“ราชบุรี” คือเป้าหมายของเราในวันนี้ …ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยวทางธรรมชาติ ตลาดน้ำ วัดวาอาราม หรือเยี่ยมชมงานศิลป์ ที่มีความหลากหลายในจังหวัดเดียวกัน
ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพเพียงแค่สองชั่วโมงโดยประมาณ หักลบเวลาที่เสียไปในการเดินทางเพียงเล็กน้อย แลกกับสิ่งที่ได้มาคือความอิ่มใจในพื้นที่สีเขียว โล่งกว้างสบายตา อากาศเย็นบางเบาให้สูดลมบริสุทธิ์ได้เต็มปอดแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามาก
วันนี้ “เพื่อนร่วมทาง” จึงขอคัดเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่เน้นธรรมชาติมานำเสนอกัน
ถึงราชบุรีแล้ว จุดที่ทุกคนจะอดคิดถึงไม่ได้คือ “สวนผึ้ง” ดินแดนแห่งขุนเขาเคล้าสายหมอก ตรอกธารพลิ้วที่นำพาสายลมมาล้อมวลดอกไม้กลางทุ่งหญ้า ทำให้เมืองเล็กๆ นี้ดูมีชีวิต และมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ทัศนียภาพเหล่านี้ทำให้สวนผึ้งกลายเป็นสถานที่ติดอันดับในการมาพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงการหาพื้นที่ในการตั้งแค้มป์ นอนค้างคืนฟังเสียงลมกระซิบกับหมู่ดาวจนถึงเช้า
หากมาจากกรุงเทพ และมีเป้าหมายในการค้างคืนที่สวนผึ้งแล้ว จุดที่อยากแนะนำให้แวะเยี่ยมชมก่อนคือ “เขาช่องพราน”
ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ ภาพท้องฟ้าสีหม่นยามอาทิตย์ใกล้อัสดง ก่อนที่แสงสุดท้ายจะลับหายไป ถูกแต่งแต้มด้วยหมู่ค้างคาวหนูนับร้อยนับล้านตัวที่พากันบินออกจากถ้ำอย่างพร้อมเพรียง มองดูคล้ายกลุ่มควันสีดำโบกสะบัดเป็นทิศทางเคลื่อนไหวไปมา เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง … ราวกับจะให้สัญญาแก่ผู้มาเยือนว่า ยามค่ำคืนที่สถานที่แห่งนี้ จะไม่มีวันเงียบเหงาเสียทีเดียว
“ถ้ำเขาบิน” จัดเป็นถ้ำที่มีความสวยงามที่สุดของราชบุรี ด้วยความอลังการของหินงอกหินย้อยภายใน แบ่งออกเป็นสัดส่วนได้ถึงแปดคูหา
โดยแต่ละห้องมีนามเรียกขานต่างกันอย่างคล้องจองเหมาะเจาะ เริ่มจากโถงอาคันตุกะ ศิวะสถาน ธารอโนดาต สกุณชาติคูหา เทวสภาสโมสร กินนรทัศนา พฤกษาหิมพานต์ และอุทยานทวยเทพ
ที่สุดปลายถ้ำเป็นที่โดดเด่นด้วยหินย้อยรูปวิหคขนาดใหญ่ที่กำลังสยายปีกโผบิน นักเดินทางที่ได้แวะเยี่ยมชมจึงหมดข้อกังขาในที่มาของชื่อถ้ำแห่งนี้
ถัดมาเป็น “ถ้ำจอมพล” ชื่อเดิมคือถ้ำมุจลินทร์ นอกจากความสวยงามแล้ว คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของถ้ำแห่งนี้ยังทรงคุณค่ามาก
เหนือจากการเป็นถ้ำที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เคยเสด็จมาประทับบ่อยครั้งแล้ว นามของถ้ำแห่งนี้ยังได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสถ้ำ ด้วยทรงจินตนาการว่าหินย้อยในถ้ำที่มีชื่อว่า “ผาวิจิตร” นั้นดูเป็นริ้วไหมคล้ายอินทรธนูบนบ่าของทหารยศจอมพลสมัยก่อนนั่นเอง
ภาพจำที่ไม่อยากให้พลาดของถ้ำแห่งนี้คือจุดที่เรียกว่า”บรมอาสน์” เมื่อแสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องมาจากเพดานถ้ำ ทอดไปยังพระพุทธไสยาสน์ภายใน เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกประทับใจเมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง
พ้นจากความงามสงบของถ้ำต่างๆ แล้ว ถึงเวลาที่จะได้อิ่มเอมกับธรรมชาติที่ใสเย็นเต็มไปด้วยพลังงานที่เคลื่อนไหว
กิจกรรม “ล่องแก่งที่ลำภาชี” จึงเป็นกิจกรรมที่จะได้ปล่อยพลังงานจากร่างกาย เพื่อรับพลังทางใจจากสายน้ำแห่งลำภาชี
นักเดินทางจะได้ชื่นชมบรรยากาศสวยๆ ของสองฟากฝั่งที่อุดมไปด้วยป่าไม้เขียววิจิตร เสียงนกร้องนานาชนิดสลับกันไปมา ราวกับจะเป็นกำลังใจให้นักเดินทางทุกท่านให้เร่งฝีพายไปยังจุดหมายปลายทาง
หากท่านใดไม่นิยมความตื่นเต้นหรือเร่งรีบเร้าใจ อยากออกแรงพายเรือคายัคเพื่อเรียกเหงื่อ ล่องเรื่อยตามสายน้ำเอื่อยๆ ก็สามารถเลือกได้
ได้ล่องแก่งแล้ว หากไม่แวะเที่ยวน้ำตกเห็นจะเรียกว่ามาถึงราชบุรีไม่ได้
“น้ำตกเก้าโจน” (เก้ากระโจน) หรือน้ำตกเก้าชั้น จึงเป็นสถานที่แรกที่เรานึกถึง ด้วยลำน้ำไหลเย็นจากเทือกเขาตะนาวศรี แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของผืนป่า ไหลเรื่อยผ่านป่าปิด และหุบเขาสูงชัน ก่อนจะออกมาอวดโฉมให้นักเดินทางได้ยล
โดยเฉพาะชั้นที่หก ซึ่งเป็นชั้นที่สายน้ำตกทิ้งตัวดิ่งลงมาจากผาชัน เผยให้เห็นสายน้ำสีขาวไหลผ่านชั้นหินแกรนิตอันแข็งแกร่งที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้สายน้ำได้กัดเซาะ ทำให้สายน้ำพุ่งทะยานลงมาสู่พื้นจนก่อให้เกิดภาพสวยงามน่าอัศจรรย์
ลดระดับความลึกลับและสูงชันของสายน้ำ แต่ไม่ลดความงามแห่งทัศนียภาพกันต่อที่ “แก่งส้มแมว”
ภาพลำน้ำภาชีที่ไหลเซาะแก่งโขดหินสวยงาม เด็กเล็กและนักเดินทางทุกวัยสามารถหย่อนใจลงเล่นได้อย่างสะดวกสบาย แวดล้อมไปด้วยพรรณไม้ป่านานาชนิด และเส้นทางศึกษาธรรมชาติในเขตศูนย์ศึกษาพรรณไม้ป่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
ด้วยป่าต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ทำให้แก่งส้มแมวเป็นสถานที่ที่เที่ยวได้ทั้งปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะยิ่งหลงรักในความหลากหลายของสถานที่แห่งนี้มากยิ่งขึ้น
ปิดท้ายการเดินทางสายธรรมชาติ ด้วยการให้รางวัลกับร่างกายโดยวารีบำบัดที่ “ธารน้ำร้อนบ่อคลึง”
ภูมิทัศน์ที่นี่ได้รับการปรับปรุงดูแลจนกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงาม แวดล้อมด้วยผืนป่าเขียวชอุ่มสบายตา ในขณะที่เลือดลมภายในได้ไหลเวียน
สายน้ำอุณหภูมิอุ่นร้อนพอเหมาะที่ไหลผุดขึ้นมาจากซอกหินเชิงเขาตะนาวศรี ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนเกลือแต่ไม่มีกลิ่นฉุน และไม่มีแร่ธาตุที่ระคายเคือง ทำให้น้ำใสสะอาด
ที่สำคัญคือมีน้ำร้อนไหลตลอดปีแม้ในฤดูแล้ง เป็นสายน้ำอุ่นที่ไม่เคยหยุดพักหรือแห้งเหือด เพื่อแลกกับความประทับใจของนักเดินทางที่มาเยี่ยมชมกันตลอดทั้งปี