เพื่อนร่วมทาง

จุดชมวิวบ้านหัวแหลม จ.จันทบุรี

จุดชมวิวบ้านหัวแหลม ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเทียบเรือประมงบ้านหัวแหลม อ.นายายอาม จ.จันทบุรี เลยเนินนางพญาไปราว 1 กิโลเมตร จุดชมวิวแห่งนี้มีสะพานไม้ทอดยาวสู่กลางทะเล ระยะทางประมาณ 50 เมตร สามารถเดินชมวิว ชมบรรยากาศชุมชนบ้านหัวแหลม และรับลมทะเลแบบชิลๆ ได้ และจุดสำคัญของที่นี่คือ “เจดีย์บ้านหัวแหลม” เจดีย์สีขาวเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ที่ตั้งอยู่บนโขดหินกลางทะเล นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวประมงในชุมชนแห่งนี้ เจดีย์อยู่ห่างจากผั่งราว 50 เมตร ในช่วงน้ำลดจะสามารถเดินไปถึงเจดีย์ได้ เมื่อเดินมาจนสุดสะพาน เราก็จะพบกับจุดสักการะเจดีย์ สามารถถวายธูปเทียน(ถวายเฉยๆ ไม่ต้องจุด) ดอกไม้ และพวงมาลัย ได้ตามศรัทธาเลย นอกจากนี้ จุดชมวิวแห่งนี้ถ้ามาตอนเย็นๆ ก็จะได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยไม่แพ้ที่ไหนอีกด้วยล่ะ จุดชมวิวบ้านหัวแหลมที่ตั้ง ต.สนามไชย อ.นายายอาม จันทบุรีเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 07.00-18.00 น. การเดินทางจากตัวเมืองชลบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 344 และทางหลวงหมายเลข 3 มุ่งหน้าไปยังจันทบุรี ถึงสามแยกประแสร์ เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3162 เมื่อถึงแยกคลองปูน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ขับไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านอ่าวคุ้งวิมานและเนินนางพญาไปราว 2 กิโลเมตร ก็จะถึงจุดชมวิวบ้านหัวแหลม เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 2 กรกฎาคม 2562

จุดชมวิวบ้านหัวแหลม จ.จันทบุรี อ่านเพิ่มเติม

วัดราชบูรณะ : กรุสมบัติสมัยกรุงศรีอยุธยา

วัดราชบูรณะ : กรุสมบัติสมัยกรุงศรีอยุธยา.วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน ตรงข้ามกับวัดมหาธาตุ ภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา มีฐานะเป็นพระอารามหลวง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.1967 บริเวณที่ถวายพระเพลิงพระศพเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา พระเชษฐาซึ่งสิ้นพระชนม์ลงเนื่องจากการรบเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ส่วนสถานที่ที่พระเชษฐาทั้ง 2 สิ้นพระชนม์นั้น โปรดเกล้าฯ ให้ก่อเจดีย์ 2 องค์ นามว่า เจดีย์เจ้าอ้ายพระยา-เจ้ายี่พระยาเพื่อเป็นอนุสรณ์ ปัจจุบันอยู่บริเวณเกาะกลางถนน ตรงแยกถนนนเรศวรตัดกับถนนชีกุน หรือทางด้านหน้ากึ่งกลางระหว่างวัดมหาธาตุกับวัดราชบูรณะ วัดราชบูรณะเป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ ภายในประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ที่เป็นแกนหลักสำคัญของวัดคือ ปรางค์ประธานที่ล้อมรอบด้วยระเบียงคด มีวิหารตั้งอยู่ด้านหน้าทางทิศตะวันออก และอุโบสถตั้งอยู่ด้านหลังทางทิศตะวันตกในแนวแกนเดียวกัน แม้จะเหลือเพียงซากโบราณสถาน เราก็ยังสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความยิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองในอดีต วิหารหลวง ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดทางทิศตะวันออก มีลักษณะแผนผังตามแบบวัดในสมัยอยุธยาตอนต้น ที่บริเวณท้ายวิหารจะยื่นล้ำเข้าไปในแนวระเบียงคด ภายในอาคารปรากฏการเจาะช่องหน้าต่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้ามีลวดลายปูนปั้นประดับหน้าบันซุ้มประตู ซึ่งเป็นการบูรณะในสมัยหลัง ปรางค์ประธานเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้น ก่อด้วยอิฐและศิลาแลงตั้งอยู่บนฐานไพทีศิลาแลง บนฐานไพทียังมีเจดีย์ประจำมุมและเจดีย์บริวารอีกหลายองค์ ด้านทิศตะวันออกของปรางค์ทำมุขใหญ่ยื่นออกมาเป็นทางเข้า บนสันหลังคาของมุขประดับด้วยเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กเรียกว่า “เจดีย์ยอด” ส่วนอีก 3 ด้านเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้น ตามส่วนต่างๆ ของปรางค์ยังคงมีลวดลายปูนปั้นหลงเหลือให้เห็นอยู่ ที่โดดเด่นก็คือประติมากรรมปูนปั้นรูปครุฑ ยักษ์ เทวดา และนาค ที่ประดับอยู่เหนือเรือนธาตุ ภายในองค์ปรางค์มีกรุ 2 กรุ ซึ่งเรียงกันลงไปแนวดิ่ง ทั้ง 2 กรุมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนต้น ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะจีน ซึ่งปัจจุบันเลือนรางมากแล้ว และที่กรุชั้นล่างนี้ยังเคยเป็นที่เก็บเครื่องทองของมีค่าต่างๆ เป็นจำนวนมากด้วย โดยปกติแล้วกรุเป็นที่เก็บพระพุทธรูปและของมีค่าต่างๆ ที่ผู้ศรัทธาถวายไว้เป็นพุทธบูชา เมื่อสร้างเสร็จก็จะปิดตาย แต่เมื่อ พ.ศ.2500 ได้มีคนร้ายลักลอบเข้าไปขุดหาของมีค่าในกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ กรมศิลปากรจึงต้องดำเนินการขุดแต่ง ซึ่งก็ได้พบเครื่องราชูปโภคที่ทำด้วยทองคำ พระพิมพ์ และของมีค่าอื่นๆ เป็นจำนวนมาก จึงได้นำพระพิมพ์ส่วนหนึ่งให้ประชาชนเช่าไปบูชา เพื่อนำเงินมาสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และนำสิ่งของต่างๆ ที่ได้จากกรุมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นอกจากนี้กรมศิลปากรยังได้ทำบันไดทอดลงสู่ด้านในของปรางค์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถลงไปชมภาพจิตรกรรมภายในกรุได้ด้วย แต่ตอนนี้กรุปิดเนื่องจากกำลังบูรณะอยู่ค่ะ ด้านหลังปรางค์เป็นอุโบสถตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งยังคงปรากฏซากของตัวอาคารและใบเสมาหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น วิหารราย เจดีย์รายรูปทรงต่างๆ ฯลฯ ที่ตั้ง : ภายในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.โทร. 035 242 525พิกัด : https://goo.gl/maps/u8pignHRWDUz9o4eA ค่าเข้าชม : ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วรวมเข้าชมวัดในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้ชาวไทย 40 บาท ชาวต่างชาติ 220 บาทโดยบัตรมีอายุ 30 วัน เข้าชมได้ 6 วัด (วัดละ 1 ครั้ง) ได้แก่– วัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระราชวังโบราณ– วัดพระราม– วัดราชบูรณะ– วัดมหาธาตุ– วัดไชยวัฒนาราม– วัดมเหยงคณ์ เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 27 มิถุนายน 2562

วัดราชบูรณะ : กรุสมบัติสมัยกรุงศรีอยุธยา อ่านเพิ่มเติม

เพชรบุรี จังหวัดเดียวเที่ยวได้ 3 วัง

วันนี้แอดจะพาเพื่อนๆ ไปชมความงดงามของพระราชวังทั้ง 3 แห่งในจังหวัดเพชรบุรีกัน– พระรามราชนิเวศน์ หรือ พระราชวังบ้านปืน– พระนครคีรี (เขาวัง)– พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระรามราชนิเวศน์ หรือ พระราชวังบ้านปืน ที่ตั้ง : ถนนราชดำริห์ ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีเปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น.ค่าเข้าชม : ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาทโทร. 032 242 8506-10 ต่อ 259.พระรามราชนิเวศน์ หรือ พระราชวังบ้านปืน เป็นพระราชวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับแรมในฤดูฝน ออกแบบโดยนายคาร์ล ดอห์ริง ชาวเยอรมัน แต่สร้างยังไม่แล้วเสร็จ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จใน พ.ศ.2459 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่นี่เคยใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เป็นที่ตั้งโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือ โรงเรียนฝึกหัดครูเกษตรกรรม และโรงเรียนประชาบาลประจำตำบลด้วย มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป 2 ชั้น หลังคาด้านเหนือเป็นทรงโดม ส่วนยอดตรงกลางคล้ายหอคอย มีสนาม (court) อยู่ภายใน ซึ่งเดิมเป็นสนามแบดมินตัน แต่ภายหลังได้ปรับปรุงให้เป็นสวนหย่อมที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ รวม 44 ห้อง ได้แก่ ท้องพระโรงกลาง ห้องเสวย ห้องบรรทมพระเจ้าอยู่หัว ห้องบรรทมพระราชินี และห้องทรงพระอักษร เป็นต้น อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง) ที่ตั้ง : ถนนคีรีรัถยา ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีเปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.ค่าเข้าชม : ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาทนักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้น หรือโดยสารรถรางไฟฟ้า ค่าบริการไป-กลับ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก (อายุไม่เกิน 12 ปี) 15 บาทโทร. 032 425 600, 032 428 539.พระนครคีรี หรือ เขาวัง เป็นโบราณสถานเก่าแก่คู่เมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่บนยอดเขา 3 ยอด ที่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “เขาสมน” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐานขึ้นบนภูเขาแห่งนี้ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2403 พระราชทานนามว่า “พระนครคีรี” แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “เขาวัง” พระนครคีรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง พระตำหนัก วัด และกลุ่มอาคารต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนีโอคลาสสิคผสมกับสถาปัตยกรรมจีน สถานที่ที่น่าสนใจ ได้แก่ – วัดมหาสมณาราม ตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาด้านทิศตะวันออก เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณะขึ้นใหม่ ภายในอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง จิตรกรเอกในสมัยนั้น – วัดพระแก้วน้อย เป็นวัดประจำพระราชวังพระนครคีรี ตั้งอยู่บนยอดเขาด้านทิศตะวันออก ภายในมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ ได้แก่ อุโบสถขนาดเล็กประดับด้วยหินอ่อน พระสุทธเสลเจดีย์ เจดีย์หินอ่อนสีเทาอมเขียว และพระปรางค์แดง ปรางค์ที่ตั้งแต่ชั้นเรือนธาตุขึ้นไปมีลักษณะโปร่ง ต่างจากปรางค์ทั่วไป – พระธาตุจอมเพชร ตั้งอยู่บนเขายอดกลาง เป็นเจดีย์ทรงระฆังสีขาวขนาดใหญ่ ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ – พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ตั้งอยู่บนยอดเขาด้านทิศตะวันตก บริเวณพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ และพระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ ภายในเก็บรักษาโบราณวัตถุต่างๆ ได้แก่ เครื่องราชูปโภคของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี จะจัดงาน “พระนครคีรี-เมืองเพชร” ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี โดยจะมีการประดับไฟสวยงามตามสถานที่ต่างๆ บนพระนครคีรี มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมและการแสดงพื้นบ้าน มีการออกร้านจำหน่ายสินค้าหลากหลายชนิด รวมทั้งสลากกาชาด และที่พลาดไม่ได้คือ การแสดงพลุสุดยิ่งใหญ่ทุกค่ำคืน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ที่ตั้ง : ค่ายพระรามหก ถนนเพชรเกษม ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีเปิดวันพฤหัสบดี-วันอังคาร (ปิดวันพุธ) เวลา 08.30-16.00 น.ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 15 บาท (ชมได้เฉพาะด้านนอก เนื่องจากอาคารกำลังอยู่ระหว่างบูรณะ)โทร. 032 508 444-5.พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน อยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก เป็นพระราชวังที่ประทับริมทะเลซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระตำหนักที่หาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่ใน พ.ศ.2466 ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า “พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง”  พระราชวังแห่งนี้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมยุโรป คือเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้สักทอง เน้นความเรียบง่ายและโปร่งโล่ง เพื่อให้เข้ากับสภาพธรรมชาติและภูมิอากาศของชายทะเล ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่ง 3 หมู่ ได้แก่ หมู่พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ หมู่พระที่นั่งสมุทพิมาน และหมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร รวมทั้งหมด 16 หลัง เชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเดินมีหลังคา นอกจากนี้ ในบริเวณพระราชนิเวศน์มฤคทายวันยังมีสวนที่สร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ สวนเวนิสวานิช สวนศกุนตลา สวนมัทนะพาธา และสวนวิวาห์พระสมุทร อีกด้วย เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 22 มิถุนายน 2562

เพชรบุรี จังหวัดเดียวเที่ยวได้ 3 วัง อ่านเพิ่มเติม

ปอดแห่งปากน้ำปราณ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ศูนย์ฯ สิรินาถราชินี เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าชายเลนจากนากุ้งร้างแห่งแรกของประเทศไทย ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งเสด็จฯ อำเภอปราณบุรี พ.ศ.2539 ภายในมีเส้นทางเดินชมป่าชายเลน ระยะทางประมาณ 850 เมตร.ก่อนเข้าไป เราจะได้รับบัตรผู้เยี่ยมชมจากพี่ยามบริเวณทางเข้า ให้นำบัตรไปลงทะเบียนเพื่อเข้าชมที่อาคารต้อนรับก่อน จุดแรกที่เราจะได้เจอคือ บ้านแมลง เป็นการนำเศษวัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เช่น เศษไม้ เศษอิฐต่างๆ มาวางเรียงกันเป็นชั้นๆ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของแมลง ซึ่งบ้านแมลงมีประโยชน์กับระบบนิเวศของป่าชายเลนมากมาย เช่น เป็นที่อยู่อาศัยของแมลง ทดแทนที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงสร้างสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ด้วย ระหว่างทางเราจะได้พบกับต้นโกงกางที่มีรากขนาดใหญ่หลายต้น ซึ่งต้นโกงกางเหล่านี้ไม่ได้ถูกตัดออกไปในช่วงที่มีการทำนากุ้ง จึงคาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 60 ปี แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนแห่งนี้ ภายในศูนย์ฯ สิรินาถราชินี จะมีสะพานเป็นทางเดินยาว เพื่อให้เราเดินสำรวจป่าชายเลนได้ทั่ว ซึ่งระหว่างทางจะมีจุดให้ความรู้เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับป่าชายเลน เช่น พันธ์ุไม้ในป่าชายเลน และระบบรากของพันธ์ุไม้แต่ละชนิด.อย่างจุดนี้ จะให้ความรู้เกี่ยวกับการทำประมงของชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีการจัดแสดงเครื่องมือทำการประมง เช่น แห แร้วจับปู และชะเนาะ เป็นต้น ระหว่างทางเพื่อนๆ จะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศร่มรื่นของป่าชายเลน และจะได้เห็นน้องปู น้องปลาตีนยักษ์ ด้วยล่ะ.จุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือ ลานศึกษาปูทะเล ที่ให้ความรู้ว่าปูทะเลมีกี่ชนิด กี่สี และมีการจำลองลอบดักปูยักษ์ ให้เราเข้าไปถ่ายรูปเล่นได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีจุดเรียนรู้ระบบห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารในป่าชายเลน แถมมีเครื่องเล่นให้เราลงไปถ่ายรูปสนุกๆ ได้อีกด้วย หอชะคราม เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของศูนย์ฯ สิรินาถราชินีได้แบบ 360 องศา โดยหอมีความสูง 3 ชั้น ตัวหอมีบันไดเวียนสลับ คล้ายการเรียงตัวเป็นชั้นของใบต้นชะคราม ซึ่งที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยก็ว่าได้.รู้หรือไม่ ? หอชะครามมีบันไดทั้งหมด 97 ขั้น ใครเดินไปถึงชั้นบนสุด จะได้สลายแคลอรี่ไปถึง 20.37 กิโลแคลอรี่เลยนะ สุดท้ายก่อนกลับ อย่าลืมซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยล่ะ.ผลิตภัณฑ์ของศูนย์ฯ สิรินาถราชินี มีทั้งยานวดสมุนไพร ยาหม่อง และสบู่ ที่ทำจากพืชป่าชายเลนต่างๆ ได้แก่ สำมะง่า ขลู่ และเบญจมาศน้ำเค็ม มีสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนัง แก้ผื่นคัน ส่วนสารภีทะเล ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก.โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปสมทบทุน “โครงการเพื่อน้อง” เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ตำบลปากน้ำปราณ ที่มีผลการเรียนและความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์.ดูสิ มาเที่ยวนอกจากได้ความรู้ ได้ของมีประโยชน์กลับบ้าน แล้ว ก็ยังได้บุญอีกด้วย ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ที่ตั้ง : ถ.โยธาธิการ ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์พิกัด : https://goo.gl/maps/UTvNJqUTbYfi2RGc7เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 16.30 น.โทร. 032 632 255 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 21 มิถุนายน 2562

ปอดแห่งปากน้ำปราณ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อ่านเพิ่มเติม

ผจญแก่ง ล่องลำน้ำว้า จังหวัดน่าน

ลำน้ำว้า หรือแม่น้ำว้า มีต้นกำเนิดจากตาน้ำบนเทือกเขาในหมู่บ้านน้ำว้า ตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ลำน้ำว้าไหลผ่านอุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติขุนน่าน อุทยานแห่งชาติดอยภูคา และอุทยานแห่งชาติแม่จริม ไปบรรจบกับแม่น้ำน่านบริเวณอำเภอเวียงสา โดยมีความยาวทั้งหมดประมาณ 300 กิโลเมตร ลำน้ำว้าแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ลำน้ำว้าตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง การล่องแก่งลำน้ำว้า สามารถล่องได้ตลอดทั้งปี ซึ่งลำน้ำว้าแต่ละช่วงจะมีฤดูการล่องแก่งที่แตกต่างกัน ดังนี้– ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนบน-ตอนล่าง (บ้านสะปัน-บ้านวังลูน) เดือนสิงหาคม-ต้นเดือนตุลาคม ระยะทาง 120 กิโลเมตร **แนะนำให้ไปเดือนกันยายน เพราะน้ำจะเยอะที่สุด** – ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง-ตอนล่าง (บ้านสบมาง-บ้านวังลูน) เดือนพฤษภาคม-ต้นเดือนมกราคม ระยะทาง 80 กิโลเมตร – ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนล่าง (บ้านแม่สนาน-บ้านวังลูน) เดือนพฤษภาคม-ต้นเดือนมกราคม ระยะทาง 50 กิโลเมตร สำหรับแอด ได้ไปล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง-ตอนล่าง ระยะทาง 80 กิโลเมตร เป็นทริปแบบ 2 วัน 1 คืน ต้องนอนพักในแคมป์กลางป่า ตื่นเต้นสุดๆ  พวกเรานัดเจอกับเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ล่องแก่งที่ติดต่อไว้ ตรงจุดลงเรือที่บ้านสบมาง เพื่อจัดสัมภาระลงเรือยาง จากนั้นเจ้าหน้าที่จะสอนวิธีการพายเรือ การนั่งบนเรือ และวิธีการเอาตัวรอดเมื่อตกจากเรือ เรือยาง 1 ลำ นั่งได้สูงสุด 6 คน และมีเจ้าหน้าที่ประจำเรือ 2 คน ที่จะคอยดูแลความปลอดภัยของทุกคน และช่วยให้เราผ่านแก่งยากๆ ไปได้ การล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง-ตอนล่าง เราจะได้สัมผัสกับสายน้ำเย็นๆ ที่ช่วยดับร้อนได้เป็นอย่างดี  และยังมีแก่งน้อยใหญ่หลายสิบแก่ง เยอะมากจนนับไม่หมด ระดับความยากมีตั้งแต่ระดับ 3 – ระดับ 5 เช่น แก่งเสือเต้น แก่งห้วยเดื่อ และแก่งผีป่า (สถานที่ถ่ายทำโฆษณาเครื่องดื่มเป๊ปซี่) นอกจากแก่งน้อยใหญ่ที่ทำให้เราตื่นเต้นแล้ว ธรรมชาติระหว่างทางของการล่องแก่งก็น่าตื่นตาตื่นใจเช่นเดียวกัน เพราะที่นี่ป่าไม้สมบูรณ์ เขียวชอุ่มมาก จากจุดเริ่มต้นบริเวณบ้านสบมาง ถึงจุดพักแรมริมลำน้ำว้า ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เรียกได้ว่า พายเรือจนกล้ามขึ้น แช่น้ำจนตัวเปื่อยเลยทีเดียว ที่แคมป์พักแรม มีเต็นท์ และห้องอาบน้ำให้บริการ แถมเจ้าหน้าที่ยังทำอาหารให้เราทานด้วยนะ อย่าลืมถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตลำน้ำว้าด้วยนะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง ตกดึกเริ่มหิวอีกรอบ ก็เลยนั่งล้อมวง เอาหมูที่ซื้อจากตลาดมาหมักเกลือแล้วย่างทาน มันอร่อยมาก!! คาดว่าพี่ๆ เจ้าหน้าที่น่าจะหมักด้วยเกลือสินเธาว์ จากอำเภอบ่อเกลือ  บรรยากาศยามเช้าบริเวณที่พักแรม เติมพลังก่อนออกพายเรือ ด้วยอาหารเช้าง่ายๆ แต่อร่อยเว่อร์ ฝีมือพี่ๆ เจ้าหน้าที่  อยู่กลางป่าไม่อดอยาก ขนมปังปิ้งก็มีนะจ๊ะ หลังจากทานอาหารเช้าและเก็บข้าวของขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่ออีกประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะถึงจุดสิ้นสุดการล่องแก่ง ส่งท้ายทริปสุดมันนี้ด้วยแก่งระดับ 5 แอดนี่พายเรือรัวๆ ไปเลย สิ่งสำคัญของการล่องแก่งก็คือ ทุกคนต้องสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันพาย และคอยฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ แค่นี้เราก็ผ่านแก่งยากๆ ไปได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัยแล้ว ถ้าใครอยากไปล่องแก่งสนุกๆ แบบแอด ติดต่อบริษัททัวร์ล่องแก่งน้ำว้า ด้านล่างนี้ได้เลย น่านน้ำว้าทัวร์ โทร. 095 535 0124, 096 923 9465แจง แอนด์ เจ ทัวร์ โทร. 081 765 4194 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 12 มิถุนายน 2562

ผจญแก่ง ล่องลำน้ำว้า จังหวัดน่าน อ่านเพิ่มเติม

3 โบสถ์น่าไป…ไม่ไกลกรุงเทพฯ

3 โบสถ์ที่แอดหยิบยกมาแนะนำเพื่อนๆ วันนี้ ประกอบด้วย– อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จ.จันทบุรี– อาสนวิหารแม่พระบังเกิด จ.สมุทรสงคราม– วัดนักบุญยอแซฟ จ.พระนครศรีอยุธยา นอกจาก 3 แห่งนี้ ก็ยังมีโบสถ์อีกหลายแห่งที่สวยงามเช่นกัน ซึ่งแอดจะมานำเสนอในโอกาสต่อๆ ไปนะ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จ.จันทบุรี เป็นโบสถ์ที่มีประวัติความเป็นมากว่า 300 ปี เดิมตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี ต่อมาได้ย้ายมาสร้างยังที่ตั้งปัจจุบันบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ตรงข้ามชุมชนริมน้ำจันทบูร โบสถ์หลังนี้เป็นศิลปะแบบโกธิค มีลักษณะเด่นอยู่ตรงหอคอยคู่ที่มีหลังคายอดแหลมสูง ซึ่งในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ.2483 ได้รื้อออกเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นเป้าของการทิ้งระเบิด แต่ภายหลังก็ได้สร้างขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมดังที่เห็นในปัจจุบัน โบสถ์หลังนี้มีการประดับตกแต่งทั้งภายนอกและภายในอย่างสวยงามคลาสสิก มองไปทางไหนก็ดูเพลินตาไปซะหมด บริเวณเหนือพระแท่นบูชา มีไม้กางเขนและพระรูปพระนางมารีอาปฎิสนธินิรมล องค์ประธานของวัดตั้งตระหง่านอย่างงดงาม รวมทั้งยังมีรูปปั้นของนักบุญยออากิมและนักบุญอันนา บิดามารดาของพระนางมารีอาด้วย มีการประดับกระจกสีที่เรียกว่า สเตนกลาส (Stained Glass) เป็นรูปของนักบุญหลายองค์อยู่เหนือพระแท่นบูชา และเหนือหน้าต่าง กระจกสีเหล่านี้มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว แต่สียังสวยสดชัดเจน ไม่มีซีดจางเลยล่ะ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลแห่งนี้ ได้รับรางวัลอนุรักษ์อาคารดีเด่น ประจำปี 2542 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดให้เข้าชมทุกวันวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-15.00 น.วันเสาร์ เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-16.00 น.วันอาทิตย์ เวลา 11.00-16.00 น. การเข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ และหากไปเวลากลางคืนในช่วงเทศกาลสำคัญก็จะมีการเปิดไฟประดับสวยงามด้วย อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลที่ตั้ง : ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรีโทร : 039 311 578 อาสนวิหารแม่พระบังเกิด จ.สมุทรสงคราม เป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในไทย สร้างโดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ใช้เวลานานถึง 6 ปี และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2439 ตัวโบสถ์เป็นศิลปะแบบโกธิค ตรงกลางมีหอคอยยอดแหลมสูง มีซุ้มประตูโค้งแหลม ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบนี้  ดูแล้วคล้ายกับโบสถ์กาลหว่าร์ซึ่งสร้างในช่วงเดียวกันเลย ภายในกว้างขวางและตกแต่งอย่างสวยงามอลังการ มีการประดับกระจกสีเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ สวยงามมากๆ สำหรับใครที่จะไปเที่ยว ต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่มีพิธีกรรม จะไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้ แนะนำให้โทรสอบถามก่อนเดินทางนะ อาสนวิหารแม่พระบังเกิดที่ตั้ง : ต.บางนกแขวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงครามโทร : 034 761 347 วัดนักบุญยอแซฟ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในประเทศไทย โดยเริ่มแรกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมา จนถึงปัจจุบันเป็นโบสถ์หลังที่ 4 ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.2426 ตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูคลาสสิก ด้านหน้ามีหอคอยสูง และมีซุ้มประตูโค้งแบบโรมัน วัดนักบุญยอแซฟ ถือเป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนิกชนชาวสยามในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โบสถ์ได้ถูกเผาทำลาย แต่ภายหลังก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ภายในกว้างขวาง ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีและรูปปั้นต่างๆ อย่างสวยงาม วัดนักบุญยอแซฟ ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น พ.ศ.2548 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ วัดนักบุญยอแซฟที่ตั้ง : ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต.สำเภาล่ม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยาโทร : 035 242 589, 035 321 447 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 11 มิถุนายน 2562

3 โบสถ์น่าไป…ไม่ไกลกรุงเทพฯ อ่านเพิ่มเติม

น้ำตกป่าละอู

คำว่า “ละอู” เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า “ต้นไผ่” “ป่าละอู” จึงแปลว่า “ป่าไผ่” เพราะพื้นที่บริเวณนี้มีต้นไผ่อยู่มากนั่นเอง น้ำตกป่าละอู เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงถึง 15 ชั้น นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้บริเวณชั้นที่ 1-5 ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำ ไม่แนะนำให้ขึ้นไปชั้นที่สูงกว่านี้ เนื่องจากเส้นทางยากลำบาก อาจเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้ ในช่วงฤดูฝนที่ชุ่มฉ่ำแบบนี้ เราจะได้จะเห็นสีเขียวๆ ของธรรมชาติที่สวยงามตลอดเส้นทางเดินไปน้ำตกเลย อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว ในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม ก็คือ การเฝ้ารอชมผีเสื้อนับร้อยตัวที่ออกหากินตามโป่งดินและลำธาร นอกจากนี้เรายังมีโอกาสเห็นสัตว์ป่าและนกหายากหลายชนิดอีกด้วย ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 40 บาทชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท หากใครหิวอยากเติมพลังก่อนลุยน้ำตก บริเวณด้านหน้าทางเข้ามีร้านค้าสวัสดิการอยู่ด้วย หรือหากอยากจะพักค้างแรม ทางอุทยานฯ ก็มีบริการบ้านพักและเต็นท์ให้เช่าด้วยนะ ติดต่อจองที่พัก– ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวน้ำตกป่าละอู โทร. 032 646 294, 087 161 2922– ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โทร. 032 459 293– กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร.02 562 0760, 02 561 0777 ต่อ 724, 725 การเดินทาง จากตลาดหัวหิน ใช้ทางหลวงหมายเลข 3218 ประมาณ 58 กิโลเมตร ผ่านอ่างเก็บน้ำป่าละอู จากนั้นขับตรงไปอีก 6 กิโลเมตร จะเจอทางเข้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กจ 3 (ห้วยป่าเลา) เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 10 มิถุนายน 2562

น้ำตกป่าละอู อ่านเพิ่มเติม

เรือนหมอพลอย @ ภูมิภูเบศร

“เรือนหมอพลอย” เป็นเรือนไม้หลังใหญ่ที่นายแพทย์ไพโรจน์ นิงสานนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงหมื่นชำนาญแพทยา (พลอย แพทยานนท์) หมอหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 – รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นคุณตาของท่าน และต่อมาท่านได้มอบเรือนหลังนี้ให้แก่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยค่ะ เรือนหมอพลอยเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย โดยชั้นล่างจัดเป็น “โซนยาย้อนยุค” มีโถสมุนไพรต่างๆ วางเรียงรายอยู่ ซึ่งเราสามารถเลือกสมุนไพรกลิ่นที่ชอบมาผสมเป็นยาดมได้เองเลย แก้วิงเวียนได้ดีมากๆ นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรและของฝากเก๋ๆ ให้เลือกซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ด้วยนะคะ ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ บริเวณชั้นล่างนี้จะมีกิจกรรม Workshop สาธิตการทำยา และกิจกรรมสุขภาพต่างๆ เช่น การทำแป้งร่ำ การทำธูปหอมด้วยสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมจะแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้โดยไม่จำกัดจำนวนคนและไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ โดยกิจกรรมจะมีวันละ 2 รอบ เวลา 10.00 น. และ 14.00 น. หลังจากทดลองทำยากันไปแล้ว เราก็ขึ้นมาชมนิทรรศการที่ชั้นบนกันบ้าง ซึ่งข้างบนนี้แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ห้องด้วยกัน.ห้องแรกคือ “ย้อนรอยหมอหลวง ชื่อหมอพลอย” เป็นห้องที่บอกเล่าถึงชีวประวัติของหมอพลอย และความเป็นมาของเรือนหลังนี้ มีข้าวของเครื่องใช้ของหมอพลอย และเครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ในอดีตไว้ให้ชมมากมายเลย ห้องถัดมา “หมอไทยนั้นเป็นฉันใด” ในห้องนี้เราจะได้เรียนรู้เรื่องราวของการแพทย์ในแบบต่างๆ ทั้งการแพทย์เชิงระบบ การแพทย์เหนือธรรมชาติ และการแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งได้นำมาประยุกต์ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนห้องสุดท้ายคือ “หั่น สับ จับมาเป็นยา” ภายในห้องนี้เราสามารถหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือ และลองทำยาด้วยตัวเองได้ด้วย เห็นแล้วนึกถึงละครเรื่อง ทองเอก หมอยาท่าโฉลง เลยค่ะ  นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เที่ยวได้ทั้งครอบครัวจริงๆ ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาว่างก็อย่าลืมมาเที่ยวกันนะคะ ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะ (เรือนหมอพลอย)ที่ตั้ง ตําบลบางเดชะ อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรีโทร 097 098 3582Facebook : ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะเปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น. เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 9 มิถุนายน 2562

เรือนหมอพลอย @ ภูมิภูเบศร อ่านเพิ่มเติม

4 ที่เที่ยวทางทะเล ใน 4 จังหวัดฝั่งทะเลตะวันออก

4 ที่เที่ยวทางทะเล ใน 4 จังหวัดฝั่งทะเลตะวันออก วันที่ 8 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันทะเลโลก หรือ World Ocean Day ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้คนหันมาใส่ใจ และร่วมกันอนุรักษ์ท้องทะเลให้คงความสวยงามและยั่งยืนตลอดไป เนื่องในวันทะเลโลก แอดเลยจะชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลใน 4 จังหวัดภาคตะวันออกของไทย ที่รับรองว่าสวยไม่แพ้ที่ไหนๆ แน่นอน  ประเทศไทยของเราก็ได้ชื่อว่ามีท้องทะเลที่สวยงาม ฉะนั้นเวลาไปเที่ยว ก็ต้องช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และรักษาความสะอาดด้วยนะ 1.เกาะหวาย จ.ตราด เกาะหวาย ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด เป็นเกาะที่มีเเนวปะการังน้ำตื้นให้ดำดูได้อย่างเพลิดเพลิน และสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ คอนเซ็ปต์ของเกาะนี้ตามที่คนเรือบอกก็คือ คุณจะ Shopping Sleeping หรือ Swimming ก็ Up to you  บนเกาะมีหาดทรายสีขาวทอดยาว มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายอาหารและเครื่องดื่มให้เลือกซื้อมากมาย รวมทั้งมีสะพานท่าเทียบเรือทอดยาวไปในทะเล สามารถไปโพสต์ท่าถ่ายภาพสวยๆ และทำกิจกรรมต่างๆ ได้อีกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ททท. สำนักงานตราด โทร. 039 597 259-60 2.เกาะทะลุ จ.ระยอง เกาะทะลุ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยอง ห่างจากเกาะเสม็ดประะมาณ 12 กิโลเมตร ที่นี่โดดเด่นในเรื่องของน้ำทะเลสีฟ้าใส ผืนทรายที่ขาวเนียนละเอียด และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่สวยงาม การเดินทางไปยังเกาะทะลุนั้นไม่มีเรือโดยสารให้บริการ นักท่องเที่ยวจึงต้องเหมาเรือจากเกาะเสม็ด ท่าเรือบ้านเพ หรือชายหาดอำเภอแกลง หรือซื้อแพคเกจดำน้ำจากบริษัททัวร์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด โทร. 038 653 03ททท. สำนักงานระยอง โทร. 038 655 420-1 3.เกาะขาม จ.ชลบุรี เกาะขาม ตั้งอยู่ที่ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ภายใต้การควบคุมดูแลของสำนักงานกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 ซึ่งก่อนหน้านี้เปิดให้เที่ยวชมได้เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น แต่ตอนนี้เค้าเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมความงดงามใต้ท้องทะเลของเกาะขามได้ทุกวันแล้วนะ บนเกาะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ทำมากมาย เช่น ดำน้ำตื้นชมปะการังและฝูงปลา นั่งเรือท้องกระจกชมโลกใต้ทะเล เดินเท้าและปีนป่ายขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา เดินตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ ฯลฯ ใครที่สนใจไปเที่ยวเกาะขามต้องโทรจองล่วงหน้านะ จองตั๋วได้ที่สำนักงานกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีโทร. 033 124 848, 093 397 1342 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ททท. สำนักงานพัทยา (ชลบุรี) โทร. 038 427 667 4.หาดแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี หาดแหลมสิงห์ ตั้งอยู่ที่ ต.ปากน้ำแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศเป็นส่วนตัว ร่มรื่นไปด้วยทิวสนที่เรียงรายไปตามแนวของชายหาด บริเวณริมหาดมีที่นั่งพักผ่อน พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ที่นี่จึงเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยม ที่ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือคนต่างถิ่นต่างก็แวะเวียนเข้ามาพักผ่อนอยู่เสมอ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ททท. สำนักงานจันทบุรี โทร. 039 480 220 เผยแพร่ใน Facebook : TAT Contact Center เพื่อนร่วมทาง วันที่ 8 มิถุนายน 2562

4 ที่เที่ยวทางทะเล ใน 4 จังหวัดฝั่งทะเลตะวันออก อ่านเพิ่มเติม