ที่แรกเราออกจากกรุงเทพฯ พามาสูดไอดิน ฟินกับกลิ่นหมอกฝนกันที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงมีพื้นที่ครอบคลุมหลายอำเภอใน 2 จังหวัด ได้แก่ อ.วังทอง อ.นครไทย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก และ อ.เขาค้อ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์
บริเวณอุทยานฯ มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ปั่นจักรยานเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนา ชมฝูงผีเสื้อป่า ชมแมงกะพรุนน้ำจืด (แมงกะพรุนน้ำจืดหาชมได้เฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน)
(ภาพถ่ายจากจุดชมวิวทุ่งแสลงหลวง)
กิจกรรมปั่นจักรยานมีให้เลือก 2 แบบ คือ ปั่นจักรยานชมทุ่งหญ้าสะวันนา เส้นทางหนองแม่นา-ทุ่งนางพญา ระยะทาง 15 กิโลเมตร หรือถ้าใครชอบ slow life ก็สามารถปั่นจักรยานชมธรรมชาติในบริเวณอุทยานฯ ได้
อุทยานฯ มีจักรยานให้เช่า ราคาชั่วโมงละ 50 บาท และทั้งวัน 200 บาท
กิจกรรมชมฝูงผีเสื้อป่า เพื่อนๆ จะต้องเช่าเรือของชาวบ้านชุมชนหนองแม่นาเพื่อออกไปชมที่เกาะกลางน้ำ โดยฝูงผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวที่ลงมากินโป่งหรือแร่ธาตุในดิน จะมีให้ชมเยอะที่สุดในช่วงหน้าฝนนี้แหละ
กลุ่มชุมชนหนองแม่นา
โทร. 081 046 2166, 087 432 1714 (คุณสมพงศ์)
ค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 300 บาท
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรี จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 21 จนถึงบ้านนางั่ว อำเภอหล่มสัก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2258 ขึ้นเขาค้อ วิ่งผ่านพระตำหนักเขาค้อ ตรงไปจนถึงหน่วยจัดการอุทยานฯ ทุ่งแสลงหลวง ที่1 (หนองแม่นา) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 โมง
วันแรกเราตั้งเต็นท์พักแรมกันที่อุทยานฯ โดยอุทยานฯ มีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ 2 จุดคือ
1. บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ หนองแม่นา
– มีบ้านพัก 7 หลัง ราคา 2,100 – 5,000 บาท
– เต็นท์ให้เช่า ราคา 285 บาท (พักได้ 3 คน)
– หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ ราคา 30 บาท/คน/คืน
2. บริเวณที่ทำการอุทยานฯ
– มีบ้านพัก 7 หลัง ราคา 1,000 – 5,000 บาท
– เต็นท์ให้เช่า ราคา 285บาท (พักได้ 3 คน)
– หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่กางเต็นท์ ราคา 30 บาท/คน/คืน
เช้าวันที่สองพวกเราออกจากอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงกันตั้งแต่เช้า เพื่อไปชมทุ่งกะหล่ำปลีกันที่ภูทับเบิก แอดใช้ทางหลวงหมายเลข 12 วิ่งกลับมาที่แยกน้ำก้อ ระหว่างทางจะผ่านวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว มุมนี้ช่วงหน้าฝนสวยจริงๆ
ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เพื่อนๆ สามารถเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยให้เหมาะสมกับสถานที่ บริเวณรอบๆ เจดีย์ เต็มไปด้วยภาพปริศนาธรรมหลากหลายที่แฝงไปด้วยหลักคำสอนมากมายให้ได้ศึกษาเรียนรู้ บริเวณระเบียงทางเดินชั้นบนของเจดีย์สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง รวมทั้งจะมองเห็นพระมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่มีสายหมอกพาดผ่านและทิวเขาอันสวยงามเป็นฉากหลัง
นอกจากนี้ เพื่อนๆ ยังสามารถเดินชมประติมากรรมต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดได้ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสวยงามไม่แพ้กัน
เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/9dhiz3Z34V52
จากสี่แยกบ้านน้ำก้อ พวกเราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2372 จากนั้นวิ่งตรงไปจนถึงแยกทับเบิก และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2331 วิ่งตรงขึ้นภูทับเบิก
ภูทับเบิกเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้ง ที่เรียกได้ว่าเป็นไร่กะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่นี่จะปลูกกะหล่ำปลีลดหลั่นเป็นแถวเป็นแนวตามสันดอย เวลาออกดอกมองไปจะดูสวยงามเหมือนดอกไม้ยักษ์สีเขียวเต็มพื้นที่ไปหมด นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาชมแปลงกะหล่ำพร้อมทั้งถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้ไปโพสต์ให้ชาวโซเชียลได้รู้ว่า มาเยือนภูทับเบิกแล้ว
ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ…ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิวภูทับเบิก
หลังจากจุดนี้พวกเราลงจากภูทับเบิกและมุ่งหน้าไปต่อกันที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก โดยวิ่งต่อจากภูทับเบิกไปทางจุดชมวิวภูแผงม้า ทางหลวงหมายเลข 2331 จนถึงที่ทำการอุทยานฯ
เช้าวันที่ 3 (ภาพถ่ายจากจุดชมวิวทะเลหมอกลานหินปุ่ม) เมื่อวานจากภูทับเบิกเรามาถึงภูหินร่องกล้ากันในช่วงเย็น และค้างคืนกันที่อุทยานฯ
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เป็นอุทยานฯ ที่อยู่บนพื้นที่รอยต่อของ 3 จังหวัด ในอดีตนั้นเคยเป็นสมรภูมิรบอันยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน วันเวลาผ่านไปควันไฟแห่งสงครามจางหาย เหลือเพียงความสงบ ร่มรื่น และความสวยงามของธรรมชาติป่าเขา
จุดที่นักท่องเที่ยวไปแล้วต้องห้ามพลาดก็คือ ลานหินปุ่ม ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าจากลานจอดรถไปประมาณ 1.2 กิโลเมตร เป็นลานหินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะเต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำเป็นบริเวณกว้างดูแปลกตา ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของหินโดยธรรมชาติ จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้อย่างเต็มตาและสวยงาม
จากลานหินปุ่ม พวกเราพามาชมร่องรอยประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่ภูหินร่องกล้าเคยเป็นฐานที่มั่นของการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ เรียกกันว่า “โรงเรียนการเมืองการทหาร” อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 6 กิโลเมตร
ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีบ้านพักฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ และสถานพยาบาล กระจายตัวอยู่ใต้ร่มไม้แน่นทึบ ประมาณ 30 หลัง บริเวณใกล้เคียงยังมีสุสานทหาร และกังหันน้ำที่เป็นเครื่องทุ่นแรงในการตำข้าวโดยไม่ต้องใช้แรงงานคน ไว้ให้ชมและนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกด้วย
ปิดท้ายกันด้วยความชุ่มฉ่ำ ช่วงฝนๆ แบบนี้ต้องไม่พลาดชมน้ำตกหมันแดง ความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในป่าใหญ่ น้ำตกมีทั้งหมด 8 ชั้น แต่ละชั้นจะอยู่ใกล้ๆ กันและมีความสวยงามแตกต่างกันไป ระยะทางไป-กลับน้ำตกรวมแล้วประมาณ 7 กิโลเมตร ดูแล้วต้องฟิตร่างกายกันมากเลยล่ะค่ะ
*การเข้าไปชมน้ำตกหมันแดงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางด้วยนะคะ*
นอกจากลุยป่ากันไปชมน้ำตกหมันแดงแล้ว ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่ก็คือ การชมดอกลิ้นมังกรนั่นเอง
การชมดอกลิ้นมังกร จะต้องขึ้นไปที่น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 5 ระยะทางประมาณ 1-3 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้น ใช้เวลาราว 1-2 ชั่วโมง เห็นระยะทางเเล้วอาจจะรู้สึกท้อแท้ แต่อย่าถอยค่ะ เหนื่อยก็พักก่อน รับรองว่าถ้าได้มาเห็นแล้วคุ้มค่าแน่นอน
ดอกลิ้นมังกร บ้างก็เรียก “สังหิน” หรือ “ปัดแดง” เป็นกล้วยไม้ป่าที่ขึ้นในป่าดิบตามซอกหินริมน้ำ มีหลายสีทั้งสีส้ม แดง และชมพู แต่ที่น้ำตกหมันแดงนี้ ดอกลิ้นมังกรจะบานชูช่อเป็นสีชมพูสดสวยงามมาก
ช่วงฤดูออกดอก : ปลายเดือนกรกฎาคม – กลางเดือนสิงหาคม
ทางอุทยานฯ มีบ้านพัก จุดกางเต็นท์ ศูนย์บริการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และห้องน้ำไว้บริการ
ค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 300 บาท
ติดต่ออุทยานฯ โทร. 085 051 8084, 055 356 607
จองที่พัก โทร. 081 596 5977
การเดินทาง
จากภูทับเบิกใช้ทางหลวงหมายเลข 2331 สภาพเส้นทางเป็นทางลาดยางสูงชัน และคดเคี้ยวเป็นบางช่วง ควรใช้รถสภาพดีมีกำลังสูงและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก
พิกัด : https://goo.gl/maps/xdL5cH2Dg3A2