หนึ่งวันไม่มีเบื่อที่..สามแพร่ง

เอาใจคนมีเวลาเที่ยวน้อยแต่อยากเที่ยว มีเวลาจำกัดแต่ต้องการที่จะไปเดินเล่น เดินถ่ายรูป เช็คอิน หาของอร่อยๆ ทาน และที่สำคัญเดินทางไม่ไกลมาก วันนี้เรามีหนึ่งที่ที่อยากจะนำเสนอซึ่งเป็นสถานที่ในกรุงเทพฯ ที่มีความน่าสนใจและเป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่เรียกตัวเองว่า “สามแพร่ง”

สามแพร่ง ชุมชนเก่าแก่ที่ประกอบไปด้วย แพร่งภูธร, แพร่งนรา และแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งเป็นย่านประวัติศาสตร์มีชีวิตที่มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นย่านค้าขายเก่าแก่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหนที่นี่ก็ยังคงเป็นย่านที่ได้รับความสนใจกันอย่างคึกคัก และในปัจจุบันย่านสามแพร่งยังคงเป็นแหล่งรวมของกินมากมายที่ต่างถูกอกถูกใจใครต่อใครหลายคน ซึ่งมีทั้งร้านค้า ร้านอาหารทั้งคาวหวานต่างๆ มากมาย เป็นทั้งร้านที่เกิดขึ้นใหม่หรือร้านเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
 

ก่อนจะตะลุยกันที่ย่านสามแพร่ง เราพามาไหว้พระขอพรกันก่อนที่วัดเทพธิดารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนมหาไชย ใกล้วัดราชนัดดาราม 

วัดแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาองค์ใหญ่ สถานที่สำคัญในวัดแห่งนี้คือพระปรางค์ประจำทิศทั้ง 4 ของมุมพระอุโบสถ

ส่วนภายในพระอุโบสถมี “หลวงพ่อขาว” เป็นพระประธานปางมารวิชัย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานนามว่า “พุทธเทววิลาส”

ด้านข้างพระอุโบสถจะมีพระวิหาร ด้านในจะมีหมู่ภิกษุณี 52 องค์(นั่ง 49 องค์ ยืน 3 องค์) ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระประธาน ซึ่งหมู่ภิกษุณีจะมีอิริยาบถที่ไม่ซ้ำกัน มีทั้งนั่งปฏิบัติธรรม ฟังธรรม ฉันหมาก สูบยา ยืนไหว้ ฯลฯ

หากใครจะขอพรภายในพระวิหารแห่งนี้ ให้เดินเวียนรอบหมู่ภิกษุณีให้ครบ 3 รอบ แล้วจากนั้นให้นำฝ่ามือมาแตะด้านหลังตู้กระจกภิกษุณีที่นามว่า “พระมหาปชาบดีโคตรมี เถรี” และขอพร

นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ที่เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น.  ซึ่งเดิมเป็นกุฎิที่สุนทรภู่เคยพำนัก และภายในพิพิธภัณฑ์จะนำเสนอเรื่องราวของสุนทรภู่ ชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่สมัยวัยเด็ก วัยอุปสมบทที่วัดเทพธิดารามแห่งนี้ จวบจนถึงช่วงถึงแก่กรรรม 

ภายในพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่นั้นมีการแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 3 ห้อง ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชม เริ่มแรกจากการชมวีดีทัศน์ เรื่องราวของสุนทรภู่ เวอร์ชั่นการ์ตูน

ห้องแรก “แรงบันดาลใจไม่รู้จบ” เป็นห้องที่แสดงประวัติความเป็นมาและผลงานที่มีชื่อเสียงคือเรื่อง “พระอภัยมณี” แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัดเทพธิดารามมากที่สุดคือเรื่อง “รำพันพิลาป”  ซึ่งนับตั้งแต่ที่สุนทรภู่ออกจากราชการในสมัยรัชกาลที่ 3 จนมาอุปสมบทและจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดารามแห่งนี้ ได้ประพันธ์เรื่องรำพันพิลาปขึ้นตามความฝันที่พบเจอมา และมีเรื่องราวภูมิหลังในชีวิตของตัวท่านเองที่ประสบพบเจอสอดแทรกไว้ในบทประพันธ์นี้ด้วย

ที่สำคัญห้องนี้ยังมีจัดแสดงสมุดไทยดำเรื่องพระอภัยมณี ตอนนางสุวรรณมาลีจะฆ่าตัวตาย 

ห้องที่สอง “มณีปัญญา” ภายในห้องจัดแสดงเรื่องราวการแต่งกาพย์กลอนของสุนทรภู่ท่ามกลางยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วิถีชีวิตและวัฒนธรรม

ภายในห้องมีบอร์ดให้เรียงลำดับแต่งกาพย์กลอนตั้งแต่ระดับง่ายไปถึงยาก

ห้องที่สาม “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” เป็นห้องที่สุนทรภู่เคยจำพรรษาเมื่อครั้งเป็นพระภิกษุ 

มีตำราโบราณที่มีอักขระภาษาขอม ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องนี้ด้วย

และไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์(ห้องที่2 และ ห้องที่ 3) คือมีการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ของสุนทรภู่ ด้วยเทคนิคใหม่ผ่านระบบภาพและเสียง ที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วย “เทคโนโลยี เออาร์” เป็นภาพเสมือนจริงที่เหมือนเราไปถ่ายภาพตามจุดที่ระบุไว้ และภาพถ่ายที่ออกมาจะมี คัมภีร์โบราณ หรือสุนทรภู่ ร่วมอยู่ในภาพถ่ายด้วย

และด้วยจุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ย่านสามแพร่ง และแพร่งแรกที่เราจะไปคือ “แพร่งสรรพศาสตร์” ระหว่างทางจากวัดเทพธิดารามจะผ่านร้านกาแฟ “โกปี๊ เฮี้ยะไถ่กี่” แวะจิบชา กาแฟ เติมพลังกันสักหน่อย ซึ่งจากวัดเดินตามซอยสำราญราษฎร์มา ร้านจะอยู่ตรงหัวมุมซอย เยื้องๆ กับศาลาว่าการ กทม.

ร้านโกปี๊ ร้านกาแฟที่อยู่คู่กับพระนครมายาวนานกว่า 60 ปี เรียกได้ว่าเป็นร้านกาแฟรุ่นเก๋า ที่ในอดีตเป็นเพียงร้านขายของชำและกลายมาเป็นร้านกาแฟ ซึ่งร้านที่เสาชิงช้านี้เป็นสาขาที่สอง ส่วนสาขาแรกจะอยู่ที่หัวมุมแยกวิสุทธิกษัตริย์ และสาขาที่สามตรงสะพานผ่านฟ้า

เครื่องดื่มของที่นี่มีให้เลือกหลากหลายทั้งชา กาแฟ โอเลี้ยง(ยกล้อ) ฯลฯ หรือจะเป็นเมนูทานเล่นง่ายๆ โรตี ขนมปังปิ้ง ไข่กระทะ ฯลฯ ก็เลือกตามใจชอบเลย แต่ที่ร้านจะเป็นแบบลูกค้าต้องบริการตัวเอง เดินมาสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่หน้าเคาน์เตอร์ได้เลย หากใครอยากมาลิ้มลองกาแฟสูตรสมัยรุ่นคุณปู่ก็แวะมาได้ที่ร้านจะเปิดตั้งแต่ 07.00 – 20.00 น.

เติมพลังด้วยของหวานเรียบร้อยมุ่งหน้าต่อไปยังศาลเจ้าพ่อเสือ จากหน้าร้านกาแฟเดินผ่านศาลาว่าการกทม. และเดินตามถนนมหรรณพไปเรื่อยๆ จนสุดทางก็เจอศาลเจ้าพ่อเสือ(แพร่งสรรพศาสตร์) ตั้งอยู่ถนนตะนาว ใกล้เสาชิงช้า คนจีนเรียกศาลเจ้านี้ว่า “ตั่วเหล่าเอี้ย” หน้าศาลจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ต่างเดินทางมาสักการบูชา เนื่องด้วยศาลแห่งนี้เป็นศาลเก่าแก่ทำให้หลายคนเดินทางเพื่อมากราบไหว้ขอพรบ้าง แก้ปีชงสะเดาะเคราะห์บ้าง ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อเสือ

ห่างจากศาลเจ้าพ่อเสือไม่ไกลนัก เดินไปตามถนนตะนาวมี “ซุ้มประตู” เป็นสถาปัตยกรรมเก่าของย่านแพร่งสรรพศาสตร์ ลักษณะมีกรอบประตูรูปโค้งกลม และในวงนั้นมีประติมากรรมรูปหล่อเทพธิดากรีกที่มีขนาดเกือบเท่าคนจริงอยู่ในท่ายืนถือคบไฟ ซึ่งเดิมนั้นเป็นซุ้มประตูวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ (พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์) เจ้ากรมช่างมหาดเล็ก

เมื่อมาถึงย่านที่ขึ้นชื่อด้วยของอร่อยทำให้เรานึกถึง “ลูกชิ้นหมูแพร่งนรา” เรียกได้ว่ามาแล้วไม่ควรพลาด จากศาลเจ้าพ่อเสือมาร้านลูกชิ้นหมูแพร่งนราเดินตามถนนตะนาวมาจนถึงธ.กรุงเทพฯ ก็จะเห็นร้านลูกชิ้นหมูคุณตุ๊กตาหรือลูกชิ้นหมูแพร่งนราอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นตึกแถวตั้งอยู่หัวมุม หน้าร้านจะมีเตาปิ้งลูกชิ้นหอมๆ ตั้งอยู่ และที่สำคัญร้านเค้ารับประกันเลยว่าเป็นลูกชิ้นหมูล้วน ไม่มีแป้งผสม ไม่มีสารบอแรกซ์ผสม เพราะเค้าทำลูกชิ้นเอง และเราพิสูจน์แล้วว่าลูกชิ้นหมูร้านนี้อร่อยแน่นด้วยเนื้อหมูล้วนๆ ราคาไม่แพงไม้ละ 8 บาท และความเด็ดจะอยู่ที่น้ำจิ้มรสเด็ดเผ็ดหอมถึงใจคนชอบรสจัดจ้านอย่างแน่นอน ใครไม่ค่อยชอบรสเผ็ดแนะนำพกน้ำไปด้วย

ร้านนี้จะเปิดขายทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 20.00 น. ที่ร้านลูกค้าจะแน่นแทบทุกวันโดยเฉพาะช่วงพักเที่ยง หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แนะนำมาสั่งไว้ก่อนหรือโทรมาสั่งไว้ หรือใจเย็นก็ยืนรอที่ร้านได้เลยจ้า

จริงๆ ย่านนี้ของกินของอร่อยมีตลอดทางเดิน ผ่านทั้งร้านผัดไทยเจ้าดัง ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ส่งกลิ่นน้ำซุปหอมๆ มีหมูสับเน้นๆ อยู่ในชาม หรือจะเป็นร้านบัวลอยไข่หวานที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจไม่แพ้กัน ใครสายกินแนะนำเลยว่าย่านนี้ไม่ควรพลาด อิ่มท้องไม่พอมีหิ้วติดกลับบ้านแน่นอน 

และถ้ายังไม่อิ่มท้อง เราจะพาไปกินต่อกันที่ “ร้านนายอ้วนเย็นตาโฟ” จากร้านลูกชิ้นหมูแพร่งนราเดินย้อนกลับมาจะเจอแยกให้เลี้ยวขวาเพื่อเดินเข้าซอยนาวา เดินมาจนถึงกลางซอยจะเห็นร้านตั้งอยู่ทางซ้ายมือ 

นายอ้วนเย็นตาโฟ เป็นอีกร้านเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อในย่านนี้เช่นกัน เปิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว ที่ร้านมีลูกค้ารอคิวต่อแถวซื้อเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นถ้าใครอยากทานแบบแถวไม่ยาวแนะนำให้มาช่วงเวลาที่ไม่ใช่เที่ยง ไม่งั้นยืนรอต่อแถวยาวแน่ๆ

จุดเด่นของร้านนี้ถ้าให้พูดถึงคงเป็นเครื่องที่อัดแน่นอยู่ในชาม ทั้งลูกชิ้นปลา เต้าหู้กรอบ เกี๊ยวกรอบ เลือด หมึกกรอบ เรียกว่าเยอะมาก ส่วนรสชาติถือว่าผ่าน น้ำซุปหอมกลมกล่อม ใครชอบรสแบบไหนก็ปรุงเพิ่มได้เลย นอกจากเย็นตาโฟแล้วก็มีก๋วยเตี๋ยวน้ำและแห้งด้วยนะ ชอบก็อย่าลืมแวะมาทานกันล่ะ ร้านเปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ 09.00 – 21.00 น. ส่วนเสาร์-อาทิตย์ 09.00 – 16.00 น. และร้านจะหยุดทุกวันอาทิตย์ปลายเดือน 1 วัน

และเหมือนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับแต่ละมื้อที่อิ่มของคาวต้องตามด้วยของหวานมาล้างปาก แนะนำ “ไอศกรีม นัฐพร” (แพร่งภูธร) หวานๆ เย็นๆ ให้ชื่นใจ จากร้านนายอ้วนเย็นตาโฟให้เดินย้อนมาจะผ่านทางแพร่งนรา เดินต่อไปอีกซอยจะเจอถนนแพร่งภูธร เมื่อเข้าซอยมาแล้วให้เลี้ยวซ้าย เดินมาอีกหน่อยก็เจอร้านไอศกรีมเจ้าอร่อยแล้ว

ที่นี่เป็นร้านไอศกรีมโบราณมีสูตรเฉพาะตัวที่สืบทอดการทำไอศกรีมโฮมเมดแบบไทยๆ จากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 70 ปี และยังคงรสชาติดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี ซึ่งรสชาติไอศกรีมของที่นี่มีให้เลือกทั้ง กะทิสด นมสด ช็อคโกแลต ชาเขียว ชานม กาแฟ น้ำมะพร้าวอ่อน และมะม่วงมหาชนก หรือบางทีมีรสทุเรียนให้เลือกขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลของผลไม้ พร้อมด้วยท็อปปิ้งอย่างถั่วแดง ถั่วเหลือง ข้าวโพด ลูกชิด เป็นต้น ชอบแบบไหน รสไหนก็เลือกได้เลย รสชาติของไอศกรีมที่นี่จะเข้มข้น เนื้อไอศกรีมเนียนและหอมหวาน ราคาแต่ละรสอยู่ที่ลูกละ 30 บาทเท่านั้น

และรสชาติน้องใหม่ล่าสุดของที่ร้าน มีไอศกรีมงาดำ ใครที่ชอบกลิ่นงาดำหอมๆ แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาด!!

ย่านนี้นอกจะขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารคาวหวานแล้ว ยังมีแพทย์แผนโบราณที่สืบทอดรุ่นต่อรุ่นมาเป็นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และพัฒนามาเรื่อยๆ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน จากร้านไอศกรีมเดินตามซอยเล็กๆ ด้านข้างร้าน เดินออกมายังถนนบำรุงเมืองจากนั้นให้เลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆ จะผ่านแยกสี่กั๊กเสาชิงช้า จะผ่านร้านสังฆภัณฑ์เก่าแก่หลายร้านที่ขายมายาวนาน เดินมาจนถึงซอยที่สาม ด้านขวามือจะเจออาคารที่อยู่สุดซอยเขียนไว้ว่าบำรุงชาติสาสนายาไทย

บำรุงชาติสาสนายาไทย หรือ บ้านหมอหวาน ย่านเสาชิงช้า บ้านหลังนี้เป็นอาคารเก่าแก่ซึ่งเป็นมรดกมาจากนายหวาน รอดม่วง หรือที่เรียกกันว่า “หมอหวาน” แพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 5 และบ้านหลังนี้ได้ตกทอดสู่ทายาทจากรุ่นสู่รุ่นมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่นเหลนที่เป็นทั้งบ้านที่พักอาศัยและเป็นสถานที่ปรุงยา ภายในตัวบ้านเต็มไปด้วยโบราณวัตถุต่างๆ ตั้งแต่สมัยที่หมอหวานยังมีชีวิตอยู่ ทั้งเครื่องผลิตยาโบราณ ตำรับตำราโบราณต่างๆ ทั้งยาระบาย ยากวาดคอเด็ก ยาหอม ยานวด ฯลฯ 

ปัจจุบันบ้านหมอหวานแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับแพทย์แผนโบราณด้วยอุปกรณ์และตำรายาโบราณต่างๆ โดยมีคุณภาสินี ญาโณทัย ผู้สืบทอดร้านยาหมอหวานในปัจจุบัน ได้รื้อฟื้นตำรายาหอม ลูกอมชื่นจิตต์ ยาดมต่างๆ ฯลฯ ขึ้นมาใหม่ และพัฒนาการทำบรรจุภัณฑ์สำรับยาให้ดูทันสมัยมากขึ้น และพยายามให้เป็นที่รู้จักเป็นที่นิยมมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์บ้านหมอหวาน สามารถซื้อเป็นได้ทั้งของฝากของที่ระลึกได้ด้วยแพ็กเกจที่น่ารักพกพาสะดวกและยังเป็นยาสมุนไพรที่สามารถใช้ได้ในทุกเพศทุกวัย บ้านหมอหวานเปิดทุกวัน 09.00 – 17.00 น.

หากต้องการดูสาธิตการทำยาสมุนไพรควรติดต่อล่วงหน้า เนื่องด้วยพื้นที่จำกัดและมีจำนวนลูกค้าที่สนใจการสาธิตมากขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้างกับร้านอร่อยเด็ดย่านสามแพร่งที่เรานำมาฝาก ลองหาวันหยุดสักวันแล้วไปเดินชิลๆ ถ่ายรูปเก๋ๆ สัมผัสกับบรรยากาศย่านเก่าแก่ และอิ่มท้องไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารทั้งคาวหวานที่มีให้เลือกมากมาย ซึ่งแต่ละร้านนั้นความอร่อยไม่แพ้กันอย่างแน่นอน 

Scroll to Top