าควายลุย

“ข้าวเหนียวสังขยาหน้าควายลุย” ที่ตลาดนัดชุมชนวัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ตลาดนัดชุมชนวัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท “ข้าวเหนียวสังขยาหน้าควายลุย” ที่ตลาดนัดชุมชนวัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท “ข้าวเหนียวสังขยาหน้าควายลุย” ที่ตลาดนัดชุมชนวัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท “ข้าวเหนียวสังขยาหน้าควายลุย” ที่ตลาดนัดชุมชนวัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท

ข้าวเหนียวสังขยาหน้าควายลุย อ่านเพิ่มเติม

ถนนสายดอกไม้ จังหวัดสุพรรณบุรี

“ตาเบบูญ่า” หรือ “เหลืองปรีดียาธร” ถนนสายดอกไม้ยามเย็น ช่วงพระอาทิตย์ตกที่ให้แสงงดงามแปลกตา  ถนนสายดอกไม้ จังหวัดสุพรรณบุรี

ถนนสายดอกไม้ จังหวัดสุพรรณบุรี อ่านเพิ่มเติม

รวม 8 ที่เที่ยวสไตล์สายฮิป…ที่กาฬสินธุ์

อย่างที่รู้กันว่าการเดินทางในภาคอีสานยังไม่ค่อยสะดวกเพราะที่เที่ยวแต่ละที่อยู่ไกลกันแถมรถโดยสารก็ไม่ค่อยมี แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา เราบินมาลงที่ จ.ร้อยเอ็ด แล้วเช่ารถขับเอง จากร้อยเอ็ดไปกาฬสินธุ์แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มาดูกันว่าเรามาทำอะไรบ้างที่กาฬสินธุ์ 1. เดินดูบ้านไม้เก่าในเมือง เราชอบเดินดูบ้านเรือนตึกเก่า ๆ ถ่ายรูปประตูหน้าต่างสวย ๆ ที่กาฬสินธุ์จะมีย่านวัดกลาง ที่เป็นบ้านไม้เก่าแก่อายุ 80-100 ปี ที่ผู้คนยังอาศัยอยู่ แต่มีบางบ้านก็ร้างไปแล้ว รถราที่นี่ยังไม่เยอะเลยเดินเล่นได้อย่างชิว ๆ ใครอยากมาเดินเล่นให้มาตรงวัดกลางแล้วเดินเล่นรอบ ๆ วัดได้เลย 2. นั่งชิวร้านกาแฟ ในเมืองเล็กๆ เราคิดว่าน่าจะมีร้านกาแฟเก๋ ๆ อยู่ที่ไหนซักที่ เราเดินมาเจอร้าน Cafe de Supak กับร้าน Hug a Mug cafe ซึ่งจัดว่าดีงามทั้งสองร้าน เริ่มที่ Cafe de Supak เป็นร้านเก๋ ๆ อยู่แทบจะใจกลางเมือง ชั้นบนเป็นโรงแรมชั้นล่างทำเป็นร้านกาแฟที่รีโนเวทซะทันสมัย นอกจากกาแฟ แล้วยังมีเมนูทั้งคาวหวาน เค้ก ฮันนี่โทสต์ วันนั้นเราสั่งมัจฉะลาเต้ อร่อยใช้ได้เลยล่ะ ดื่มไปนั่งชิว ๆ ชมวิวนอกร้านแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว  ร้าน Hug a Mug Cafe ร้านกาแฟอีกร้านที่ตกแต่งได้ทันสมัยในสไตล์อิฐสีขาว ๆ หน้าร้านจะประดับด้วยต้นเฟิร์นร่มรื่นเชียวล่ะ ที่นี่มีทั้งขนมเค้ก และเครื่องดื่มหลายเมนูให้เลือก ใครเดินเล่นเมื่อย ๆ แล้วมาหยุดนั่งพักได้ที่ร้านนี้ 3. ซื้อผ้าแพรวา เราชอบสะสมผ้าพื้นเมืองแบบ “ของมันต้องมี” เห็นผ้าไทยที่ไหนไม่ได้ ต้องขอซื้อติดไม้ติดมือกลับมาก่อน ใส่ไม่ใส่ค่อยว่ากัน ยิ่งผ้าไหมแพรวาสวยๆ ผ้าขึ้นชื่อเอกลักษณ์ของกาฬสินธุ์มีหรือเราจะพลาด ร้านที่เราไปชอปในวันนี้ชื่อร้านแพรวาแม่เนื่อง มีแต่ของสวย ๆ ทั้งนั้นเลยล่ะทั้งผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูป ของที่ระลึก มาที่เดียวซื้อไปฝากพ่อแม่เพื่อนฝูงได้ครบเลยล่ะ 4. เดินชิวยามค่ำที่ตลาดโรงสี ตกเย็นเรามาเดินเล่นหาอะไรกินกันที่ตลาดโรงสี โรงสีเก่าที่ตกแต่งให้เป็นตลาดย้อนยุค มีโซนที่ทำเป็นบ้านไม้สองชั้น และโซนเอาท์ดอร์ นั่งกินไปดูวัยรุ่นกาฬสินธุ์ที่ออกมาแฮงเอาท์กันที่นี่ก็เพลินดีเหมือนกัน เมนูที่เราว่าเด็ดมาก ๆ และห้ามพลาดคือ สเต็กหมูย่างจิ้มแจ่วเนื้อนุ่มสุดๆ ฟินจนต้องสั่ง 2 จาน ไดโนเสาร์ปังเย็น โรตีไดโนเสาร์ ก็อยากให้มาลอง 5. เดินดูตลาดเช้า ถ้าอยากสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านต้องไปที่ตลาดเช้า ตลาดเช้ากาฬสินธุ์มีเสน่ห์เพราะเงิน 100 บาท สามารถซื้ออะไรได้มากกว่าที่คิด ข้าวของราคาถูก ทั้งพืชผักพื้นเมืองแปลก ๆ ผลไม้ อาหารสด อาหารแห้ง เหมือนเราย้อนกลับไปในอดีตที่ไม่ต้องแคร์กับสภาวะเศรษฐกิจที่วุ่นวาย นี่แหละเสน่ห์ของกาฬสินธุ์ที่เราหลงรัก 6. ถ่ายรูปกับฮูปแต้มสีพาสเทล ที่วัดอุดมประชาราษฎร์ วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในตัวเมืองกาฬสินธุ์ที่มีอายุกว่า 85 ปี สร้างโดยช่างชาวญวน และสิ่งที่พิเศษกว่าวัดอื่น ๆ คือ สิมหรือโบสถ์ที่มีจิตรกรรมฝาผนังหรือฮูปแต้มที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสานด้วยฝีมือการแต้มของช่างชาวอีสาน มีการใช้สีเย็นในโทนพาสเทล เช่น สีฟ้า เหลือง เขียว วาดเป็นเรื่องราวชาดก เช่น พระเวสสันดรชาดก บอกเลยว่าผู้ที่รักงานศิลปะไม่ควรพลาด นอกจากจะได้มาไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แล้วยังได้ชมจิตรกรรมฝาผนังสวย ๆ อีกด้วย 7. ไปตามหาไดโนเสาร์ที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร มากาฬสินธุ์ทั้งทีถ้าไม่ไปที่พิพิธภัณฑ์สิรินธร ภูกุ้มข้าวก็เหมือนมาไม่ถึงเราเดินทางไปที่ อ.สหัสขันธ์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ที่นี่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเพราะเป็นพิพิธภัณฑ์และศูนย์วิจัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์และฟอสซิลที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยล่ะ กระดูกไดโนเสาร์ที่ค้นพบที่บริเวณภูกุ้มข้าวนี้มีอายุถึง 130 ล้านปี ไฮไลท์คือโครงกระดูกไดโนเสาร์จำลองขนาดเท่าตัวจริง ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องจัดแสดง เหมือนพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศเลย เค้ามีการแบ่งโซนไล่ไปตามยุคต่าง ๆ มีทั้งไดโนเสาร์ที่พบในประเทศไทยและต่างประเทศ ฟอสซิลของจริงที่จัดแสดงให้เราได้ดูเพื่อศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของไดโนเสาร์ในประเทศไทย แถมมีห้องวิจัยที่ทันสมัยสุด ๆ เดินดูในอาคารพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้วอย่าลืมขึ้นไปดูหลุมขุดค้นของจริงที่อยู่บนภูกุ้มข้าว จะได้เห็นกระดูกไดโนเสาร์ของจริงตัวมหึมาที่อยู่ในหลุมขุดด้วย น่าตื่นเต้นมากเลยล่ะ เราว่าเด็ก ๆ ต้องชอบที่นี่แน่ ๆ พิพิธภัณฑ์เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์เวลา 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น อย่าไปผิดวันนะ 8. ถ่ายรูปที่สะพานเทพสุดา จากพิพิธภัณฑ์สิรินธรไปไม่ไกลก็มาถึงสะพานข้ามเขื่อนลำน้ำปาว เป็นสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าจาก จ.หนองคาย อุดรธานี ผ่านกาฬสินธุ์ ไปสู่มุกดาหารที่สำคัญมากเพราะช่วยย่นระยะทางได้เกือบ 100 กิโลเมตร และชาวกาฬสินธุ์ยังใช้ขนส่งผลผลิตทางการเกษตรไปสู่โรงงานซึ่งอยู่คนละฝั่งของสะพาน ช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งไปได้เยอะทีเดียว พอรู้ถึงสตอรี่ของสะพานก็ดูสวยงามเลอค่ามากขึ้นกว่าเดิมเลยล่ะ แถมยังเป็นจุดถ่ายรูปสวยๆ ด้วย ยิ่งมาช่วงพระอาทิตย์ตกดินนี่สวยสุด ๆ ไปเลย อย่าลืมไปถ่ายรูปกับพี่ไดโนเสาร์ที่ตีนสะพานนะ  เรามองจากสะพานลงไปจะเห็นแพร้านอาหารลอยอยู่หลายลำในเขื่อน มีนักท่องเที่ยวกระโดดน้ำเล่นกันน่าสนุก เสียดายที่เรามีเวลาน้อยเลยอดเล่นน้ำ กาฬสินธุ์ยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่งที่เหมาะกับชีวิตสโลว์ไลฟ์ เราว่าจริง ๆ แล้วแค่ได้นั่งๆ นอนๆ เดินเล่นใช้ชีวิตง่ายๆ ไปพร้อมกับชาวกาฬสินธุ์ก็ถือว่าได้ Go Local เป็นการชาร์จพลังเติมความบริสุทธิ์ใส ๆ ให้ชีวิตที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ

รวม 8 ที่เที่ยวสไตล์สายฮิป…ที่กาฬสินธุ์ อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top