กรุงเทพมหานคร

กรุงเทพมหานคร

ดื่มด่ำงานศิลป์ที่ Matdot Art Center

ถนนหลานหลวง ถือเป็นถนนที่มีความคลาสสิกอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีตึกเก่าสวย ๆ ให้เดินถ่ายรูปเล่นเพลิน ๆ หลายตึกเลย นอกจากนี้ แอดยังไปสะดุดตาเข้ากับแกลเลอรีแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ Matdot Art Center ซึ่งด้านในมีทั้งร้านกาแฟ และแกลเลอรีแสดงผลงานศิลปะหลายสไตล์ แอดบอกเลยว่าที่นี่เหมาะมากสำหรับการมานั่งชิลล์จิบกาแฟ ขลุกตัวทำงาน และชมงานศิลป์.ช่วงนี้ที่ art center กำลังมีนิทรรศการ “The Revolving World” โดยงานจะจัดไปจนถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2564 เพื่อน ๆ ที่สนใจ สามารถไปชมนิทรรศการกันได้ค่ะ Matdot Art Center ก่อตั้งขึ้นโดย คุณธวัชชัย สมคง ศิลปินและบรรณาธิการบริหาร นิตยสาร Fine Art ผู้รักในศิลปะ อยากให้ศิลปินมีพื้นที่แสดงความสามารถ และให้ผู้คนที่ชื่นชอบศิลปะได้เข้าถึงงานศิลปะได้มากยิ่งขึ้น ทุกพื้นของ art center จะมีศิลปะเข้าไปเป็นส่วนประกอบเพื่อนำเสนอว่า ศิลปะสามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและทุกกิจกรรมที่เราทำได้ เมื่อเข้าไปในแกลเลอรี จะพบกับร้านกาแฟเป็นห้องแรก ซึ่งเปรียบเสมือนห้องรับแขกที่รวบรวมงานศิลปะของศิลปินจากทั่วโลกเอาไว้ บรรยากาศและผลงานศิลปะภายใน Matdot Cafe ร้านกาแฟแห่งนี้ให้บริการกาแฟและของหวานที่ทางร้านทำเอง เมนูที่ต้องลองชิมคือ กาแฟ cold brew และเค้กบราวนี่รสชาติเข้มข้น ถูกใจคนที่ชอบช็อกโกแลตอย่างแน่นอน อีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟ เป็นโซนห้องสมุด เอาไว้สำหรับนั่งทำงานและอ่านหนังสือ โดยจะมีงานศิลปะแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของห้อง มุมนั่งชิลอีกมุมหนึ่งของโซนร้านกาแฟ ที่นี่มีห้องแกลเลอรีทั้งหมด 2 ห้อง คือ Blacklist Gallery และ MatDot Gallery เป็นแกลเลอรีหลักสำหรับจัดแสดงนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนของศิลปินชาวไทยและต่างชาติ โซนสตูดิโอ มี 3 ห้อง เป็นโซนที่เปิดให้ศิลปินชาวต่างชาติมาพักและสร้างผลงาน โดยมีห้องพักและห้องทำงานให้บริการ พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ถ้าเพื่อน ๆ โชคดีได้เจอตัวศิลปิน ก็สามารถขอเข้าไปดูผลงานและพูดคุยกับศิลปินได้ค่ะ ห้องพักสำหรับศิลปิน แบ่งออกเป็น 4 ห้องหลัก มีการตกแต่งอย่างสวยงาม และมีผลงานศิลปะประดับอยู่ทั่วห้อง โซนห้องดำ เป็นห้องอเนกประสงค์ ใช้สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น Workshop อีเวนท์เฉพาะกิจ หรืองานเสวนาที่จัดขึ้นร่วมกับศิลปินที่มาพำนักที่ art center เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางศิลปะแก่บุคคลภายนอก อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือ ห้องจัดแสดงภาพวาด อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นของสะสมของคุณธวัชชัย ภาพวาดและผลงานที่เกี่ยวกับ อ.ศิลป์เหล่านี้ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่เป็นศิลปินได้สร้างสรรค์ขึ้นและมอบให้คุณธวัชชัย แต่ห้องนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัว หากต้องการเข้าชม แอดแนะนำให้นัดหมายกับเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าก่อนนะคะ ขอบคุณรูปภาพจาก Matdot Art Center.ที่ตั้ง 47 ถนนหลานหลวง แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานครเปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) แกลเลอรีเปิด 10.00-19.00 น. ร้านกาแฟเปิด 09.30 – 18.30 น.โทร. 0 2163 4550พิกัด: https://g.page/MatDot?share

ดื่มด่ำงานศิลป์ที่ Matdot Art Center อ่านเพิ่มเติม

ชุมชนบ้านบาตร

บ้านบาตรเป็นชุมชนตีบาตรที่มีชื่อเสียงมากในอดีต ใครต้องการซื้อหาบาตรถวายพระสงฆ์ หรือใช้ในงานบวชก็ต้องมาที่บ้านบาตร จนเมื่อการผลิตบาตรแบบปั๊มแพร่หลาย และมีราคาถูกกว่าบาตรแบบตีด้วยมือ จึงทำให้บาตรแบบตีด้วยมือขายได้น้อยลง ช่างตีบาตรในชุมชนจึงทะยอยเลิกตีบาตรกันไป เหลือเพียงไม่กี่ครอบครัว ก่อนจะกลับมาฟื้นฟูกันใหม่ ปัจจุบันมีช่างอยู่ประมาณ 30 คนแล้ว ชุมชนบ้านบาตรไม่เพียงสืบสานการตีบาตรด้วยมือ แต่ยังพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้อีกด้วย ทั้งในเรื่องความเป็นมา และขั้นตอนการผลิต นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนวอนุรักษ์ชุมชนที่น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่มีน้อยคนมากที่รู้จัก บาตรของชุมชนบ้านบาตร เป็นบาตรที่ตรงตามหลักพระธรรมวินัย คือ เป็นบาตรบุหรือบาตรที่ทำด้วยมือ และประกอบด้วยเหล็ก 8 ชิ้น ซึ่งเหตุที่ต้องเป็น 8 ก็เพราะบาตรเป็นหนึ่งในอัฐบริขาร 8 ของพระภิกษุ แต่เดิมนั้น พระวินัยบัญญัติว่าวัสดุที่นำมาทำบาตรมี 2 ชนิดเท่านั้น คือ ดินเผา และเหล็กรมดำ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงมีการอนุโลมให้ใช้สแตนเลสได้ เพราะดูแลทำความสะอาดง่าย แอดได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับช่างทำบาตร คุณลุงคุณป้าใจดีพร้อมให้ความรู้เรื่องบาตรแบบจัดเต็มเลยค่ะ หากใครมีโอกาส เข้าไปเที่ยวชมกันเยอะ ๆ นะคะ ขั้นตอนการทำบาตรมีทั้งหมด 8 ขั้นตอน คือ 1 การทำขอบบาตร 2 การประกอบกง หรือทำโครงของบาตร 3 การเชื่อมบาตร 4 การตีตะเข็บบาตร 5 การลายบาตร 6 การตีเม็ดให้เรียบ 7 การตะไบบาตร 8 การระบมบาตรหรือการสุม เพื่อไม่ให้บาตรเป็นสนิม ซึ่งแต่ละขั้นตอนก็ต้องอาศัยช่างผู้ชำนาญ เรียกว่ามากันหมดหมู่บ้านละค่ะ ทั้งช่างตีขอบ ช่างต่อบาตร ช่างเชื่อม ฯลฯ แอดบอกเลยว่ากว่าจะได้บาตรสักใบต้องใช้ความอดทน หัวใจ ความเชื่อและความศรัทธามาก ๆ และปัจจุบันนี้ นับได้ว่ามีที่นี่ที่เดียวที่ยังคงทำบาตรแฮนด์เมด ซึ่งเมื่อเทียบกับบาตรปั๊ม บาตรตีด้วยมือนั้นทนทานมากกว่า ใช้ได้นานหลายสิบปี และที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ ตอนเคาะจะมีเสียงกังวานใสกิ๊งเหมือนเสียงระฆังเลยค่ะ คุณลุงคุณป้าบอกแอดว่าที่นี่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาทั้งทีไปไหว้ขอพรกันสักหน่อย “ศาลพ่อปู่” เป็นที่เคารพและที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านบาตร .การเดินทาง– MRT ลงสถานีสามยอด จากนั้นเดินต่อไปยังถนนบริพัตร ประมาณ 800 เมตรก็จะถึงชุมชนบ้านบาตร– เรือ โดยสารเรือคลองแสนแสบลงที่ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ จากนั้นเดินต่อไปยังถนนบริพัตร ประมาณ 600 เมตร– รถประจำทาง สาย 37, 46, 508 ในบริเวณศาลพ่อปู่ เราจะพบสิ่งสักการะที่ไม่คุ้นตาอยู่ด้านข้าง เป็นไม้ที่ชาวบ้านเรียกว่า “เตาสูบ” เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเผาบาตรในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้เตาสูบแล้ว ชาวบ้านบาตรถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีครูบาอาจารย์ต้องให้ความสำคัญและเคารพ ใครชมการทำบาตรแล้วก็อย่าลืมเข้ามากราบไหว้กันนะคะ.กลุ่มอนุรักษ์บาตรไทยและภูมิปัญญา ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

ชุมชนบ้านบาตร อ่านเพิ่มเติม

ลัดเลาะเที่ยวชุมชนกุฎีจีน

เวลาหนึ่งวัน เราจะปล่อยให้เป็นวันธรรมดา หรือจะเปลี่ยนให้เป็นวันที่น่าจดจำก็ได้ เพียงแค่ออกไปเดินเที่ยวสบาย ๆ วันธรรมดาก็กลายเป็นวันชิลล์ ๆ แล้ว ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะไปไหน ตามแอดมา แอดจะพาไปเดินเล่น ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยของย่านชุมชนที่มีชีวิตชีวาอย่าง “ชุมชนกุฎีจีน” กัน ชุมชนกุฎีจีน.ชุมชนกุฎีจีนหรือกะดีจีน เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในชุมชนมีทั้งชาวไทย จีน ฝรั่ง เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยก่อตั้งกรุงธนบุรี ภายในชุมชนก็จะมีตรอกซอกซอยเยอะมาก ทุกมุมล้วนมีชีวิตชีวา มี Graffiti มีบ้านสวย ศาลเจ้าเก่าแก่ โบสตถ์คริสต์ พิพิธภัณฑ์ชุมชนรวมทั้งร้านอร่อย ทั้งคาวทั้งหวานน่ากินไปหมด นี่คงเป็นหนึ่งเหตุที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปไม่ขาดสาย วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร.สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นวัดเก่าแก่ มีความงดงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมผสมผสานไทยและจีน ไฮไลท์คือมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต หรือที่รู้จักกันในหมู่ชาวจีนว่า ซำปอกง ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร ส่วนภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ นับเป็น 1 ใน 2 วัดในกรุงเทพฯเท่านั้นที่มีพระประธานปางปาลิไลยก์.ผู้คนนิยมมาสักการะบูชาเพื่อขอพรให้เดินทางปลอดภัยและขอให้มีมิตรที่ดีตามชื่อของวัดแห่งนี้.เปิดทุกวัน เวลา 06.00-17.00 น.โทร. 0 2466 4643 โบสถ์ซางตาครู้ส.คำว่า ซางตาครู้ส หมายถึง ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ตามพิธีสักการะบูชาของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกโบสถ์ซางตาครู้สสร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อให้เป็นศาสนสถานของชาวโปรตุเกส ตั้งแต่ปี พ.ศ.2313 โดยโบสถ์หลังแรกเป็นโบสถ์ไม้ จนเมื่อปี พ.ศ.2376 เกิดเพลิงไหม้ชุมชนและโบสถ์ จึงต้องสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ จนเมื่อ พ.ศ. 2456 โบสถ์หลังดังกล่าวก็เก่าทรุดโทรมมากเกินกว่าจะซ่อมแซม จึงมีการก่อสร้างใหม่ นั่นก็คือโบสถ์หลังปัจจุบัน ซึ่งแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2459 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์และนีโอคลาสิก พร้อมยอดโดมที่จำลองมาจากมหาวิหารฟลอเรนซ์ ในประเทศอิตาลี จึงถือว่าเป็นวัดคริสต์ที่มีความเก่าแก่มากอยู่คู่กรุงเทพฯ บ้านวินเซอร์.บ้านวินเซอร์ หรือบ้านขนมปังขิงแห่งนี้เป็นบ้านเก่าแก่อีกหลังที่ใครมาเที่ยวกุฎีจีนก็จะถ่ายรูปไว้เสมอ แต่เดิมบ้านนี้เป็นบ้านไม้ที่ซื้อมาจากที่อื่น แล้วนำมาปลูกสร้าง ลักษณะคือบ้านไม้ 2 ชั้น โดดเด่นด้วยลายขนมปังขิง ภายนอกประดับตกแต่งตามตำแหน่งหน้าจั่ว ชายคาโดยรอบ กันสาด หน้าต่างด้านข้างของตัวบ้าน.ปัจจุบันบ้านหลังนี้ ไม่มีใครอาศัยอยู่ หากมองจากริมแม่น้ำจะมองเห็นตัวบ้านทั้งหลัง ในอดีตบ้านหลังนี้จะคงสวยงามมาก ๆ เลยล่ะ ทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมและลวดลายฉลุ ศาลเจ้าเกียนอันเกง หรือ ศาลเจ้าแม่กวนอิม.ศาลเจ้าเก่าแก่ ในชุมชนกุฎีจีน ตั้งอยู่ระหว่างวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารและวัดซางตาครู้ส นับเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในฝั่งธนบุรี เล่ากันว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน เดิมศาลเจ้าแห่งนี้มี 2 ศาล แต่หลังจากนั้นศาลเจ้าได้ทรุดโทรมลงไปมาก ในสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวจีนฮกเกี้ยนกลุ่มหนึ่งได้รื้อศาลทั้งสองแล้วสร้างขึ้นมาใหม่เพียงศาลเดียว ซึ่งคือศาลเจ้าปัจจุบันนั่นเอง.ด้านในมีองค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมให้ได้กราบไหว้สักการะ ชมความสวยงามของงานไม้แกะสลักที่มีความประณีตและงดงาม ภายนอกศาลเจ้ามุงด้วยกระเบื้องโค้งตามแบบจีน แอบบอกก่อนว่าภายในห้ามถ่ายรูปนะคะ ถ้าอยากรูปว่าด้านในเป็นยังไง ก็ต้องมาดูด้วยตัวเอง พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน.ถ้าอยากเข้าใจชุมชนกุฎีจีนให้มากขึ้น แนะนำให้มาที่นี่ พิพิธภัณฑ์บ้านกุฏีจีนเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนและแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา ศาสนา และอาหารของชาวสยามโปรตุเกสในชุมชนกุฏีจีน รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับขนมไทยหลายชนิดที่เชื่อกันว่าท้าวทองกีบม้าได้ดัดแปลงมาจากขนมของโปรตุเกส พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน เป็นบ้านไม้สามชั้น บรรยากาศร่มรื่น น่าสบาย ชั้นล่างเป็นจุดประชาสัมพันธ์ มีร้านกาแฟเล็ก ๆ สามารถนั่งดื่มชากาแฟ และช้อปปิ้งของที่ระลึกน่ารัก ๆ ได้ ส่วนชั้น 2 เป็นห้องแสดงเรื่องราวความเป็นมาของชาวโปรตุเกสในประเทศไทย และที่มาของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส ชั้น 3 จัดแสดงเป็นห้องนอนแบบโบราณ ทั้งตู้ เตียง โต๊ะ และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมถึงเครื่องมือประกอบอาชีพ ทำให้เราเห็นภาพในอดีตของชุมชนเก่าแก่แห่งนี้เลยล่ะ พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน แต่เปิดให้เข้าชมฟรี ผู้สนใจต้องการช่วยสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ก็สามารถซื้อของที่ระลึก หรือรับประทานอาหารเครื่องดื่มที่นี่ได้.เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.30-18.00 น. (ปิดวันจันทร์)โทร. 08 1772 5184 ขนมฝรั่งกุฎีจีน.ของอร่อยห้ามพลาดเมื่อมาเยือนชุมชนกุฎีจีน ก็คือ “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” ขนมนี้มีต้นตำรับจากฝรั่ง เป็นขนมหายาก จะทำกันเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญทางศาสนา ได้รับอิทธิพลมาจากขนมของชาวโปรตุเกสเป็นขนมอบ มีส่วนผสมหลัก ๆ 3 อย่างคือ แป้งสาลี ไข่เป็ดและน้ำตาลทราย รสชาติคล้ายขนมไข่ ด้านนอกจะกรอบ ๆ ส่วนเนื้อขนมจะมีความแน่นกว่า แต่งหน้าด้วยลูกเกด ลูกพลับเชื่อม โรยหน้าด้วยน้ำตาล ปัจจุบันมีร้านบ้านป้าเล็ก บ้านป้าพรรณ ร้านหลานป้าเป้า และร้านธนูสิงห์ ที่ยังคงทำขนมโบราณชนิดนี้ขายอยู่ นอกจากนี้ ยังมีขนมอื่น ๆ ที่ต้องลิ้มลองนอกจากขนมฝรั่งกุฎีจีน– ขนมกุสลา หรือ “ขนมตรุษฝรั่ง” มีส่วนผสมแบบเดียวกันขนมฝรั่งกุฎีจีน แต่เพิ่มเนย เกลือ และน้ำเข้าไป นำไปทอดแล้วเคลือบน้ำตาล– ก๋วยตั๊ส หรือพายสัปปะรด ขนมตำรับโปรตุเกสอีกอย่างที่หาทานได้เฉพาะที่กุฎีจีน– ขนมหน้านวล ขนมไทยโบราณทำจากแป้งสาลี ไข่แดง และน้ำตาล อบให้สุก บะหมี่ไก่กรอบลาดหญ้า (หน้าวัดบุปผาราม).ใครหิวมารวมตัวกันทางนี้ แอดมีมื้อหนักมาแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ไก่กรอบ บอกเลยว่าอิ่มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เป็นบะหมี่ต้มยำที่ท็อปด้วยไก่กรอบ มีทั้งแห้งและน้ำตามใจชอบ รสชาติกลมกล่อม เผ็ดหวานกำลังดี.เปิดทุกวัน เวลา 08.00-19.00 น.โทร. 09 7185 6620 Window กาแฟ.ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ น่ารัก ใกล้กับพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน มีกาแฟ เครื่องดื่ม ไอศกรีมแบบโฮมเมด และขนมอร่อย ๆ คอยต้อนรับ.เปิดวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. (ปิดวันศุกร์)โทร. 08 4659 9515 แอดสั่ง Honey ขนมฝรั่งกุฎีจีน เป็นเมนูแนะนำของร้านค่ะ ซึ่งประกอบด้วยขนมฝรั่งกุฎีจีน ผลไม้ และไอศกรีมโฮมเมด เนื้อแป้งขนมกรอบนอกนุ่มในกินคู่กับไอศกรีม เข้ากันได้ดีเลยค่ะ ขอขอบคุณรูปภาพจากเพจ Window กาแฟ

ลัดเลาะเที่ยวชุมชนกุฎีจีน อ่านเพิ่มเติม

Enjoy Eating for 1 Day @ ตลาดพลู

สวัสดีเพื่อน ๆ ช่วงที่ผ่านมาระหว่างที่ Work From Home แอดเห็นหลายคนบ่นใน Social Media ว่าอยากออกไปหาที่กิน ที่เที่ยว เพราะอยู่บ้านจนเบื่อแล้ว วันนี้แอดมีย่านของอร่อยมานำเสนอ นั่นก็คือ ตลาดพลู ย่านตลาดพลูเป็นย่านร้านอาหารทั้งคาวหวานที่เปิดขายกันมายาวนาน ชาวฝั่งธนฯรู้จักกันดี มีร้านอร่อยขึ้นชื่อไม่แพ้เยาวราช มีทั้งร้านกลางวันกลางคืน รับรองเลยว่ามาเมื่อไหร่ก็ได้อิ่มอร่อยแน่นอนนน เอาล่ะ ตามไปกิน เอ้ย!! ตามไปอ่านกันได้เลย Enjoy Eating for 1 Day @ ตลาดพลู .1.กระเพาะปลาขันโค้ก2.สุณีข้าวหมูแดง3.หมวยหลี ไอติมไข่แข็ง4. สุริยา กาแฟ 100 ปี5. เจ๊บิ เปาะเปี๊ยะสด ตลาดพลู6. ยายใฝ ขนมเบื้องญวณ7. เจ๊อ้อย หมี่กระเฉดตลาดพลู8. LYNX Specialty Coffee แอดเดินทางด้วย BTS มาลงที่สถานี ตลาดพลู ใช้ทางออกที่ 2 จากนั้นใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง (20 บาท) มาลงที่ตลาดพลู หรือถ้าจะเดินก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ร้านอาหารคาวหวานย่านนี้ แต่ละร้านอยู่ใกล้กันมาก สามารถเดินถึงกันได้สบาย ๆ คล้ายกับย่านเยาวราช ร้านแรกที่แอดจะมาแนะนำนั่นก็คือ “กระเพาะปลาขันโค้ก” ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมากว่า 50 ปี อยู่ข้างรางรถไฟเลย คุณลุงคุณป้าเจ้าของร้านใจดี ชวนคุยเป็นกันเองน่ารักมาก แอดสั่งกระเพาะปลาแบบธรรมดา 1 ถ้วย เพราะต้องเผื่อท้องไว้กินร้านอื่น ๆ ด้วย ต้องบอกก่อนว่าร้านใช้หนังหมูแทนกระเพาะปลา จะได้ไม่มองหากระเพาะปลากัน เห็นถ้วยแค่นี้ก็อิ่มใช้ได้เลยนะ น้ำซุปกลมกล่อมแบบที่แอดชอบเลย ไม่ข้นมาก พอเกาะเส้นเกาะเครื่องให้มีรสชาติเวลากิน แต่ซดได้คล่องคอ ที่สำคัญเครื่องเยอะด้วยนะ ร้านเปิด 10.00 น. แต่อย่าชะล่าใจ เพราะของจะหมดไวมาก มาแล้วอย่าพลาดร้านนี้เชียว.ที่ตั้ง สถานนีรถไฟตลาดพลู เกือบปลายสถานี ติดริมทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย 1087 ถนน เทอดไท แขวง ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เวลาเปิด-ปิด 10:00 – 14:00 น. (หยุดวันอาทิตย์)โทร. 08 7078 8238 ร้านที่สองคือร้าน “สุณีข้าวหมูแดง” ที่แอดแอบหมายตาไว้อยู่แล้ว มีที่นั่งพอดี…จะรออะไรล่ะ สั่งเลย!!.แอดสั่งข้าวหมูแดง อร่อยทีเดียว สมกับขายมานานกว่า 60 ปี หมูแดงมีกลิ่นย่างเตาถ่าน เนื้อฉ่ำ น้ำราดมีรสหวานนำ เจือเค็มนิด ๆ ทานง่ายดีนะ ที่สำคัญนั่งกินข้างรางรถไฟแบบนี้ แปลกใหม่สำหรับแอดมาก ๆ (แต่แอดชอบนะ อยากกลับไปกินอีก).ที่ตั้ง 854/8 ซอย เทอดไท 25 แขวง ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เปิดทุกวัน 06:00 – 20:30 น.โทร. 0 2466 3173 หมวยหลี ไอติมไข่แข็ง.กินคาวแล้วก็กินหวานต่อ ร้านนี้เดินจากร้านสุณีข้าวหมูแดงแค่ 3-4 ก้าวก็ถึงแล้ว บอกตามตรงว่าทั้งแอดและเพื่อนไม่เคยกิน ไอติมไข่แข็งมาก่อน ทางร้านเล่าให้ฟังว่าเปิดมากว่า 60 ปีแล้ว เปิดมาก่อนร้านสุณีข้าวหมูแดงซะอีก มา…เรามาลองรสชาติของ ประวัติศาสตร์ไอติม 60 ปีพร้อม ๆ กัน.เมนูที่ทางร้านแนะนำมาก็คือ ไอติมไข่แข็ง(โป๊ก) เป็นไอศกรีมกะทิ เนื้อสัมผัสไม่ได้เหนียวมาก รสชาติหวานนำ พอตักโดนไข่ก็มีความมัน ๆ นัว ๆ กินคู่กับท็อปปิ้งก็ยิ่งให้รสชาติที่หลากหลาย ไม่น่าเบื่อ ยิ่งทับทิมกรอบของร้านนี้นะ ถูกใจแอดมาก เผลอแป๊บเดียวก็หมดแล้ว เหมาะกับช่วงกลางวันที่อากาศร้อนมาก ๆ เลยยย.ที่ตั้ง : 10600 854/8-01 แขวง ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เปิดทุกวัน 09:00 – 20:30 น.โทร. 08 1409 2484, 09 4324 0324 สุริยา กาแฟ 100 ปี.หากใครขาดคาเฟอีนไม่ได้ ที่ตลาดพลูก็มีร้านกาแฟให้เพื่อน ๆ ได้เติมคาเฟอีน “สุริยากาแฟ 100 ปี” สาขานี้อยู่ใต้สะพาน บรรยากาศเหมือนสภากาแฟในหนังที่ตัวละครชอบมานั่งเสวนากัน.เจ้าของร้านอัธยาศัยดีมาก ต้อนรับขับสู้ชวนคุยระหว่างรอกาแฟ จากบทสนทนาเล็กน้อยนี้ ทำให้ทราบมาว่าปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว โดยร้านนี้พี่น้อง 3 คนจะสลับกันมาชงกาแฟ แอดสั่งโอเลี้ยงใส่ถุงมาลอง (ความอยากย้อนวัยส่วนตัว) หรือใครจะสั่งใส่แก้วก็ได้นะ รสชาติคือใช่มาก ย้อนวันวานมากเลย ส่วนใครอยากดื่มชา ที่ร้านก็มีเช่นกัน ทางร้านตั้งใจเลือกใช้ใบชาคุณภาพดีราคาแพงมาขายในราคาที่ถูก ให้ลูกค้าได้ลิ้มลองกัน ซึ่งหากแอดแวะไปอีกครั้ง รับรองไม่พลาดแน่.ที่ตั้ง : เลขที่ 1 ถนน เทอดไท ตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600เปิดทุกวัน 06:00 – 21:30 น.โทร. 08 6321 6296 เจ๊บิ เปาะเปี๊ยะสด ตลาดพลู.หันหน้าเข้าหาร้านกาแฟ แล้วเดินตามทางเท้ามาทางขวา เพื่อน ๆ จะพบกับร้านรถเข็นเล็ก ๆ ที่ขายเปาะเปี๊ยะสดมากว่า 60

Enjoy Eating for 1 Day @ ตลาดพลู อ่านเพิ่มเติม

ล้ง 1919 ตำนานท่าเรือกลไฟ 171 ปี

เพื่อน ๆ หลายคนน่าจะรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่าง ล้ง 1919 กันอย่างดี ล้งถือเป็น community space ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้บรรยากาศสไตล์จีนย้อนยุค มีตึกเก่า ศาลเจ้า ร้านอาหาร ร้านขายของ และมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก แต่ก่อนจะกลายมาเป็น ล้ง 1919 เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าบริเวณนี้เคยเป็นท่าเรือสำคัญมาก่อน ก่อนจะมาเป็น ล้ง 1919 ท่าเรือแห่งนี้ชื่อว่า ฮวย จุ่ง ล้ง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2393 ช่วงปลายรัชกาลที่ 3 เจ้าของคือ พระยาพิศาลศุภผล ต้นตระกูลพิศาลบุตร ท่าเรือฮวย จุ่ง ล้ง เป็นท่าเรือกลไฟและโกดังเก็บสินค้าที่เจริญรุ่งเรืองมาก โดยชาวจีนในอดีตที่เดินเรือมาทำการค้าหรือย้ายถิ่นฐานมาอยู่เมืองไทยจะต้องมาเทียบเรือและลงทะเบียนชาวต่างชาติที่ท่าเรือนี้ บริเวณท่าเรือยังมีร้านค้าและโกดังเก็บสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) พระยาพิศาลศุภผลได้ขายกิจการให้นายตัน ลิบ บ๊วย แห่งตระกูลหวั่งหลี ในตอนนั้นเศรษฐกิจซบเซาเพราะผลกระทบจากสงครามโลก รวมถึงมีการก่อตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้น จึงทำให้ท่าเรือฮวยจุ่ง ล้ง ลดความนิยมลง ตระกูลหวั่งหลีจึงปรับท่าเรือให้เป็นอาคารสำนักงานและโกดังสำหรับเก็บสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว ส่วนอาคารที่เคยเป็นร้านค้าก็กลายเป็นที่พักคนงาน กาลเวลาผ่านไปอาคารทรุดโทรมลงมากและถูกทิ้งร้างอยู่หลายปี จนในที่สุด ทายาทของตระกูลหวั่งหลีเห็นว่าอาคารแห่งนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ จึงบูรณะซ่อมแซมให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนรุ่นหลังจะได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย เมื่อเดินเข้าไปในล้ง 1919 เพื่อน ๆ จะได้พบกับหมู่อาคารทรงจีนโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต จุดเด่นของล้ง คือ หมู่อาคารแบบ ซาน เหอ หยวน เป็นลักษณะอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกันเป็นทรงตัว U ภายในอาคารแบ่งเป็นห้องหลายห้อง และถูกปรับให้เป็นร้านขายของสุดเก๋และสถานที่ทำ workshop ต่าง ๆ ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่หม่าโจ้วที่อยู่มายาวนาน ตั้งแต่เริ่มสร้างท่าเรือ ซึ่งเจ้าแม่หม่าโจ้วทั้ง 3 ปางนี้ ชาวจีนได้นำข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน โดยเชื่อว่าท่านให้โชคเรื่องเงินทองและการค้าขาย นอกจากจะได้ชมความสวยงามของตัวอาคารโบราณ อีกสิ่งที่ต้องห้ามพลาดคือ ภาพจิตกรรมฝาผนังเก่าแก่ ที่บังเอิญพบตอนล้างสีอาคารเพื่อทำการบูรณะ และภาพจิตกรรมสมัยใหม่ที่รังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างกลมกลืนกับบรรยากาศเก่า ๆ ล้ง 1919 ถนนเชียงใหม่ (ซอยวัดทองธรรมชาติ) แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานครเปิดทุกวัน เวลา 10.00-18.00 น.โทร. 09 1187 1919 วิธีเดินทางไปชมความสวยงามของท่าเรือประวัติศาสตร์แห่งนี้ รถไฟฟ้า BTS : ลงที่สถานีกรงุธนบุรี จากนั้นต่อรถไฟฟ้าสายสีทองไปลงที่สถานีคลองสาน เดินเข้าซอยวัดทองธรรมชาติ สุดซอยจะเจอ ล้ง 1919 เรือด่วนเจ้าพระยา : ลงที่ท่าเรือสี่พระยา แล้วนั่งเรือข้ามฟากมายังท่าเรือคลองสาน จากนั้นเดินไปซอยวัดทองธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร

ล้ง 1919 ตำนานท่าเรือกลไฟ 171 ปี อ่านเพิ่มเติม

4 ลานสเก็ตกรุงเทพฯ

ในช่วงนี้กระแสกีฬาที่กำลังมาแรงมากๆ คงหนีไม่พ้น Surfskate ที่เป็นที่นิยมในหมู่มวลทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ จะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้เกษียณก็ยังสามารถเล่นกันได้ ถือเป็นไลฟสไตล์ใหม่ของคนยุคนี้จริงๆ จะพาเซิร์ฟสเก็ตไปออกกำลังกายด้วย พาไปถ่ายรูปด้วย หรือพาไปเที่ยวด้วยก็ได้ ทำให้เกิดลานสเก็ตเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ขนาดห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก็ยังเปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่สนใจมาใช้บริการ เราก็จะมาแนะนำให้รู้จักกันแบบพอประมาณ ว่ามีที่ไหนบ้าง ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และเดินทางไปเล่นกันได้สะดวก ตามมา ตามมา Central World เปิดลานสเก็ตบอร์ดพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม. ให้ชาว Surfskate, Skateboard, Rollerblades และ Longboard ได้เล่นฟรี โดยได้มีงานเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 26-28 ก.พ. 64 ที่ผ่านมา และยังเปิดพื้นที่ให้เล่นกันต่อจนถึง 31 มี.ค. 64 นี้ ทุก ๆ วันเสาร์จะมีการแนะนำการเล่นสำหรับมือใหม่โดย Pro Skate นักกีฬาจากสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย ใครสนใจอยากรู้จัก อยากลองก็ไปที่สนามนี้กันได้ แล้วยังแวะเที่ยว แวะช็อปปิ้ง หรือจะแวะขอพรหาคู่ก็ได้ด้วยนะ Never Wave ลานสเก็ตพร้อมคาเฟ่ตึกสีขาวสุดชิค Wawa cafe and Bar at Never Normal ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ลาดพร้าวซอย 18 เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานกับลานสเก็ตแห่งนี้ โดยได้เริ่มเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง ลานสเก็ตที่นี่จะเหมาะกับนัก Surfskate ที่มีประสบการณ์การเล่นมาในระดับหนึ่งแล้ว เพราะอุปกรณ์การเล่นของสนามค่อนข้างที่จะต้องใช้ทักษะที่มากกว่าสกิลพื้นฐานในการเล่น ลานนี้โดดเด่นตรงที่มีคาเฟ่อยู่ด้วย เล่นเสร็จหิวก็เข้าคาเฟ่มานั่งดื่มน้ำ กินขนม กินอาหารกันได้ หรือจะอยากมาแค่คาเฟ่ก็มีวิวคนเล่นสเก็ตให้ดูไปด้วย ชิค ๆ ไปอีกแบบ  Wave Bank และ Wave Ramp ของลานนี้ ไม่ถึงกับเล่นยากมากนักแล้วไม่ง่ายมากนัก องศากำลังดีสำหรับสาย Wave ก็ลองมาฝึกกันที่นี่ได้นะ ลานสเก็ตบอร์ด @ สวนรถไฟ ลานสเก็ตแห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการมาแล้วหลายเดือน ถ้าอยากจะเข้าไปเล่นที่นี่ ก็ให้ไปสมัครสมาชิกกับศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศกันก่อน เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท เล่นได้ทั้งปี สมัครแล้วก็เอาบัตรสมาชิกมาลงทะเบียนก่อนเข้าสนามกันด้วยนะ ใครที่ไม่มีแผ่นก็สามารถขอยืมเล่นได้ ทางชมรม SRC เขานำบอร์ดมาให้ยืมเล่นได้แต่ก็ต้องติดต่อกับทางสตาฟชมรมกันก่อนนะ Sky Park (พระราม 9) Sky Park ลานสเก็ตบนดาดฟ้า หลังคาฟอร์จูนทาวน์ พระราม 9 ลานสเก็ตที่เกิดจากการรวมตัวของชาวเอ็กซ์ตรีมที่อยากให้มีพื้นที่สำหรับคนรักกีฬาเอ็กซ์ตรีม ไม่ว่าจะเป็น สตรีทสเก็ต เซิร์ฟสเก็ต ลองบอร์ดสเก็ต โรลเลอร์เบรด หรือแม้กระทั่งจักรยาน บีเอ็มเอ็กซ์ ซึ่งอนาคตอาจจะได้เห็นอีเวนท์ของลานนี้อีกมากมาย ลานสเก็ตนี้ก็ได้เปิดพื้นที่และอุปกรณ์สำหรับชาวสเก็ตให้ได้ลองเล่นกันหลายอย่างมากมาย และอยู่ใจกลางเมือง เดินทางได้สะดวก อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาหาร การกินก็มีครบ หรือจะเดินแวะเที่ยวก่อนก็ยังได้ เขามีสเก็ตให้เช่าด้วยนะ และถ้าใครอยากที่จะเรียนก็สามารถติดต่อกันเข้าไปได้เลย มีครูที่มีประสบการณ์คอยสอนกันแบบตัวต่อตัวเลย อุปกรณ์ก็มีให้เล่นหลายแบบ จะปั๊มแทร็ค แรมพ์ หรือเวฟแบงค์ก็มี มี Skate Shop ด้วย เผื่อใครสนใจอยากได้แผ่นใหม่ ตอนเย็นพระอาทิตย์ตก ก็จะได้แสงสวย บรรยากาศดีกันไปอีกแบบ

4 ลานสเก็ตกรุงเทพฯ อ่านเพิ่มเติม

ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง

ภาพคลองโอ่งอ่างย่านสะพานเหล็กในความคิดของเพื่อน ๆ เป็นยังไงกันบ้าง ? ถ้ายังคิดว่าเป็นย่านขาย CD เถื่อน หรือยังนึกถึงภาพสะพานข้ามคลองแคบ ๆ โทรม ๆ แออัดล่ะก็ ลืมภาพนั้นไปได้เลย เพราะปัจจุบันคลองโอ่งอ่างอัพเกรดแล้ว ทางกรุงเทพมหานครได้ปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ ขยับขยายย้ายร้านค้าเดิมที่ตั้งปิดคลองทั้งหมดออกไป ฟื้นฟูพื้นที่ให้เป็นระเบียบสวยงาม ทำความสะอาดคลองจนน้ำเริ่มใส รวมทั้งมีการจัดทำ Street Art สวย ๆ เกือบตลอดแนวคลอง กลายเป็นสถานที่เดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จะมีกิจกรรมพิเศษคือ “ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง” อีกด้วย ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง ครอบคลุมพื้นที่ 5 สะพาน (สะพานดำรงสถิต หรือสะพานเหล็ก สะพานภาณุพันธุ์ สะพานหัน สะพานบพิตรพิมุข และสะพานโอสถานนท์) เดินเล่นได้ทั้งสองฟากคลอง โดยโซนสะพานหันจะคึกคักที่สุด ส่วนการเดินทาง แอดแนะนำให้ใช้ MRT เพราะง่ายที่สุด สะดวกที่สุด จาก MRT สถานีสามยอด (ทางออก 1) เดินไม่ถึง 100 เมตรก็ถึงสะพานดำรงสถิตแล้ว เพื่อน ๆ จะได้เห็น Street Art ยาวไปทั้งสองฟากของคลองโอ่งอ่าง สวย ๆ ทั้งนั้น สองฝั่งคลองโอ่งอ่างคือย่านการค้าสำเพ็งและพาหุรัด Street Art ที่นี่จึงมีทั้งภาพวิถีชีวิตของชาวไทย ชาวจีน ชาวแขก ดูไปยิ้มไป ถ่ายรูปกันสนุกเลยทีเดียว จริงอยู่ที่ถนนคนเดินจะเปิดตอน 16.00 น. แต่แอดแนะนำให้มาประมาณ 17.00 น. เพราะเป็นช่วงแดดร่มลมตก ร้านค้าพร้อมเปิดร้านขายแล้วนั่นเอง มีผลงานของคุณ โอ๋ ฟูตอง อาร์ทิสต์สาวสุดเก๋ ด้วยนะ คลองโอ่งอ่าง เปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เวลา 16.00 – 22.00 น.การเดินทาง : รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสามยอด | ทางออก 1 เดินเล่นมาถึงช่วงสะพานหัน ก็รู้สึกหิวขึ้นมานิด ๆ อดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปที่ร้าน “เจ๊บ๊วย 60 ปี สะพานหัน” แอดสั่ง ก๋วยจั๊บและปอเปี๊ยะสดเพิ่มเนื้อปู มาลองชิมดู บอกเลยว่าต้องลอง อร่อยมาก โดยเฉพาะปอเปี๊ยะสด ห้ามพลาดเลยนะ!!!.ที่ตั้ง 22 ซอย วานิช 1 แขวง จักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100เปิดทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี 09.30 น. -17.00 น. / ศุกร์-อาทิตย์ 09.30 น. -19.30 น.โทร. 09 4664 4656 อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินเล่นกันต่อ เดินไปไม่ไกล ก็เจอตรอก AMA Café/ AMA Hostel ป้ายใหญ่โตสะดุดตา เดินเลี้ยวเข้าไปปุ๊บก็เจอโคมแดงแขวนตกแต่ง ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ เดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก็จะพบกับ AMA Café อยู่ทางด้านขวา ที่นี่เคยเป็นบ้านจีนโบราณอายุนับร้อยปี ก่อนจะรีโนเวทให้เป็นคาเฟ่และโฮสเทลในสไตล์จีนร่วมสมัย สำหรับขาจรแบบแอด จะอยู่ได้แค่ชั้นล่างที่เป็นโซนคาเฟ่ เลือกสั่งได้ตรงเคาน์เตอร์เลย เครื่องดื่มรสชาติดีใช้ได้เลย ทั้งกาแฟ โกโก้ ชาไทย เหมาะกับการนั่งพักสุด ๆ ที่ตั้ง 191 ซอยสะพานหัน ถนน จักรวรรดิ แขวง จักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100เปิดทุกวัน 09.00 น. -17.30 น.โทร. 08 5867 7888 ไหน ๆ ย่านนี้ก็มีทั้งวัฒนธรรมจีนและอินเดียผสมผสานกันอยู่ แล้วเราจะพลาดอาหารอินเดียไปได้ไง เดินข้ามสะพานตามแอดมาฝั่งตรงข้ามกัน เราจะไปที่ร้าน Tony’s Restaurant ร้านนี้เป็นร้านอาหารอินเดียแนว Street Food ราคาเป็นมิตร รสชาติแบบ Home Cook ใครสนใจลองก็เข้ามาเลย เมนูที่แอดสั่งวันนี้ คือ แกงไก่มาซาลา แป้งโรตี และ Lassi (เครื่องดื่มที่ทำจากโยเกิร์ต) ซึ่งแอดสั่งแบบหวานมา รสชาติดื่มง่ายกว่าหลายร้านที่แอดเคยดื่มมาก่อน ประทับใจมากทีเดียว ที่ตั้ง 64/1 ซอย ริมคลองโอ่งอ่าง แขวง วังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200เปิดทุกวัน 11.00 น. -22.00 น. ระหว่างเดินเล่น อย่าลืมมองพื้นนะ มี “ฝาท่อลายศิลป์” สวย ๆ เก๋ ๆ รอให้เพื่อน ๆ ค้นหาอยู่ด้วย ก่อนกลับบ้าน แอดจะพาไปแวะร้าน Ing Teahouse ร้านชานมไข่มุกและขนมไต้หวันอีกสักร้าน มีเมนูให้เลือกสั่งเยอะแยะ เครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่ชาหรือกาแฟก็มีนะ แอดเลยสั่ง Mojito มาดื่มเพิ่มความสดชื่น ที่ตั้ง 136 ถนน จักรวรรดิ แขวง จักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100เปิดทุกวันศุกร์-อาทิตย์ 10.00 น. – 21.00 น.โทร. 08

ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง อ่านเพิ่มเติม

เดินชิลล์…ชมย่านเก่าแก่ จากนานาถึงทรงวาด

ว่างหนึ่งวันแต่ไม่อยากออกนอกเมือง งั้นมาเที่ยวกลางเมืองก็แล้วกัน วันนี้แอดจะชวนไปเดินชิลล์…ชมย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ นั่นก็คือเยาวราชค่ะ ถึงแม้จะเป็นสถานที่เดิม แต่แอดมาได้มาดีไม่มีเบื่อ เพราะแต่ละจุดก็มีเรื่องราวใหม่ ๆ ร้านใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ คราวนี้แอดจะพาไปเดินเล่นที่ซอยนานากับถนนทรงวาดกันค่ะ เป็นย่านที่ครบจบทุกอย่าง ทั้งเดินเที่ยว ตะลุยกิน ชมวิถีชีวิตคนในชุมชน ได้สัมผัสบรรยากาศวัฒนธรรม ที่สำคัญการเดินทางก็แสนจะง่ายอีกด้วย 1.The Mustang Blu Cafe & Restaurant2.Wallflowers Cafe3.Nahim Cafe4.103 Bed and Brews5.เฮงยอดผัก กินไม่รู้อิ่ม6.Baan 2459 Heritage Hotel7.หนูรี่ไอศกรีมเกาลัด เกล็ดหิมะ8.มัสยิดหลวงโกชา อิศหาก9.Woodbrook Bangkok10.เอฟ.วี (F.V)11.ขนมจีบอาเหลียง12.ตึกแขก ถนนทรงวาด13.ก๋วยจั๊บอ้วนโภชนา (หน้าโรงหนัง) สาขา 214.ปาเฮ่าเถียนมี่ พุดดิ้ง ย่านนานา ซอยนานา ตั้งอยู่บริเวณถนนไมตรีจิตต์ ไม่ไกลจาก MRT สถานีหัวลำโพงมากนัก เดินออกทางออกที่ 1 เราก็จะเจอถนนกรุงเกษม เดินข้ามไฟแดงก็จะพบกับถนนไมตรีจิตต์แล้วล่ะ ระหว่างก้าวเดินหันขวาไปจากตรงนี้จะเป็นสถานีรถไฟหัวลำโพงที่มองไกล ๆ ก็ยังสวยงามและคลาสสิกอยู่เสมอ เมื่อได้กลิ่นสมุนไพร ยาจีนเข้าจมูกเมื่อไหร่ แสดงว่าเราอยู่ในย่านนานาแล้วล่ะ ย่านนี้แต่เดิมมีร้านขายยาจีนหลายร้าน ก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย บ้านเก่าหลายหลังกลายเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์ลับนั่งดื่มชิลล์ยามค่ำคืน เพิ่มสีสันแปลกใหม่ให้ย่านนานาคึกคักต่างจากเยาวราชจุดอื่น เอาล่ะ ไปเดินเล่นกันดีกว่า ในย่านนานา เรายังได้เห็นอาคารเก่าสวยคลาสสิคอยู่หลายอาคารเลย และที่สะดุดตาแอดที่สุดก็คือ The Mustang Blu Cafe & Restaurant ตึกเก่าวินเทจอายุกว่าร้อยปี น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลย ดึงดูดสายตาแบบนี้ต้องเก็บภาพสักหน่อย The Mustang Blu เป็นทั้งที่พักและคาเฟ่ ได้ยินว่าด้านในตกแต่งสวยมาก คงโครงสร้างของตึกสไตล์โคโลเนียลไว้เหมือนเดิม บรรยากาศมีความดิบ และจัดจ้านในสไตล์คิวบา ไว้โอกาสหน้าแอดจะพาชมด้านในนะคะ เปิดทุกวัน เวลา 12.00 – 21.00 น. (ปิดวันพุธ)โทร. 06 2293 6191 ขอบคุณรูปภาพจากเพจ The Mustang Blu Wallflowers Cafe เป็นร้านดังในย่านนานาที่หลายคนน่าจะได้เห็นรูปอยู่บ่อย ๆ หน้าร้านเต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และไม้เลื้อยหลากหลายชนิด ตัดกับโครงสร้างตึกและการตกแต่งแบบย้อนยุค คุมด้วยโทนสีน้ำตาลและดำ ดูดีเลยทีเดียว มาร้านนี้เสมือนเราได้มานั่งจิบกาแฟในสวนทำนองนั้น บอกเลยว่าเป็นคาเฟ่ที่สามารถเก็บภาพได้ทุกมุมเลย นอกจากความโดดเด่นของร้าน เมนูก็มีเอกลักษณ์ไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม เบเกอรี เค้กโฮมเมดที่ตกแต่งด้วยดอกไม้จนเป็นซิกเนเจอร์ แอดสั่ง เค้กแครอท เนื้อเค้กนุ่มฟู ท็อปด้วยดอกไม้หน้าตาดูดีเลยทีเดียว เครื่องดื่มก็มีทั้ง Coffee / Non-Coffee / Sparking มีให้เลือกหลากหลายเลยค่ะ ที่ตั้ง 31-33 ซอยนานา แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯเปิดวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 11.00-18.30 / วันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-21.00 น.โทร. 09 0993 8653 Nahim Cafe ร้านนี้อ่านว่า นะฮิม คาเฟ่ค่ะ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้าน Wallflowers เลย หาไม่ยาก บอกเลยว่าร้านนี้เน้นแจกความสดใสสุด ๆ ร้านน่ารักมาก (ก.ไก่ล้านตัว) แค่เห็นหน้าร้านก็ทำให้รู้สึกว่าต้องเข้าไปแล้วล่ะ ในร้านตกแต่งในสไตล์แฮนด์คราฟท์ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นนั่ง ขั้นบันได ผนังที่มีลายเส้นของตัวการ์ตูน นอกจากร้านจะน่ารักแล้ว เมนูแต่ละเมนูก็น่ารักมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นโดนัท โทสต์ เครื่องดื่มก็มีให้เลือกหลากหลาย คาเฟ่เล็ก ๆ นี้ดูแปลกตาต่างจากร้านอื่นในบริเวณเดียวกัน เป็นความน่ารักท่ามกลางความคลาสสิกของตึกเก่าย่านนานาที่แอดชอบมากเลยทีเดียว ที่ตั้ง 78-104 ซอยนานา แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯเปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-21.00 น. (ปิดวันพุธ)โทร. 06 5946 8892 103 Bed and Brews เดินไปสักพักแอดก็สะดุดตากับตึกเก่าบริเวณหัวมุมซอยนานา นี่คือ “103 Bed and Brews” โฮสเทลและคาเฟ่ที่นำอาคารเก่ามาปรับปรุง โดยยังคงกลิ่นอายจีนย้อนยุคที่อบอุ่นเอาไว้ ประตูไม้บานเฟี้ยมสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีอ่อนของตัวตึก ผสมผสานการตกแต่งในสไตล์จีน ชั้นล่างเป็นคาเฟ่ ส่วนชั้นสองเป็นโฮสเทล ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนที่นอนเล่นมาลองดูกันค่ะ เปิดทุกวัน เวลา 09.00-22.00 น. เฮงยอดผัก กินไม่รู้อิ่ม ถึงคราวของคาวกันบ้าง เฮงยอดผัก เป็นร้านราดหน้าชื่อดัง สาขานี้อยู่ปากซอยนานา ขายมานานกว่า 30 ปี มีสโลแกนว่า กินไม่รู้อิ่ม แบบนี้ก็ต้องขอลองซะหน่อย เมนูมีหลากหลายมากค่ะ ทั้งราดหน้าหมี่กรอบ เส้นใหญ่ เส้นหมี่ ผัดซีอิ๊วก็มี แอดสั่งราดหน้าหมี่กรอบใส่ไข่ ทางร้านบอกต้องลองใส่ไข่แล้วจะติดใจ พอได้ลองชิมก็เป็นอย่างที่ว่าเลยค่ะ น้ำเข้มข้น หมูนุ่มละลายในปาก แทบไม่ต้องปรุงเลยล่ะ.ที่ตั้ง 221-227 ซอยนานา ถนนพระราม 4 แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯเปิดทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น.โทร. 02 222 2648 ย่านทรงวาด ทรงวาดเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ขนานกับถนนเยาวราช เป็นย่านเก่าแก่ที่ยังมีอาคารเก่าอายุร้อยปีหลงเหลือให้ชื่นชม มีศาลเจ้า

เดินชิลล์…ชมย่านเก่าแก่ จากนานาถึงทรงวาด อ่านเพิ่มเติม

ชิล เที่ยว เจ้าพระยา

สำหรับสายชิล การได้ไปเที่ยวถ่ายรูป นั่งจิบกาแฟ กินขนม ชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็เป็นอะไรที่มันแสนจะผ่อนคลายแล้ว วันนี้แอดเลยจะมาแนะนำสถานที่ที่จะทำให้สายชิลได้ไปถ่ายรูปเล่น และได้รู้สึกผ่อนคลายที่ริมน้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ กันจ้า และถ้าอยากสนุกกันมากขึ้นก็ลองเดินทางกันทางน้ำดู อาจจะเป็นเรือด่วน หรือเรือข้ามฟากก็ได้ ได้ฟิลลิ่งแปลกใหม่กันไปอีกอย่างนะ ลองตามมาดูกัน แผนที่ เอาไว้ดูกันพอสังเขปจ้า.ร้านชิล ๆ แถวริมแม่น้ำเจ้าพระยาของเราวันนี้จะอยู่โซนระหว่างสะพานพระปกเกล้าและสะพานตากสินนะ เราอาจจะเลือกเริ่มต้นจากจุดแรกที่ตลาดน้อย สามารถนั่งเรือด่วนมาลงท่าสีพระยา แล้วก็เดินไปที่ตลาดน้อยได้ ที่แรกของเราก็คือ “Mother Roaster (ตลาดน้อย)”.Cafe ลึกลับในย่านตลาดน้อย ใครที่ไปตลาดน้อยบ่อย ๆ ในซอยตรอกศาลเจ้าโรงเกือก อาจจะคุ้นเคยกับประตูบานนี้ ที่ข้าง ๆ จะมีรูปวาดเด็ก ๆ อยู่ แต่ถ้าลองดูให้ดีก็จะรู้ว่า มันมีร้าน Cafe อยู่ข้างบนนะ ลองตามมาดูกันเลย เมื่อเข้ามาข้างในสิ่งแรกที่เห็น กองอะไหล่ล้อต่าง ๆ มากมายเลย มันจะใช่ Cafe มั้ยนะ หันมาทางซ้ายมีบันไดด้วย เดินขึ้นไปดูกัน อ่า เริ่มเห็นแสงสว่างกันแล้ว ก็ดูร่มรื่นอยู่นะ ต้องเข้าไปดูข้างในซะแล้ว ชัดเลยมันคือ Cafe.ที่ Mother Roaster เขาจะโดดเด่นด้วยรสชาติกาแฟคุณภาพดีจากเครื่อง ROK Presso ที่ดริปและคั่วเองจากฝีมือ Mother บาริสต้าสุดเท่ มุมนั่ง Slow Bar เอาไว้นั่งคุยกันได้นะ Mother บาริสต้าสุดเท่ของเรา ที่ลงมือคั่วเมล็ดกาแฟด้วยตัวเอง  ที่นี่เหมาะกับคอกาแฟเลย มีเมล็ดกาแฟหลายแบบให้ได้เลือกลิ้มรสกันเลย  ของตกแต่งก็น่ารัก ๆ มีพร็อพไว้ถ่ายรูปกันสบายเลย มุมนั่งชิลเขาก็มีเยอะ แสงก็ดี ถ่ายรูปสวย ๆ กันได้นะ Cafe ต่อไป “บ้านริมน้ำตลาดน้อย”.Cafe นี้อยู่ติดริมแม่น้ำเลยจ้า เดินต่อมาจากซอยศาลเจ้าโรงเกือก เมื่อผ่านศาลเจ้าโรงเกือกแล้ว ทางริมซ้ายมือริมแม่น้ำ เราก็จะเห็น Cafe สุดชิลนี้ ลองเข้าไปดูข้างในกัน ที่นั่งริมแม่น้ำนี้ เอาไว้นั่งชิล ๆ ผ่อนคลายอารมณ์ กันได้เลย ช่วงเย็นใกล้พระอาทิตย์ตกก็น่าจะสวยน่าดู ข้างในร้านมีที่นั่งเยอะแยะเลย มุมนี้ กลางคืนคงสนุกนะเนี่ย ที่นั่งก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้เยอะแยะ เครื่องดื่มเย็น ๆ เขาก็มีให้เลือกหลายแบบ กินแล้วก็ชื่นนนใจ ขนมนี่ก็หน้าตาน่ากิน  ขนมแบบไทย ๆ ก็มี ดูเข้าบรรยากาศกันไปอีกแบบ Cafe ต่อมา “1608 Cafe & Bistro”.Cafe สุดชิลริมแม่น้ำเจ้าพระยาอีกแล้ว หลังจากที่เราหลุดออกมาจากย่านตลาดน้อยแล้ว ตรงสุดทางซอยวานิช 2 เราก็จะเห็นวัดปทุมคงคมราชวรวิหาร ให้เราเดินออกมาที่ถนนทรงวาด เดินผ่านหน้าวัดไปเราจะเห็นป้อมตำรวจ ก็เดินเข้าไปในซอยนั้นเลยจ้า.ที่นี่จะมีคนจองที่นั่งเข้ามาล่วงหน้า ทางที่ดีลองสอบถามกับทางร้านก่อนนะ ช่วงนี้โควิดก็ไม่มีอะไรแน่นอน เขาอาจจะยังควบคุมพื้นที่อยู่ ติดต่อจากทางเพจเขาเลย.FB: Doo Nam 1608 ถ้านั่งเรือด่วนผ่านมา ก็จะเห็นวิวของร้านแบบนี้  เดินเข้ามาจากซอยป้อมตำรวจ ก็จะเห็นทางเข้าประมาณนี้ ข้างหน้าจะมีเศษเหล็กกองเอาไว้ ดูทางเข้ากันดีดี มีป้ายโปสเตอร์เล็ก ๆ แปะไว้ให้เห็นหน่อยนึง สังเกตกันดีดีนะ เมื่อเดินผ่านเศษเหล็กเข้ามาในซอยทางซ้ายมือเราก็จะเห็นหน้าร้าน ก็แหวกม่านเข้าไปเลย เคาน์เตอร์บาร์ในร้าน น้อง ๆ พนักงานก็จะคอยต้อนรับอยู่ ช่วงเย็น ก่อนพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า เราก็จะได้แสงสวย ๆ สะท้อนกับริ้วแม่น้ำ มันก็น่าจะได้มุมถ่ายรูปดีดีหลายจุดเลย  มุมในร้านเขาก็ดูกันเองมาก มุมนี้ก็งานศิลปะ ใครอยากจะถ่ายรูปไว้เป็นความทรงจำก็ได้นะ มุมนั่ง Slow Bar.เครื่องดื่มเย็น ๆ กับบรรยากาศสุดชิลริมแม่น้ำ แสงก็สวยด้วย มันคือดี ไว้นั่งคุยกันได้นะ มุมนี้ก็ชิลไปอีกแบบ Cafe ต่อไป อยู่ติดกับศาลกวนอูเลย.“My Grandparent’s House บ้านอากงอาม่า”.แค่ชื่อก็ดูเป็นกันเองมาก Cafe นี้ เป็นบ้านไม้เรือนไทยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์และเรื่องราวของต้นตระกูลจีน “ทังสมบัติ” ผู้ผลิตและจำหน่าย น้ำปลาตรารวงทอง มีใครเคยเห็นกันบ้างนะ.การเดินทางมาที่นี่ อาจจนั่งเรือข้ามฟากจากท่าราชวงศ์มายังท่าดินแดงแล้วต่อรถอีกที ใครจะเดินก็ไม่ว่ากัน หรือจะนั่งเรือด่วนมาลงที่ท่าสะพานพุทธ ขึ้นสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา ข้ามฟากมา และแวะชมพิพิธภัณฑ์สวนสมเด็จย่าก่อน เหนื่อยก็ค่อยเข้ามานั่งพักหาอะไรกินกันที่นี่ได้ ถึงจะเปิดเป็น Cafe แต่ข้างในบ้านก็ดูเป็นกันเอง เหมือนนั่งอยู่ในบ้าน และยังมีร่องรอยเรื่องราวให้ได้ศึกษากันด้วย อาหารว่างและเครื่องดื่มที่นี่ก็จะเป็นแนวแบบคลาสสิก ที่ทำให้นึกถึงวิถีชีวิตผู้คนในสมัยก่อน อาหารว่างบางอย่าง ก็อาจจะหาทานได้ยากนะ อย่างเช่น “กุ้งโสร่ง” มีทั้งแบบไทยและแบบจีนเลย น้ำปลาตรา “รวงทอง” เคยเห็นกันมั้ย ปัจจุบันเขาก็ยังทำขายกันอยู่ พอออกมาจากนอกบ้านก็ยังมีมุมเก๋ ๆ ไว้ให้ถ่ายรูปกันได้  มุมจากตึกข้างบน ที่ยังเป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณ

ชิล เที่ยว เจ้าพระยา อ่านเพิ่มเติม

ชิล | ชิม | ริม | คลอง กับคลองที่ดังที่สุดในตอนนี้ “คลองโอ่งอ่าง”

ที่มาที่ไปของคลองโอ่งอ่างนี้ ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล เดิมคือพื้นที่ที่เราเรียกว่าย่านสะพานเหล็ก แหล่งขายเครื่องเล่นเกมส์และแผ่นเกมส์ต่างๆ สุดฮิตแห่งยุค 90 นั่นเอง ต่อมากรุงเทพมหานครได้ปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง โดยย้ายร้านค้าเดิมที่ตั้งปิดคลองทั้งหมดออกไปและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้เป็นระเบียบสวยงาม กลายมาเป็นสถานที่เดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว โดยมีผลงานสตรีทอาร์ตเท่ ๆ เก๋ ๆ ตลอดแนวคลองให้ได้มาถ่ายภาพสวย ๆ ไปอวดเพื่อน ๆ และถ้าใครอยากได้บรรยากาศความคึกคักต้องมาในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพราะจะมีการจัดกิจกรรม “ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง” ที่เราจะพบทั้งของกินหลากหลาย สินค้าน่ารักๆ ดนตรีเปิดหมวก ผู้คนถ่ายรูปกับผลงานสตรีทอาร์ต เรียงรายตลอดแนวริมคลอง และกิจกรรมล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้มีคือ พายเรือคายัค หรือจะพายซับบอร์ดเท่ ๆ ในคลองโอ่งอ่างก็ได้ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ ไม่ได้ไปไหน มาเดินชิล ชิม ริมคลองโอ่งอ่างกัน ช้าเดี๋ยวตกเทรนด์นะ .ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่างเปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เวลาสี่โมงเย็น – สี่ทุ่ม การเดินทาง : รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสามยอด | ทางออก 1

ชิล | ชิม | ริม | คลอง กับคลองที่ดังที่สุดในตอนนี้ “คลองโอ่งอ่าง” อ่านเพิ่มเติม

Scroll to Top