สถานที่ท่องเที่ยว

ลังกาจิว เกาะจิ๋วปะการังแจ๋ว

เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ปะการัง สัตว์น้ำ และท้องทะเล สามารถไปดำน้ำดูปะการังได้ ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม ถึงตุลาคมของปี การเดินทาง1.โดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง โดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (เพชรเกษม) มุ่งหน้าสู่ จังหวัด ชุมพร เมื่อถึงสี่แยกปฐมพร เลี้ยวซ้ายเข้ามาประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะถึงตัวเมืองจังหวัดชุมพร จากตัวเมือง จังหวัดชุมพร ไปตามทางหลวงจังหวัด หมายเลข 4001 ระหว่างอำเภอเมืองกับปากน้ำชุมพร ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร ก่อนจะถึงปากน้ำชุมพร จะพบสามแยกทางไปหาดทรายรี ให้เลี้ยวขวา เมื่อเลี้ยวขวาเข้ามาอีก 20 เมตร จะพบทางแยกให้เลี้ยวขวาอีกครั้งไปตามถนน รพช. สายบ้านมัทรี – หาดทรายรี ประมาณ 9 กิโลเมตร เลี้ยวขวา ประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร 2 โดยรถประจำทางจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ โดยสารรถสายกรุงเทพฯ – ชุมพร ระยะทาง 500 กิโลเมตร ถึงจังหวัดชุมพร และจาก จังหวัดชุมพร โดยสารรถสองแถวมายังอุทยานแห่งชาติ ระยะทาง 23 กิโลเมตร  3. การเดินทางโดยรถไฟ ใช้เวลา เดินทางประมาณ 8 – 9 ชั่วโมง แล้วแต่ประเภทของขบวนรถสามารถเลือกการเดินทางได้ ทั้งในเวลา กลางวัน และกลางคืน เนื่องจากมีขบวนรถหลายขบวนในแต่ละวัน โดยขึ้นรถไฟได้ที่สถานีกรุงเทพฯ และสถานี ธนบุรี 4.โดยเครื่องบินปัจจุบันจังหวัดชุมพรมีท่าอากาศยาน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศโดยตั้งอยู่ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เกาะลังกาจิว เป็นเกาะขนาดปานกลาง หนึ่งในหมู่เกาะทะเลชุมพร และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประภาสเพื่อทอดพระเนตรการเก็บรังนกบนเกาะนี้ จำนวน 3 ครั้ง และได้ทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ของพระองค์ไว้บนผนังหินปากถ้ำทางด้านใต้ ซึ่งยังคงปรากฏเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบัน เกาะลังกาจิวมีชายหาดสวยงาม ทรายขาวละเอียด ส่วนแนวปะการังจะอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นแนวปะการังที่ยังคงสมบูรณ์ตามธรรมชาติ สวยงามมากๆ น้ำใสสะอาด สามารถมองเห็นปะการัง และฝูงปลาได้ชัดเจน ยิ่งในวันที่แดดสวย ฟ้าใส จะทำให้น้ำทะเลเปล่งประกายวิบวับ สวยงามจับใจมากจริงๆ ส่วนด้านอื่นๆ รอบเกาะเป็นโขดหิน พบปะการังได้บ้างเล็กน้อย แต่ยังสามารถพายเรือ ชมความสวยงามของโขดหินได้นะ น้ำใสสะอาด สวยงามจับใจมากจริงๆ บนเกาะไม่มีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว แต่จะมีบ้านของชาวเกาะ สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เกาะนี้เป็นหนึ่งในเกาะที่มีสัมปทานรังนกนางแอ่น คนที่อยู่เกาะก็จะเป็นคนเฝ้ารังนกนางแอ่นด้วย เกาะลังกาจิว เปิดขึ้นไปเที่ยวบนเกาะ เวลา 08.00 – 17.00 น.  หลังจากนั้นจะไม่อนุญาตให้ขึ้นโดยเด็ดขาด และบางเดือนเป็นฤดูที่นกนางแอ่นกำลังทำรังหรืออยู่ในระหว่างการเก็บรังนก จะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยวบนเกาะ เพราะจะทำให้นกนางแอ่นตกใจ สนใจล่องเรือชมหมู่เกาะทะเลชุมพร ติดต่อบริษัท สยาม คาตามารัน จำกัด โทร. 077 553 123บริษัท ต้นปาล์ม โวยาจ จำกัด โทร. 098 321 6335บริษัท ชาวเกาะไดฟ์วิ่ง จำกัด โทร 089 091 6277บริษัท ชุมพรไดฟ์วิ่ง จำกัด โทร 081 895 4527

ลังกาจิว เกาะจิ๋วปะการังแจ๋ว อ่านเพิ่มเติม

ธาตุพนม … อำเภอเล็กๆ หากไม่มาเยือน จะเหมือนมาไม่ถึงนครพนม

ธาตุพนม … อำเภอเล็ก ๆ หากไม่มาเยือน จะเหมือนมาไม่ถึงนครพนม ถนนเลียบริมแม่น้ำโขงของอำเภอธาตุพนม ถือเป็นถนนที่สวยงามอีกแห่ง เป็นแหล่งรวมที่พักและร้านอาหารบรรยากาศดี ๆ หลายแห่ง บริเวณริมตลิ่งทำเป็นเขื่อนคอนกรีต สำหรับนั่งเล่นพักผ่อน หรือชมการแข่งเรือยาวที่มักจัดขึ้นในช่วงปลายฝนต้นหนาว ของทุกปี สัญลักษณ์กลางเมืองซึ่งตั้งโดดเด่นในภาพนี้ คือ “ซุ้มประตูเรืองอร่ามรัษฎากร” (ซุ้มประตูโขง) ตั้งชื่อตาม ท่านขุนอร่ามรัษฎากร ซึ่งเป็นผู้สร้างถนนจากหน้าวัดตรงมายังแม่น้ำโขง รวมถึงซุ้มประตูหลังนี้ด้วย จุดเด่นอยู่ที่สถาปัตยกรรมเก่าสวยงาม มียักษ์สองตนยืนเฝ้าอยู่ที่ซุ้มประตู ทิศตะวันตกของซุ้มประตูคือ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร และทิศตะวันออกคือ ถนนทางลงแม่น้ำโขง “พระธาตุพนม” ประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ถนนชยางกูร อำเภอธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีวอก เชื่อกันว่าผู้ที่ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์มีบุญบารมีและผู้คนให้ความเคารพนับถือ องค์พระธาตุพนม มีความงดงามทั้งในเวลากลางวันและยามค่ำคืน ในวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี จะมีการจัดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม กิจกรรมหลัก ๆ คือ การทำบุญตักบาตร การสวดมนต์ข้ามคืน และสุดท้ายหากมาเที่ยวอำเภอนี้ ต้องไม่ลืมอุดหนุนของฝากของดีของที่นี่ คือ กาละแมโบราณ กาละแมโบราณของอำเภอธาตุพนม มีการผลิตและจำหน่ายกันหลายเจ้า แต่เอกลักษณ์ที่ทุก ๆ เจ้าจะมีเหมือนกัน คือ เนื้อกาละแมจะเป็นสีดำเหนียวนุ่ม หวานมัน ห่อใบตองรีดด้วยเตาถ่านแบบโบราณ กลัดด้วยไม้กลัดทำจากไม้ไผ่อันเล็ก ๆ  นักท่องเที่ยวสามารถซื้อหากาละแมได้ตามร้านขายของฝาก ซึ่งจะมีอยู่หลายร้านบริเวณซอยข้างซุ้มประตูเรืองอร่ามรัษฎากรเชื่อมกับถนนริมโขง หากมาเที่ยวนครพนม อยากให้ลองมาพักที่อำเภอธาตุพนมสักหนึ่งคืน เป็นอำเภอที่ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่หวือหวา บรรยากาศดีถึงดีมาก คงทำให้ผู้มาเยือนหลงรักอำเภอเล็ก ๆ นี้ได้ไม่ยาก

ธาตุพนม … อำเภอเล็กๆ หากไม่มาเยือน จะเหมือนมาไม่ถึงนครพนม อ่านเพิ่มเติม

ยอดเขาเทวดา…ที่ไม่ธรรมดา

ยอดเขาเทวดา ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติพุเตย อ.ด่านช้าง เป็นอุทยานแห่งเดียวในจ.สุพรรณบุรี ทริปนี้แนะนำเป็น 2 วัน 1 คืน เดินทางออกจากกรุงเทพฯช่วงเช้าๆ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณ 3 ชั่วโมงโดยรถยนต์ที่พร้อมลุยทางชันและทางลูกรัง เนื่องจากการเดินทางนั้นจะต้องขึ้นไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ก่อนจะเดินเท้าขึ้นไปชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาเทวดาค่ะ หากว่าใครเดินทางมาถึงแล้วก็แนะนำให้ไปติดต่อทางที่ทำการอุทยาน(หน่วยหลัก) ก่อนมีบริการอาหารและจำหน่ายของจำเป็นด้านล่างสามารถติดต่อได้เลยค่ะ บริการเช่าเต็นท์และอุปกรณ์เครื่องนอนต่างๆ กรณีที่นำรถยนต์มาแต่ไม่สามารถนำขึ้นไปได้ก็สามารถเช่ารถขึ้นเขาไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ได้ค่ะ พร้อมแล้วก็ขึ้นไปกันเลยค่ะ  ติดต่อที่ทำการฯ อุทยาน โทร.035 960 240, 081 934 2240  อุทยานแห่งชาติพุเตย ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์แอดมินชอบในความที่เป็น”ธรรมชาติยังคงเป็นธรรมชาติ” เพราะสมบูรณ์ทั้งพืชไม้ สัตว์ป่า ลักษณะของป่าเป็นดิบชื้น มีพรรณไม้ที่สำคัญและมีสนสองใบให้ได้เห็นกัน เมื่อขึ้นมาถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ พุเตยที่ 3 ตะเพินคี่ ประหนึ่งว่าเป็นที่พัก 5 ดาวสำหรับผู้ชอบผจญภัยและการนอนเต๊นท์เพราะไม่มีบ้านพัก เต๊นท์อย่างเดียวค่ะ นั่งชมวิวภูเขา ทุ่งหญ้ากว้างๆ ที่มีพร้อมทั้งไฟฟ้าในส่วนของห้องน้ำ แต่ไม่มีปลั๊กไฟให้บริการ ห้องน้ำที่ถูกจัดทำโดยใช้สิ่งจากธรรมชาติเป็นประโยชน์ เก๋ๆค่ะ มีเต็นท์ตัวเองก็กางโลด ไม่มีมาที่นี่ก็มีให้เช่านะคะ หลังจากจัดแจงกางเต็นท์เป็นที่เรียบร้อย ก็พักร่างนอนชมพระอาทิตย์ตกกันเลยค่ะ หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ตั้งอยู่บนสันเขาเป็นทางผ่านที่เราจะต้องเดินทางขึ้นไปที่ยอดเขา เราจะได้เห็นความเป็นอยู่ วิถีชีวิตตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมด้วย โอ้โห เอ็นจอยเด้อ ^^  น้ำตกตะเพินคี่น้อย อีกหนึ่งสถานที่ต้องแวะเข้าไปชมอยู่บริเวณของหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ชมได้ตลอดปีค่ะ มีกิจกรรมให้ปีนหน้าผาโรยตัวที่น้ำตกด้วย สามารถติดต่อกับที่ทำการฯ ได้เลย โอ้โห เอ็นจอยอีกแล้ว ตื่นแต่เช้ามืดไปพิชิตยอดเขาเทวดา ที่ไม่ธรรมดาจากจุดกางเต๊นท์จะต้องเดินไปยังตีนเขาประมาณ 1 กิโลเมตรไปถึงตีนเขาและเริ่มเดินขึ้นเขาทางชันโดยระยะทาง 800 เมตรซึ่งไม่ได้ไกลมากนัก ระหว่างทางจะมีเชือกเพื่อเป็นตัวช่วยในการเดิน แต่ก็ต้องระมัดระวังการเดินเพราะค่อนข้างชันและลื่นเป็นบางจุด มีจุดพักเป็นระยะควรสวมรองเท้าสำหรับเดินป่าและอุปกรณ์ไฟฉายพร้อมนะคะ Go Go Go ” กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้ ” ชมหมอก ชมความสวยงามของแสงพระอาทิตย์ พักจากงานมาหาธรรมชาติที่แท้จริง เที่ยวในสุพรรณบุรีก็มีเขาให้ขึ้น ไม่ต้องไปถึงภาคเหนือ ที่พักหลักร้อย วิวหลักล้านเด้ออออ

ยอดเขาเทวดา…ที่ไม่ธรรมดา อ่านเพิ่มเติม

ธรรม(ดา) พาทัวร์ ตอน เข้าวัดทำบุญ หนุนนำโชคลาภ

บ่อยครั้งที่เราเห็นผู้คนทำบุญด้วยความมุ่งหวังพร้อมกับการกราบไหว้บูชา เพื่อให้สมความปราถนา หรือพบกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง และความสำเร็จในทุกๆประการ อันเป็นการเติมเต็มให้ชีวิตกลับมามีความหวัง มีกำลังใจ พร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคงอีกครั้ง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก.ความเชื่อ ประชาชนทั่วทุกสารทิศเดินทางมาสักการะหลวงพ่อใหญ่หรือองค์พระพุทธชินราชด้วยความศรัทธา โดยนับถือกันในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และถือกันว่าเป็นมงคลสูงสุดหากได้มากราบชมความงามของหลวงพ่อใหญ่สักครั้งในชีวิต นอกจากนี้ยังนิยมพากันไปไหว้พระเหลือในวิหารเล็ก ด้วยเกร็ดความเชื่อที่มีกันอย่างแพร่หลายว่าจะช่วยส่งเสริมด้านโชคลาภ จะได้มีทรัพย์สินเงินทอง เหลือกินเหลือใช้.วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า “วัดใหญ่” เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปซึ่งได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย นับเป็นศาสนสถานที่สำคัญยิ่ง ทั้งของจังหวัดพิษณุโลกและประเทศไทย .นอกจากนี้ยังมีวิหารพระเหลือ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “พระเหลือ” ซึ่งตามประวัตินั้นกล่าวว่าพระยาลิไททรงรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา มารวมกันแล้วหล่อไว้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็กและพระสาวกอีก 2 องค์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพมหานคร.ความเชื่อ เชื่อในหมู่พ่อค้า คหบดี และประชาชนว่า หากมาสักการะพระแก้วมรกตด้วยดอกบัวคู่และธูปเทียนแล้ว ชีวิตจะมีแต่ความรุ่งเรืองมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ เงินทองไหลมาเทมา.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เป็นพระอารามประจำพระบรมหาราชวังที่สร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดหลวงที่ไม่มีพระจำพรรษา และยังเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่พระมหากษัตรย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเสด็จมาประกอบพระราชพิธีสำคัญ และบำเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชประเพณีนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน.ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน พระพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย นอกจากพระแก้วมรกตแล้ว ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายที่ทรงคุณค่าความงดงามทั้งทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ให้เราได้เข้าไปสักการะบูชา และชื่นชมในฝีมือของครูแห่งช่างโบราณที่อุทิศผลงานไว้เพื่อเป็นพุทธบูชาสืบทอดกันมาเป็นมรดกแห่งแผ่นดิน.วันและเวลาเปิด-ปิดเปิดให้สักการะทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 – 16.00 น. ผู้ที่จะเข้าไปยังวัด ผู้ชายต้องแต่งกายสุภาพห้ามใส่เสื้อไม่มีแขนและงดใส่กางเกงขาสั้นเหนือเข่า ผู้หญิง ให้ใส่กางเกงหรือกระโปรงทรงสุภาพ กระโปรงต้องยาวคลุมเข่า งดเสื้อแขนกุด วัดลาดขาม (หลวงพ่อแสนเหรีญ) ต.พนมทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี.ความเชื่อ กล่าวกันว่า เมื่อได้มากราบไว้อธิษฐานหลวงพ่อแสนเหรียญซึ่งสร้างจากเงินเหรียญที่เป็นมงคล เหมือนกับได้อธิษฐานขอพรแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวยสืบไปพระพุทธเบญจนวมงคลกาญจน์แห่งวัดลาดขามนั้น เป็นพระพุทธรูปที่เลื่องลือในด้านของความศักดิ์สิทธิ์และความแปลกมหัศจรรย์ เนื่องจากองค์พระปฏิมากรนี้ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากเหรียญเงินตราต่างๆ จำนวนนับแสนเหรีญ ชาวบ้านจึงพากันเรียกท่านว่า “หลวงพ่อแสนเหรียญ” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับ อ.พนมทวน และเป็นที่นับถือศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน.วัดลาดขาม เป็นวัดที่ก่อสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุนับร้อยปี หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก วัดลาดขามก็กลายเป็นวัดร้างยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนวัด ต่อมาพระครูปลัดเพลิน เตชธมโม ได้จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ และลงมือบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นมาด้วยแรงสนับสนุนจากผู้มีศรัทธาและชาวบ้านจนกลับมาเป็นศูนย์รวมแห่งพุทธศาสนิกชนใน อ.พนมทวนอีกครั้ง พระราหู วัดศีรษะทอง ต.ห้วยตะโก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม.ความเชื่อ เชื่อว่าการกราบไหว้ขอพรพระราหูนั้น เป็นการขอพรให้พ้นเคราะห์ต่างๆ และยังดลบันกาลให้เกิดโชคลาภ ช่วยให้การงานเจริญก้าวหน้า และเชื่อว่าพระราหูยังเป็นเทพบูชาประจำตัวเพื่อเสริมบารมีของคนที่เกิดวันพุธกลางคืนอีกด้วย สามารถไหว้พระราหูได้ทุกวัน ยกเว้นวันพระ.นับว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในอำเภอนครชัยศรี และวัดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์รวมของชาวลาวเวียงจันทน์และชุมชนใกล้เคียง เดิมเป็นป่ารกร้าง ต่อมาได้มีชาวลาวจากเวียงจันทร์อพยพมาตั้งถิ่นฐาน แล้วจึงสร้างวัด และได้พบเศียรพระพุทธรูปทองจมดินอยู่ จึงตั้งชื่อว่า “วัดหัวทอง” ภายหลังมีการขุดคลองเจดีย์บูชา ไปยังองค์พระปฐมเจดีย์ ชาวบ้านจึงย้ายมาอยู่ริมคลองเจดีย์บูชา ในการนี้ได้ย้ายวัดมาด้วยเพื่อสะดวกต่อการสัญจร และเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดศีรษะทอง” จนถึงปัจจุบัน .วัดศีรษะทองได้พัฒนาและมีความรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมากในสมัยของหลวงพ่อน้อย นาวารัตน์ อดีตเจ้าอาวาส ท่านเป็นที่รู้จักเพราะเป็นต้นตำรับของการสร้างพระราหูอมจันทร์จากกะลาตาเดียว เครื่องลางที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และได้สร้างชื่อเสียงให้วัดศรีษะทองจนถึงทุกวันนี้.ปัจจุบันวัดศีรษะทองได้จัดสร้างพระราหูขนาดใหญ่ไว้ให้ประชาชนได้มาสักการะบูชาตามความเชื่อและความศรัทธาส่วนบุคคล ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี.ความเชื่อ เชื่อกันว่าเจ้าแม่นั้นมีอิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย ดวงวิญญาณของเจ้าแม่จะช่วยดลบันดาลให้การค้าขายนั้น มีอต่ความร่ำรวยละเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภ ทำให้มีบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจและประชาชนทั่วไปนิยมมาบวงสรวงเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว.เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือที่เรียกว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในตัวเมืองปัตตานี เป็นที่ประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเป็นที่สักการะไม่แต่ชาวปัตตานี รวมถึงชาวจังหวัดใกล้เคียง เช่น สงขลา-ยะลา-นราธิวาส ก็มีความศรัทธาในองค์เจ้าแม่อย่างมาก เนื่องจากมีผู้มาขอพรให้มีโชคลาภก็ได้ผลหรือแม้แต่เรื่องการค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้น จนทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก 

ธรรม(ดา) พาทัวร์ ตอน เข้าวัดทำบุญ หนุนนำโชคลาภ อ่านเพิ่มเติม

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นเมืองโบราณ

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นเมืองโบราณ.การทอผ้าพื้นเมืองในจังหวัดปัตตานีมีประวัติมายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยนั้นปัตตานีเป็นเมืองท่าค้าขายผ้าที่ใหญ่โตและคึกคัก มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นชาวอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จีน และยุโรป ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมในด้านต่างๆ รวมทั้งวัฒนธรรมการทอผ้าด้วย ซึ่งผ้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมอย่างมากชนิดหนึ่ง ได้แก่ ผ้าจวนตานี ผ้าจวนตานี หรือผ้าลีมา เป็นผ้าโบราณที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี นิยมใช้กันมากในกลุ่มชนชั้นสูงและผู้มีฐานะเนื่องจากมีราคาแพง ผ้าทอด้วยเส้นไหมชั้นดีเส้นเล็กละเอียด มีลวดลายและสีสันสวยงามเด่นสะดุดตา  จุดเด่นของผ้าอยู่ที่เชิงผ้าสีแดงเข้ม ซึ่งเกิดจากการทอโดยใช้เทคนิคพิเศษ และมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่เรียกว่า “ล่องจวน” คือ มีแถบริ้วลวดลายวางเป็นแนวแทรกอยู่ระหว่างผืนผ้า และชายผ้าทั้งสองด้าน ผ้าจวนตานีเคยสูญหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่จากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ.2542 ที่ทรงเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ผ้าโบราณ ทำให้ผ้าจวนตานีได้รับการฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง โดยการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มสตรีในท้องถิ่นเพื่อทอผ้าจวนตานีขึ้นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ในงานพิธีต่างๆ และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักทั่วไป นอกจากนี้ทางกลุ่มฯ ยังได้สนับสนุนให้เยาวชนเข้ามาเรียนรู้กระบวนการทอผ้าเพื่อสืบสานภูมิปัญญาการทอผ้าไม่ให้สูญหายไปจากชุมชนอีกด้วย ปัจจุบันผ้าจวนตานี ได้รับเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย “นกยูงพระราชทาน” ได้แก่ นกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) นกยูงสีเงิน (Clasisc Thai Silk) และนกยูงสีน้ำเงิน (Thai Silk) ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของสมาชิกกลุ่มฯ ทุกคน นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถติดต่อเข้าเยี่ยมชมการทอผ้าได้ทุกวัน กลุ่มทอผ้าตำบลทรายขาว ที่ตั้ง : 94 หมู่ 3 ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี อยู่ห่างจากอำเภอประมาณ 6 กิโลเมตรโทร. 089 298 8495

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นเมืองโบราณ อ่านเพิ่มเติม

5 ผืนป่าชายเลน การผจญภัยแนวอนุรักษ์

1. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ศูนย์ฯ แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อพัฒนาอาชีพด้านการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลจันทบุรี รวมไปถึงการสร้างระบบนิเวศเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสีย และการอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ  ภายในพื้นที่ป่าชายเลนจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 1.6 กิโลเมตร ระหว่างทางมีศาลาพักซึ่งมีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของศูนย์ฯ และพันธุ์ไม้ต่างๆ ในป่าชายเลน จำนวน 10 ศาลา กระจายตัวอยู่เป็นระยะ บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นและเย็นสบายด้วยต้นไม้ที่ปกคลุมตลอดสองข้างทาง นอกจากกิจกรรมเดินชมและศึกษาพื้นที่ป่าชายเลนแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ – การขึ้นไปชมวิวมุมสูงบนหอดูเรือนยอดไม้ ซึ่งนอกจากจะได้เห็นพื้นที่ป่าชายเลนโดยรอบแล้ว ยังอาจพบนกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งมีมากกว่า 120 ชนิดด้วย ไม่ว่าจะเป็นนกยางเปียง นกยางเหนียว นกจาบคาเล็ก ฯลฯ – กิจกรรมพายเรือคายัครอบพื้นที่ป่าชายเลน – บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ฯ ยังมีสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ซึ่งมีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ จัดแสดงไว้ให้ชมถึง 36 ชนิดด้วยกัน  นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ยังมีบริการห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย  ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 นโทร. 039 433 216-8, 039 433 210  สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) – วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. – วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.30-17.30 น. โทร. 039 433 105 Website: http://www.fisheries.go.th/cf-kung_krabaen พิกัด : https://goo.gl/maps/6xQ3crf1cAm 2. โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี อีกหนึ่งพื้นที่ป่าชายเลน ที่เกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับน้ำเน่าเสียและขยะมูลฝอยของจังหวัดเพชรบุรี นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนและศึกษาธรรมชาติอีกด้วย  ภายในพื้นที่โครงการฯ จะมีทางเดินไม้ทอดยาวไปตามป่าชายเลน ระยะทางประมาณ 850 เมตร ตลอดทางค่อนข้างร่มรื่นเพราะมีต้นโกงกางและต้นแสมคอยปกคลุม รวมทั้งยังมีจุดชมวิวหอภูมิทัศนา เป็นจุดชมวิวมุมสูงเหนือป่าชายเลน ให้เราได้ศึกษาระบบนิเวศของป่าชายเลน รวมทั้งยังเป็นจุดชมนกประเภทต่างๆ ซึ่งที่นี่นับว่าเป็น 1 ใน10 ของแหล่งดูนกที่ดีที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย ไฮไลท์อยู่ที่ปลายทางของสะพานที่ยื่นออกไปกลางทะเล จากจุดนี้เราจะเห็นวิวที่สวยงามของท้องทะเลและป่าชายเลน เหมาะแก่การนั่งพักหรือถ่ายรูปสวยๆ นอกจากนี้ยังสามารถแวะชมระบบการจัดการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการต่างๆ ของโครงการฯ และที่นี่ยังมีที่พักให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างแรมอีกด้วย  ภายในโครงการฯ มีบริการรถรางนำชมตามจุดต่างๆ หรือถ้าอยากชิลล์จะปั่นจักรยานชมรอบๆ ก็ได้  เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.โทร. 02 579 2116Website: http://www.lerdilc.com/พิกัด : https://goo.gl/maps/ZwuMxrEj6h32 3. ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์  หนึ่งในป่าชายเลนในพื้นที่ปากน้ำปราณบุรี ซึ่งแต่ก่อนเคยมีสภาพเสื่อมโทรมจากการทำนากุ้งมาเป็นเวลานาน แต่ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งเสด็จฯ ปราณบุรี พ.ศ.2539 ทำให้มีการยกเลิกสัมปทานนากุ้ง และฟื้นฟูพื้นที่ 786 ไร่ ให้กลายเป็นป่าชายเลนที่เต็มไปด้วยต้นโกงกางเช่นทุกวันนี้  ภูมิทัศน์โดยรอบของป่าชายเลนแห่งนี้ มีความสงบ ร่มรื่น และเย็นสบาย มีทางเดินลัดเลาะไปตามป่าชายเลน ระยะทาง 1 กิโลเมตร ระหว่างทางมีป้ายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับป่าชายเลนแห่งนี้ เหมาะสำหรับศึกษาความหลากหลายของระบบนิเวศ ต้นโกงกางและพันธุ์ไม้ต่างๆ รวมไปถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนด้วย นอกจากการเดินชมต้นโกงกางตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแล้ว ก็ยังมีกิจกรรมในจุดอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นชมวิวบนหอชะคราม หอคอยสูงเท่าตึก 6 ชั้น ซึ่งเป็นจุดชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศา ที่สามารถมองเห็นผืนป่าชายเลนเขียวชอุ่มกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หรือชมต้นโกงกางประวัติศาสตร์ ต้นโกงกางใบเล็ก 2 ต้น ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงปลูกไว้อีกด้วย  เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.โทร. 032 632 255 Website: https://welovesirinart.wordpress.com/พิกัด : https://goo.gl/maps/wup77tyRCyJ2 4. ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส อ.แกลง จ.ระยอง  สถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในเขตชุมชนบ้านแสมภู่ ริมน้ำประแส ซึ่งแต่เดิมพื้นที่กว่า 6,000 ไร่นี้เคยเป็นพื้นที่ทำการประมง เลี้ยงกุ้ง และทำการเกษตรของชาวบ้านมาเป็นเวลานาน จนทรัพยากรบริเวณนี้เกิดความเสื่อมโทรม หน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่เริ่มเห็นความสำคัญของระบบนิเวศป่าชายเลน จึงได้ร่วมกับชาวบ้านฟื้นฟูป่าชายเลนแห่งนี้ เพื่อให้ระบบนิเวศได้ฟื้นคืนกลับมา และเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในพื้นที่ป่าชายเลนมีสะพานไม้ให้เดินศึกษาธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองข้างทางตลอด 1 กิโลเมตร จะมีพันธุ์ไม้หลายชนิดขึ้นอยู่มากมาย จุดเด่นคือต้นโปรงงมากมายที่ขึ้นเบียดเสียดกันเต็มท้องทุ่งจนมองไม่เห็นพื้นดินด้านล่าง จนเรียกกันว่าเป็น “ทุ่งโปรงทอง” ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมาชมทุ่งโปรงทองก็คือ ช่วงเช้า และบ่ายแก่ๆ ที่เมื่อสีเขียวปนเหลืองอ่อนของใบไม้กระทบกับแสงแดดก็จะกลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปทั้งทุ่ง งดงามมาก เชื่อว่าใครที่ได้ไปชมก็คงไม่พลาดที่จะเก็บภาพไว้อย่างแน่นอน  นอกจากทุ่งโปรงทองแล้ว ภายในบริเวณนี้ก็ยังมีจุดอื่นที่สวยงาม ได้แก่ ศาลาริมน้ำ หรือ ท่าน้ำที่ยื่นออกไปในทะเล และถ้ามาจากทางวัดตะเคียนงาม ปลายทางจะไปที่ปากน้ำประแสจะมีเรือรบหลวงประแส ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยี่ยมชมด้วย เปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.เทศบาลตำบลปากน้ำประแส โทร. 038 661 720-1พิกัด : https://goo.gl/maps/XH6LQtYv8jo 5. ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ป่าชายเลนผืนสุดท้ายของจังหวัดชลบุรีที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่กว่า 300 ไร่ ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์ป่าชายเลนไว้ให้ได้ศึกษาเรียนรู้ ด้านหน้าศูนย์ฯ มีต้นจิกทะเลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกไว้เมื่อครั้งเสด็จมาเยือน พ.ศ.2549  ภายในบริเวณมีทางเดินศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ที่มีระยะทางถึง 2,300 เมตร ซึ่งนับเป็นทางเดินชมป่าชายเลนที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ตลอดเส้นทางมีพันธุ์ไม้ต่างๆ ทั้งต้นโกงกาง ต้นแสม ต้นตะบูน ฯลฯ รวมไปถึงสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน เช่น ปลาตีน ปูก้ามดาบ นอกจากนี้ยังมีปูหยกฟ้า ซึ่งเป็นปูก้ามดาบชนิดหนึ่งที่มีกระดองสีฟ้าอมเขียว สวยงามแปลกตาอีกด้วย  สิ่งที่น่าสนใจภายในศูนย์ยังมีสะพานแขวนโยกเยกที่สร้างความหวาดเสียวให้แก่นักท่องเที่ยว

5 ผืนป่าชายเลน การผจญภัยแนวอนุรักษ์ อ่านเพิ่มเติม

The oqposite โอเอซิสแห่งใหม่ย่านนางเลิ้ง

The oqposite ดิ อ๊อพโพสิทโอเอซิสแห่งใหม่ที่จะมาเติมเต็มความสุขให้กับทุกคน บรรยากาศเก๋ๆ หน้าร้าน ตัวร้านมี 2 ชั้น ตกแต่งเรียบง่าย ผสมผสานสไตล์ loft เท่ๆ บริเวณชั้น 2 มีที่นั่ง outdoor ให้นั่งตากลมชิวๆ เมนูอาหารของทางร้านมีทั้งไทยและเทศ เมนูแนะนำ เช่น ข้าวมันกุ้ง สูตรคุณย่า ข้าวเป็ดรมควันพริกเกลือ แต่แอดขอเทใจไปทางอาหารฝรั่งสักนิด เพราะเห็นเมนูชีสแล้วอดใจไม่ได้ที่จะต้องสั่ง โรตีผักโขมอบชีส (180 บาท) แป้งโรตีหอม กรอบ ชีสยืดสะใจ คนรักชีสต้องห้ามพลาด เมนู The oqposite special สปาเกตตี้ผัดพริกกระเทียมเบคอน ( 220 บาท)  สปาเกตตี้สูตรของทางร้าน หอมกลิ่นกระเทียมและพริกไทยใช้เบคอนอย่างดี ชิ้นหนาสุดกรอบ และเพิ่มรสหวานนิดๆด้วยมะเขือเทศอบแห้ง ครื่องดื่มของร้านก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน มีทั้งเมนูกาแฟและชา เมนู Honey Matcha (155 บาท)ชาเขียวมัทฉะเข้มข้น ผสมกับน้ำผึ้งมะนาว ได้รสขมอมเปรี้ยว เป็นการผสมผสานที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เมนู Iced Chocolate (125 บาท)ช็อกโกแลตเข้มกำลังดี ไม่หวานและไม่ขมจนเกินไป เมนู The oqposite berry (155 บาท)มีส่วนผสมของชา mixed berry และ กาแฟ cold-brew ที่ผสมออกมาได้อย่างลงตัว รสชาติกลมกล่อม ตบท้ายด้วยเมนูขนมหวานสุดฟิน เมนู Caramel Pudding (140 บาท)เมนูน่ารักที่มีน้องมดตัวน้อยแบกขนมมาเสิร์ฟถึงที่ ตัวเค้กนุ่ม ซอสที่ราดก็หอมหวานคาราเมล อร่อยมากๆ แอดคอนเฟิร์ม

The oqposite โอเอซิสแห่งใหม่ย่านนางเลิ้ง อ่านเพิ่มเติม

ล้มบนฟูก Home&Cafe @สระบุรี

บ้านล้มบนฟูก Home & Cafe ร้านเเบ่งเป็น 2 โซน ในส่วนของ Indoor จะเป็นโซนห้องแอร์ กว้างขวาง มีเคาน์เตอร์สำหรับสั่งขนมและเครื่องดื่มต่างๆ ใครอยากนั่งชิลแบบเย็นฉ่ำก็เลือกนั่งกันได้สบายๆ เลย แต่สำหรับไฮไลท์ของที่นี่ต้องโซนถัดไปเลยค่ะ โซน outdoor บรรยากาศร่มรื่นใต้ต้นจามจุรี ริมแม่น้ำป่าสัก พร้อมฟูกและหมอนสามเหลี่ยมสีฟ้าสดใส ที่มาของชื่อร้าน “ล้มบนฟูก” นั่นเอง แค่เห็นก็น่าล้มตัวลงไปนอนมากๆ แล้ว จะนั่งหรือจะนอนก็ทำได้ตามสบาย สมกับเป็นสถานที่รวมพลคนขี้เกียจจริงๆ เลยค่ะ ฮ่าๆๆ  ใครอยากชิลเงียบๆ แนะนำมาวันธรรมดาค่ะ ถ้ามาวันหยุดขอบอกว่าเต็มทุกที่นั่งเลยล่ะ พระเอกของเรามาแล้ว มะม่วงน้ำดอกไม้ ครัมเบิ้ลเค้ก บอกเลยว่ามันดีต่อพุงอะค่ะ ^^ หอม เปรี้ยว หวาน กลมกล่อมกำลังดี ถ้าใครมาที่นี่ต้องลองสั่งมาทานกันดูนะคะ รับรองติดใจแน่นอน.สำหรับเมนูขนมอื่นๆ ยังมีให้ได้ลองกันอีกหลายเมนู เช่น ครัวซองต์แฮมชีส / มัลฟินฟักทองแอลมอนด์ / เค้กกล้วยน้ำว้าตาก และอิงลิชสโตน แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่  ส่วนเมนูเครื่องดื่มที่เราสั่งมานั้นก็คือ ชาวานิลลาลูกตาลเชื่อม ชากลิ่นวานิลลามีลูกตาลเป็นท้อปปิ้ง มีเนื้อให้เคี้ยวเล่นหนึบหนับ รสชาติไม่จนหวานเกินไป เมนูนี้แนะนำเลย ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมนูที่อยากให้เพื่อนๆ มาลิ้มลองยังมีอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมะม่วงหาวมะนาวโห่ น้ำตะไคร้ว่านหางจระเข้ น้ำมะตูมน้ำผึ้ง และน้ำผึ้งมะนาว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟ ก็มีให้เลือกหลายสไตล์ อย่างแก้วนี้ชื่อว่า “ป้าเพ็ญ” ไม่ใช่ชื่อของผู้ใดทั้งสิ้นแต่เป็นชื่อเมนูต่างหาก เป็นกาแฟดำ + นม ก็จะได้ความมันของนมผสมกับกาแฟสกัดเย็น นอกจากนั้นก็ยังมีเมนูกาแฟชื่อเก๋อีก เช่น “ลุงหนวด” เป็นกาแฟดำล้วน “น้องกิ๊ฟ” เป็นกาแฟ + นม + คาราเมล เจ้าถิ่นหลับปุ๋ย ^^ ดูบรรยากาศ…ชิลแค่ไหนคิดดู สบายสุด ^^

ล้มบนฟูก Home&Cafe @สระบุรี อ่านเพิ่มเติม

10 จุดชมนาขั้นบันไดฤดูฝน

10 จุดชมนาขั้นบันไดฤดูฝน 1. บ้านแม่กลางหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ บ้านแม่กลางหลวงเป็นชุมชนเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ หมู่บ้านจะอยู่ระหว่างเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ ภายในหมู่บ้านมีที่พักแบบโฮมสเตย์บริการอยู่หลายจุด ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องของวิวนาขั้นบันไดที่สวยงาม เรียกได้ว่าถ้าพูดถึงนาขั้นบันไดแล้วละก็ หลายๆ คนน่าจะคิดถึงที่นี่เป็นที่แรกเลย พิกัด : https://goo.gl/maps/ExtxUZL2D9y 2. บ้านผาหมอน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ บ้านผาหมอนเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวนาขั้นบันได ที่อยู่ระหว่างทางขึ้นดอยอินทนนท์ โดยจากทางขึ้นดอยอินทนนท์ บ้านผาหมอนจะอยู่ถึงก่อนบ้านแม่กลางหลวง หมู่บ้านอยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ประมาณ 8 กิโลเมตร พิกัด https://goo.gl/maps/QSJSS1nuoFo 3. บ้านกองกาน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าที่อำเภอแม่แจ่มก็มีจุดชมวิวนาขั้นบันไดอยู่หลายจุด อย่างเช่นที่บ้านกองกาน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอแม่แจ่มมากนัก เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวนาขั้นบันไดที่แอดแนะนำ ช่างภาพสายแลนด์ต้องห้ามพลาด พิกัด https://goo.gl/maps/HPCuRYDhq7B2 4. อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ การเดินทางเข้าไปชมนาขั้นบันไดที่นี่จะลำบากกว่าที่อื่นๆ พอสมควร แต่ถ้าใครชอบความสงบ ไม่วุ่นวาย นาขั้นบันไดในอำเภออมก๋อยก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แอดแนะนำ ด้วยการเดินทางที่ไกล ทำให้ที่นี่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์และเงียบสงบ พิกัด https://goo.gl/maps/xJoBgprpAb32 5. ป่าบงเปียง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ป่าบงเปียงเป็นหนึ่งในนาขั้นบันไดที่สวยที่สุดในประเทศด้วยสภาพพื้นที่ที่อยู่บนเขาสูง มีแนวเขาเรียงรายสลับซับซ้อน ทำให้เห็นนาขั้นบันไดในมุมกว้างลดหลั่นกันไปตามระดับ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเช้าๆ ของฤดูฝน จะมีสายหมอกจางๆ ลอยเป็นฉากหลังอีกด้วย พิกัด https://goo.gl/maps/HJmddtF17UL2 6. อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน จากเชียงใหม่ แอดพามาดูนาขั้นบันไดที่แม่ฮ่องสอนกันบ้าง…หลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของนาขั้นบันไดที่แม่ลาน้อยกันมาบ้างแล้ว นาขั้นบันไดที่แม่ลาน้อย เป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 นอกจากนาข้าวแล้ว ที่แม่ลาน้อยยังมีแปลงผักปลอดสารพิษที่ปลูกตลอดทั้งปีอีกด้วย  พิกัด https://goo.gl/maps/6S9o24kAbuL2 7. บ้านดง อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน นาขั้นบันไดที่บ้านดง เป็นอีกหนึ่งจุดชมนาขั้นบันไดในอำเภอแม่ลาน้อย โดยที่นี่ได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองร้อยนา” เพราะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ที่ปลูกข้าวตามสภาพภูมิประเทศ  พิกัด https://goo.gl/maps/rahazwJtnm72 8. ดอยแม่สะเรียง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน บนดอยแม่สะเรียงเป็นที่ตั้งของชุมชนใหญ่อยู่ติดชายแดนไทย-พม่า ที่มีชาวพุทธ คริสต์ และอิสลาม อาศัยอยู่รวมกัน หลายๆ คนอาจจะเคยไปเที่ยวนาขั้นบันไดที่แม่ลาน้อยกันมาบ้างแล้ว ถ้ามีโอกาสลองแวะมาที่ดอยแม่สะเรียงกันดูบ้าง รับรองว่าสวยไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน พิกัด https://goo.gl/maps/hc2XVYfaUZ82 9. หมู่บ้านปางขอน อ.เมือง จ.เชียงราย นอกจากไร่กาแฟและดอกนางพญาเสือโคร่งแล้ว ที่นี่ยังมีนาขั้นบันไดที่ปลูกตามสภาพพื้นที่ในช่วงฤดูฝนอีกด้วย ถึงแม้ว่านาขั้นบันไดที่นี่อาจจะไม่ได้มีพื้นที่มากเหมือนที่อื่นๆ แต่ก็สวยงามไปอีกแบบนะ พิกัด https://goo.gl/maps/6H5hRo88c1S2 10. บ้านสะจุกสะเกี้ยง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ที่สุดท้ายแอดพามาชมนาขั้นบันไดที่ บ้านสะจุกสะเกี้ยง-เปียงซ้อ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งในโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อเร่งฟื้นฟูสภาพป่าในพื้นที่  พิกัด https://goo.gl/maps/hKkG5zNK6Zq

10 จุดชมนาขั้นบันไดฤดูฝน อ่านเพิ่มเติม

“ท่องเที่ยวอิ่มบุญ…สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น”

ฤดูฝนเป็นฤดูแห่งการทำนา ในระหว่างเข้าพรรษาพระภิกษุสงฆ์จะต้องจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อไม่ให้ไปเดินเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย และเนื่องจากสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงหล่อเทียนขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อถวายให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้ในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ ยามค่ำคืนตลอดช่วงเวลาของการเข้าพรรษา การนำเทียนไปถวายนั้น จะให้เดินไปถวายแบบปกติมันก็จะธรรมดาไป โลกไม่จำค่ะ ชาวบ้านจึงจัดขบวนแห่กันอย่างเอิกเกริกสนุกสนาน และปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกลายเป็นประเพณีอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ค่ะ ถ้าพูดถึงประเพณีแห่เทียนพรรษาแล้ว จังหวัดแรกที่นึกถึงคงหนีไม่พ้น จ.อุบลราชธานี เพราะที่นี่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่องการแกะสลักเทียนเป็นรูปต่างๆ อย่างวิจิตรงดงาม ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในวรรณคดี บุคคลสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ และอื่นๆ อีกมากมาย  งาน “ฮีตศรัทธาราชธานีแห่งแสงเทียน” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 28 กรกฎาคม 2561 ภายในงานจะมีกิจกรรมการแสดง แสง สี เสียงสุดอลังการ โดยขบวนแห่จะมีทั้งกลางวันและกลางคืน – แห่เทียนกลางคืน ในช่วงค่ำของวันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2561 จะมีขบวนแห่เทียนและการแสดงประกอบแสงเสียง เรื่อง “เกิดแต่อุบล” บริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม โดยวันที่ 27 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 19.00-20.30 น. ส่วนวันที่ 28 กรกฎาคม เริ่มประมาณ 18.00 น. – แห่เทียนกลางวัน วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 จุดเริ่มต้นขบวนจะอยู่บริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม เริ่มตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไปค่ะ “มหกรรมแห่เทียนพรรษาและตักบาตรบนหลังช้าง” ถือเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่ชาวสุรินทร์ภาคภูมิใจ เพราะเป็นวัฒนธรรมการแห่เทียนที่ยิ่งใหญ่และไม่เหมือนใคร ตักบาตรบนหลังช้างทำยังไง? ทำได้ด้วยเหรอ? ถ้าอยากรู้ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองนะคะ^^  งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2561 กิจกรรมภายในงานมีดังนี้ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ชมริ้วขบวนแห่เทียนพรรษา ขบวนฟ้อนรำศิลปวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ พร้อมกับขบวนแห่ช้างกว่า 80 เชือก  วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 เวลา 07.00 น. จะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตรบนหลังช้าง บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวางค่ะ โคราช เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการจัดงานแห่เทียนเข้าพรรษาที่มีความสวยงามและอลังการไม่แพ้ที่อื่นๆ เลยค่ะ โดยมีการจัดงานทั้งหมด 3 ที่ ได้แก่ วันที่ 26 กรกฎาคม 2561 จะมีการแห่เทียนพรรษาของอำเภอโชคชัยและอำเภอพิมายค่ะ (เริ่มแห่ตั้งแต่ประมาณ 13.00 น. เป็นต้นไป) โดยจะเป็นการประกวดต้นเทียนพรรษา เมื่อได้ผู้ชนะของแต่ละอำเภอแล้วทั้งหมดก็จะไปรวมตัวกันบริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีค่ะ  งานแห่เทียนพรรษาที่อำเภอโชคชัย ใช้ชื่องานว่า “เทศกาลกินหมี่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา อำเภอโชคชัย” ส่วนที่อำเภอพิมายใช้ชื่องานว่า “ประเพณีแห่เทียนพรรษา อำเภอพิมาย” ภายในงานของทั้ง 2 อำเภอจะมีมหรสพการแสดง และกิจกรรมต่างๆ มากมายค่ะ วันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2561 จะมีการจัด “งานแห่เทียนพรรษาโคราช” ณ บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เป็นการแห่เทียนพรรษาสุดยิ่งใหญ่ของชาวโคราชค่ะ (ขบวนแห่เริ่มวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น.) โดยจะนำต้นเทียนพรรษาที่ชนะจากทั้ง 2 อำเภอมาแห่ และจัดแสดงให้ชมกันค่ะ  นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแสดง แสง สี เสียง รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ของดีเมืองโคราช สินค้าโอท็อปต่างๆ มาให้เพื่อนๆ ได้เลือกชอปเลือกชิมกันตลอดงานเลยค่ะ “ประเพณียายดอกไม้” ครั้งแรกที่แอดได้ยิน็ถึงกับงงเลยทีเดียว ว่านี่คือประเพณีอะไร? ประเพณียายดอกไม้เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวเวียงจันทน์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดสิงห์บุรีค่ะ คำว่า “ยาย” นั้นเพี้ยนมาจาก คำว่า “หย่าย” ในภาษาลาว แปลว่า การแจกจ่ายหรือการให้ คำว่า “ยายดอกไม้” จึงหมายถึงการให้ หรือถวายดอกไม้แด่พระสงฆ์ เพื่อนำไปบูชาพระพุทธเจ้านั่นเองค่ะ  และในปีนี้ชาวจังหวัดสิงห์บุรีก็ได้จัดงานนี้ขึ้น ภายใต้ธีม “ตักบาตรยายดอกไม้ นุ่งซิ่นไทย-ลาวเวียง” ณ วัดจินดามณี จังหวัดสิงห์บุรี ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2561 เวลา 07.00 น.  ภายในงานมีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็น การทอดผ้าป่าดอกไม้ ถวายเทียนพรรษา ชิมอาหารถิ่นสิงห์บุรี ชมการแสดงเต้นบาสโลป และอื่นๆ อีกมากมาย แอดอยากเชิญชวนเพื่อนๆ ไปสัมผัสกับบรรยากาศวัฒนธรรมท้องถิ่นของที่นี่ดูนะคะ ว่าจะมีความงดงามแตกต่างจากวัฒนธรรมที่เพื่อนๆ คุ้นเคยมากน้อยแค่ไหนค่ะ ^^ สำหรับใครที่คิดว่าการแห่เทียนพรรษาทางบกธรรมดาไป ต้องมางานนี้เลยค่ะ “ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำ” ณ คลองลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในอยุธยา  งานจัดขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคม 2561 โดยจะเริ่มแห่ประมาณ 11.00 น. กิจกรรมภายในงานจะมีการประกวดบ้านสวนริมคลอง การแข่งขันกีฬาพื้นบ้านลาดชะโด การจัดแสดงภาพถ่ายวิถีชีวิตชาวลาดชะโด การจำลองบรรยากาศตลาดน้ำย้อนยุค และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้เพื่อนๆ ยังจะได้สัมผัสวิถีชีวิตบ้านริมน้ำอีกด้วยนะคะ “ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2561 ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารจ.สระบุรี ซึ่งเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของ จ.สระบุรี นับเป็นประเพณีที่แปลกไม่เหมือนใคร และมีเพียงแห่งเดียวอีกด้วย  โดยในยามเช้าพระสงฆ์จะเดินรับบิณฑบาตรจากพุทธศาสนิกชน ซึ่งจะนำดอกไม้ชนิดหนึ่งมาใส่บาตร ดอกไม้ชนิดนี้จะบานในช่วงเข้าพรรษาพอดี จึงได้ชื่อว่า “ดอกเข้าพรรษา” ค่ะ เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนอาจจะไม่รู้จักดอกไม้ชนิดนี้ และแอบไปเสิร์ชหารูปจากอินเตอร์เน็ตดู แต่เชื่อเถอะค่ะว่ายังไงก็ไม่สวยเท่าไปเห็นด้วยตาตัวเองหรอกนะคะ ต้องลองไปสัมผัสดูค่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่อยากเดินทางไปต่างจังหวัด วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่จัดกิจกรรมเข้าพรรษาค่ะ

“ท่องเที่ยวอิ่มบุญ…สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น” อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top