หนีร้อนไปเที่ยว”กาญจน์”เถอะ!
สำหรับวันแรก เราแนะนำให้ไปที่ “วัดถ้ำเสือ” เป็นที่แรก เพื่อถือเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับการเริ่มเดินทางในทริปนี้ วัดนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาทมากที่สุด
พระเจดีย์มีความสวยงามโดดเด่นและมีพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา
เมื่อขึ้นไปถึงเราสามารถชมวิวทิวทัศน์ทะเลสาบและเขื่อนวชิราลงกรณ์โดยรอบ การขึ้นไปบนเขานั้นสามารถเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้าที่มีจำนวนถึง 157 ขั้น แต่สำหรับผู้ข้อเข่าไม่ดีทางวัดก็มีลิฟท์ขึ้น-ลงบริการ คนละ 10 บาทเท่านั้นค่ะ
มาเที่ยวกันต่อที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่่อ “ช่องไฟนรก” (Hellfire Pass) หรือ “ช่องเขาขาด” เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ระหว่างการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลออสเตรเลียได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อระลึกถึงหลายชีวิตที่ดับสลายไป
ภายในบริเวณมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติไปยังช่องเขาขาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะที่เชลยศึกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัดเจาะภูเขาหินด้วยมือปราศจากเครื่องมืออันทันสมัย ให้เป็นช่องสำหรับสร้างทางรถไฟไทย-พม่า
ปัจจุบันนี้ยังมีร่องรอยของทางรถไฟปรากฏอยู่ของเส้นทางรถไฟ นับเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ควรค่าต่อการแวะไปเยือน พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 034 531 347
เมื่อไปถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ก็ต้องไปแวะไปฝากท้องกับมื้อกลางวันกันที่ร้านนี้เลย “ร้านครัวออฟโรด” ร้านอาหารสไตล์คันทรี่ บรรยากาศสบายๆ ร่มรื่น เมนูขึ้นชื่อของร้านคือ น้ำพริกออฟโรด ที่จัดแต่งมาในจานเปลยาวๆ พร้อมผักสดมากมายหลายชนิด ยอดมะพร้าวอ่อนกุ้งผัดพริกแกง ไก่ผัดเม็ดมะม่วง แกงป่า และอีกมากมาย
หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน เราเดินทางเข้าที่พักกันดีกว่าค่ะ ในช่วงอากาศร้อนๆแบบนี้ กับการมาเที่ยวกาญจนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการพักผ่อนนอนที่แพริมน้ำ ในอำเภอไทรโยคมีแพพักที่ติดริมแม่น้ำแควเป็นจำนวนมาก
และนอกจากนี้แพต่างๆยังมีกิจกรรมเล่นน้ำ ล่องแพเปียก สัมผัสกับธรรมชาติที่เขียวขจี ในส่วนของแพนั้นเราสามารถเลือกพักได้ตามใจชอบค่ะ แต่อาจจะแตกต่างกันที่ราคา หากอยากล่องแพเปียกแนะนำให้เข้าที่พักก่อนบ่ายสามโมงเย็นนะคะ เพื่อเตรียมตัวทำกิจกรรมกันค่ะ
หรือใครอยากจะพายเรือคายัค ทางที่พักก็มีให้บริการ
ในวันที่ 2 เราอาจจะออกจากที่พักสายๆ เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติยามเช้ากันก่อน และหลังจากนั้นเราก็เดินทางไปยัง “แคมป์ช้างทวีชัย” ที่นี่เราสามารถมาทำกิจกรรมได้หลากหลาย เช่น กิจกรรมขี่ช้างชมธรรมชาติ ชมความงามของป่าเขา เยี่ยมชมหมู่บ้านควาญช้างและลัดเลาะสายธารลำน้ำแควใหญ่ กิจกรรมอาบน้ำร่วมกับช้าง ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสชีวิตช้างอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมโชว์การแสดงของช้างน้อยแสนน่ารักอีกด้วย สำหรับแคมป์ช้างทวีชัยแห่งนี้ เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 15.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081 774 8301, 081 941 4658 หรือ 034 532128
หลังจากสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆที่แคมป์ช้างทวีชัยกันแล้ว เราก็เดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ “ถ้ำกระแซ” ซึ่งเป็นจุดหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะที่ถือเป็น Unseen Thailand ทางรถไฟที่โค้งตามหน้าผาสูงชัน ลัดเลาะไปตามแม่น้ำแควน้อย ถือเป็นจุดที่น่าหวาดเสียวที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่สวยงามที่สุดด้วยเช่นกัน
ถ้ำนี้เคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะจากไทยไปพม่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายในถ้ำโปร่ง และมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ บริเวณนี้เป็นจุดที่สร้างทางรถไฟยากที่สุด
เนื่องจากเส้นทางโค้งเลียบเขาจนได้รับการขนานนาม ว่า “โค้งมรณะ” นอกจากนี้บริเวณใกล้ๆกับถ้ำกระแซ ยังมีร้านค้า ร้านอาหารให้เราได้เลือกชอป เลือกชิมกันมากมาย
หลังจากอิ่มเอมกับอาหารและความสวยงามของถ้ำกระแซแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” ซึ่งหากใครมาเที่ยวกาญจนบุรีแล้วไม่ได้มาที่นี่ ก็จะถือว่ามาไม่ถึงเพราะบริเวณนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คของกาญจนบุรี
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรมาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานนี้ขึ้นมา
สะพานข้ามแม่น้ำแควใช้เวลาสร้างเพียง 1 เดือน ปัจจุบันมีการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
ถ้าใครมาเที่ยวช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตก ก็จะได้ชมบรรยากาศที่สวยงามแบบนี้
นอกจากนี้บริเวณฝั่งตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแควยังมีแหล่งชอปปิงสำหรับคนที่ชื่นชอบอัญมณี หรือของนำโชคอีกด้วย นั่นก็คือ “ตลาดพลอย” นั่นเอง
มณีเมืองกาญจน์ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมคือพลอย ไพลิน และนิล แต่ถ้าจะซื้อของแท้ควรมีความรู้ในการเลือก หรือพาผู้รู้ที่ไว้ใจได้ไปด้วย รวมถึงควรเลือกร้านที่มีการออกใบรับรองให้กับสินค้าที่ซื้อเพื่อเป็นการรับประกันว่าได้ของแท้จริงไม่ได้เสียเงินฟรีค่ะ
มาเที่ยวกันทั้งทีก่อนกลับเราก็ต้องเลือกซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไปให้คนในครอบครัว เพื่อนที่ทำงานและคนรู้จักกันคนละนิดคนละหน่อย ร้าน “โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ” เป็นร้านของฝากที่ขึ้นชื่อ เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของฝากของจังหวัดกาญจนบุรี มีของฝากให้เลือกซื้อมากมาย
แต่ที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือ มะขามแก้ว วุ้นเส้นท่าเรือ วุ้นมะพร้าวอ่อน นอกจากนี้ยังมีของฝากอื่นๆให้เลือกซื้ออีกมากมาย
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทริปท่องเที่ยวเล็กๆ ที่พลาดไม่ได้เลยนะคะสำหรับอากาศร้อนๆแบบนี้ เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นานเหมาะสำหรับพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อน พร้อมกับอิ่มเอมไปกับบรรรยากาศความงามของธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว และอาหารแสนอร่อย รู้อย่างนี้แล้วเรามาหาวันว่าง เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางไปเที่ยว “กาญจน์” ดีกว่าค่ะ